ปรัชญาอินเดีย (12)


                                                    ปัญหาที่ถูกอภิปรายในคัมภีร์อุปนิษัท

                                        THE PROBLEMS DISCUSSED IN THE UPANISADS

                 แก่นกลางของคัมภีร์อุปนิษัทคือปัญหาของปรัชญา เป็นการค้นหาว่าอะไรคือความจริง ความไม่พอใจในสิ่งต่าง ๆ และสาเหตุที่สอง คือการเสนอคำถามที่เราอ่านในตอนต้นของเศวตศวตาระ (Svetasvatara) : เราเกิดที่ไหนและเมื่อไหร่ เราอาศัยอยู่ที่ไหนและเราจะไปที่ไหน โอ้ พระพรหม ผู้รู้ประจักษ์แจ้ง บอกเราว่าคำสั่งของใครที่บังคับควบคุมให้เราอยู่ในที่นี้ไม่ว่าทุกข์หรือสุข ควรให้เวลา  ธรรมชาติ  ความจำเป็น โอกาสหรือองค์ประกอบที่ถูกพิจารณาว่าเป็นเหตุหรือสิ่งที่ถูกเรียกว่าปุรุษะ (Purusa) ผู้เป็นวิญญาณสูงสุด?" ในเกนะอุปนิษัท (Kena Upanisad) ลูกศิษย์ถามขึ้นว่า "จิตที่ส่งไปเพื่อประสงค์ของใคร? ลมหายใจแรกออกตามคำสั่งของใคร เรากล่าววาจานี้ตามความปรารถนาของใคร พระเจ้าองค์ไหนชี้นำตาหรือหู ? “นักคิดไม่ได้ใช้ประสบการณ์มาเป็นข้อมูลที่อธิบายไม่ได้เหมือนสามัญสำนึก พวกเขาสงสัยว่ารายงานของประสาทสัมผัสจะถือเป็นที่สิ้นสุดได้หรือไม่ ปัญญาที่เราได้มาซึ่งประสบการณ์นั้นมีอยู่จริงหรือเป็นผลจากตัวมันเองของสิ่งที่แข็งแกร่งกว่าซึ่งอยู่เบื้องหลังประสาทสัมผัส เราจะพิจารณาสิ่งเร้าทางกายภาพ ผลกระทบ และการสรรค์สร้างที่มีอยู่จริงได้อย่างไร ให้เป็นจริงพอๆ กับสาเหตุของมันได้อย่างไร จะต้องมีบางสิ่งที่สูงสุดอยู่เบื้องหลังทั้งหมดนั้น การดำรงอยู่แห่งตัวตน โดยที่จิตเท่านั้นสามารถพักผ่อนได้ ความรู้ จิต ประสาทสัมผัส และสิ่งเร้า ล้วนมีขอบเขตและมีเงื่อนไข ในด้านศีลธรรม เราพบว่าเราไม่สามารถรับความสุขที่แท้จริงจากสิ่งที่จำกัดได้ ความสุขของโลกอยู่ชั่วครู่ ดับไปด้วยความชราและมรณะ มีเพียงสิ่งที่เป็นอนันต์เท่านั้นที่มอบความสุขที่ยั่งยืนได้ ในศาสนาเราร่ำร้องเพื่อได้ชีวิตนิรันดร์ เรี่ยวแรงทั้งหมดเหล่านี้ทำให้เราเชื่อมั่นในสภาวะที่ไร้กาลเวลา ความเป็นจริงทางจิตวิญญาณ เป้าหมายของการแสวงหาทางปรัชญา การเติมเต็มความปรารถนาของเรา และเป้าหมายของศาสนา เหล่าฤษีผู้เห็นแจ้งของอุปนิษัทพยายามนำเราไปสู่ความจริงอันเป็นศูนย์กลางนี้ คือ การดำรงอยู่อย่างไร้ขีดจำกัด (sat) สัจธรรมอันสัมบูรณ์ (cit) และความสุขอันบริสุทธิ์ (ananda) คำอธิษฐานของหัวใจมนุษย์ทุกคนคือ "โปรดนำข้าพเจ้าจากความไม่จริงไปสู่ความเป็นจริง นำข้าพเจ้าจากความมืดสู่แสงสว่าง นำข้าพเจ้าจากความตายสู่ความเป็นอมตะ" 

                 เราจะเชื่อมโยงปรัชญาอุปนิษัทภายใต้สองประเด็นหลักของอภิปรัชญาและจริยศาสตร์ เราจะนำเสนอความเห็นของนักคิดอุปนิษัทเกี่ยวกับความเป็นจริงสูงสุด ธรรมชาติของโลก และปัญหาของการสร้าง (โลกและจักรวาล) ภายใต้แนวคิดทางอภิปรัชญา และการวิเคราะห์ปัจเจกภาวะ ชะตากรรมและอุดมคติของบุคคล ความสัมพันธ์ของกรรมต่ออิสรภาพ แนวคิดขั้นสูงสุดเกี่ยวกับมุกติ (mukti) หรือความหลุดพ้น และคำสอนเกี่ยวกับการเกิดใหม่ภายใต้แนวคิดทางจริยศาสตร์ 

 

                                                             ธรรมชาติของความจริงแท้

                                                             THE NATURE OF REALITY

                   ในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับธรรมชาติของความเป็นจริงขั้นสูงสุด นักคิดอุปนิษัทพยายามเสริมวิสัยทัศน์ตามวัตถุประสงค์ของฤษีผู้รจนาพระเวทโดยทัศนะที่เป็นอัตนัย แนวความคิดสูงสุดที่เข้าถึงได้ในบทเพลงสวดของพระเวทคือความจริงอันเป็นหนึ่งเดียว (Ekam Sat) ซึ่งตระหนักในตัวตนในทุกความหลากหลายของการดำรงอยู่ ข้อสรุปนี้มีความเข้มแข็งขึ้นในคัมภีร์อุปนิษัท ซึ่งบางครั้งปัญหาก็นำเสนอด้วยการวิเคราะห์เชิงปรัชญาเกี่ยวกับธรรมชาติของตัวตนซึ่งพวกเขาเรียกว่าอาตมัน (Atman) นิรุกติศาสตร์ของคำนี้ไม่ชัดเจน ในคัมภีร์ฤคเวท บรรพที่ 10 วรรคที่ 16 (Rg-Veda X. 16) หมายถึงลมหายใจหรือแก่นแท้ที่สำคัญ ค่อยๆ กลายมาเป็นความหมายของวิญญาณหรือตัวตน ทฤษฎีเกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงหรืออาตมัน (Atman) ไม่ได้กำหนดไว้ด้วยความชัดเจนหรือรายละเอียดครบถ้วน และไม่มีข้อความที่แยกออกมาต่างหากที่ต่อเนื่องกับระบบที่เชื่อมโยงกัน ในบทสนทนาระหว่างพระประชาบดีผู้เป็นครูกับพระอินทร์ผู้เป็นลูกศิษย์ ซึ่งบรรยายในฉานโฑกยะอุปนิษัท (Chandogya Upanisad) เราพบพัฒนาการที่ก้าวหน้าในนิยามของตัวตนผ่าน 4 ขั้นตอน คือ (1) ตัวตนทางกาย (2) ตัวตนเชิงประจักษ์ (3) ตัวตนเหนือธรรมชาติและ (4) ตัวตนที่สัมบูรณ์ คำถามที่อภิปรายไม่เชิงจิตวิทยามากเท่ากับอภิปรัชญา อัตตาของมนุษย์เป็นอย่างไร ศูนย์กลางของเขาคืออะไร? พระประชาบดีเปิดการอภิปรายโดยให้ลักษณะทั่วไปบางอย่างที่ตัวตนที่แท้จริงควรมี “ตัวตนที่อิสระจากบาป อิสระจากความชรา อิสระจากความตายและความเศร้าโศก อิสระจากความหิวกระหาย ที่ไม่ปรารถนาสิ่งใดนอกจากสิ่งที่ควรปรารถนา และนึกไม่ถึงสิ่งใดนอกจากสิ่งที่ควรจินตนาการ สิ่งนั้นคือสิ่งที่เราต้องพยายามทำความเข้าใจ" มันเป็นเรื่องที่คงอยู่ตลอดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นปัจจัยร่วมในสภาวะของการตื่น ความฝัน การนอนหลับ ความตาย การเกิดใหม่ และการหลุดพ้นครั้งสุดท้าย เป็นความจริงธรรมดาที่ไม่มีอะไรสามารถทำลายได้ ความตายไม่ได้แตะต้องอาตมัน หรือความชั่วย่อมไม่ละลายอาตมัน ความคงทน ความต่อเนื่อง ความเป็นหนึ่งเดียว มีพลวัตอันนิรันดร์เป็นคุณลักษณะของอาตมัน มันเป็นโลกที่สมบูรณ์ในตัวเอง ไม่มีอะไรภายนอกที่จะต่อต้านอาตมัน การวิพากษ์วิจารณ์สมัยใหม่จะคัดค้านกระบวนการทั้งหมดในกรณีของเพติติโอ พรินซิเปีย (petitio principia) โดยลักษณะของการบรรจุในตัวตนและความสมบูรณ์ในตัวตนที่ถูกสันนิษฐานไว้ การแก้ปัญหานั้นถือเป็นเรื่องปกติ แต่อย่างที่เราจะได้เห็นกัน กระบวนการนี้มีความหมายในตัวเอง พระประชาบดีชี้ชัดว่าอัตตาของมนุษย์ประกอบด้วยอัตวิสัยที่แท้จริง ซึ่งไม่มีวันกลายเป็นวัตถุวิสัยได้ อาตมันเป็นบุคคลที่เห็นไม่ใช่สิ่งที่ถูกเห็น ไม่ใช่กลุ่มของคุณสมบัติที่เรียกว่า "ฉัน" แต่เป็นฉันที่ยังคงอยู่นอกเหนือและตรวจสอบคุณสมบัติเหล่านี้ทั้งหมด อาตมันเป็นประธานในประสาทสัมผัสที่เป็นจริงที่สุด และไม่สามารถกลายเป็นอารมณ์ของการรับรู้ได้ วัตถุที่ถูกรับรู้เกี่ยวกับตัวตนส่วนใหญ่ที่ใช้กันทั่วไปอาจกลายเป็นอารมณ์ที่ถูกรับรู้ได้ ข้ออภิปรายถกเถียงถือว่าสิ่งที่กลายเป็นอารมณ์ที่ถูกรับรู้เป็นของไม่ใช่ตัวตนหรืออาตมัน เราต้องถอดทุกอย่างที่เป็นตัวตนที่แท้จริงของเราออกจากตัวตนหรือแตกต่างจากตัวตน คำตอบแรกคือ ร่างกายที่เกิด เติบโต เสื่อมสลาย และตาย คือตัวตนที่แท้จริง ตามคำอธิบายของพระประชาบดีนั้น อัตตาแท้จริงแล้วคือบุคคลที่มองเห็นได้เมื่อมองตาผู้อื่น หรือถังน้ำ หรือกระจก ขอแนะนำให้เราสังเกตภาพแม้กระทั่งเส้นผมและเล็บ เพื่อบ่งบอกว่าไม่ใช่ตัวตน พระประชาบดีจึงขอให้พระอินทร์แต่งตัวเอง นุ่งห่มเสื้อผ้าที่ดีที่สุด มองดูน้ำและกระจกอีกครั้ง แลเห็นความคล้ายคลึงที่แต่งด้วยเสื้อผ้าดีที่สุดสะอาด พระอินทร์เกิดความสงสัย “ตัวตนนี้ในเงาหรือน้ำ ย่อมแต่งตัวดีเมื่อกายงาม งดงามเมื่อกายแต่งตัวดี ชำระดีเมื่อกายสะอาดดี กายนั้นก็จะบอดถ้ากายบอดด้วย , ง่อยถ้ากายเป็นง่อย, พิการถ้ากายพิกลพิการ, และพินาศตามจริงทันทีที่ร่างกายพินาศ ข้าพเจ้ายังไม่เข้าใจดีในเรื่องนี้” พระอินทร์เข้าไปหาอาจารย์คือพระประชาบดี และหลังจากเว้นช่วงไปนาน ก็มีพระดำรัสว่า “ผู้ที่เคลื่อนไหวด้วยความสุขในความฝันคือตัวตน” ตัวตนที่แท้จริงไม่ใช่ร่างกายที่สัมผัสกับความทุกข์และความไม่สมบูรณ์ทั้งหมดซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางวัตถุ ร่างกายเป็นเพียงเครื่องมือที่ใช้โดยจิตสำนึก ในขณะที่จิตสำนึกไม่ใช่ผลผลิตของร่างกาย และตอนนี้พระอินทร์ก็บอกว่าสิ่งที่ฝันคือตัวตน แต่เขารู้สึกลำบากอีกอย่างหนึ่ง “แม้แท้จริงแล้ว อัตตานั้นมิได้ถูกตำหนิด้วยโทษแห่งกาย ไม่ตีเมื่อถูกตี และไม่เป็นง่อยเมื่อร่างกายง่อย ทว่าราวกับว่าพวกเขาตีตัวตนนั้นในฝัน ราวกับว่าพวกเขาไล่ตามตัวตน, ตัวตนย่อมมีสติสัมปชัญญะด้วยความเจ็บปวดและเสียน้ำตา ฉันยังไม่เข้าใจดีในเรื่องนี้" พระประชาบดีใช้สภาวะความฝันแทนประสบการณ์ทางจิตอื่น ๆ เพราะความฝันที่เป็นอิสระจากร่างกายมากขึ้นมีความสำคัญในธรรมชาติของตัวตนเองที่ควรจะเป็น ให้ล่องลอยไปในความฝัน ในจิตนั้นเรียกว่า ตัวตนล่องลอยเป็นอิสระจากอุบัติภัยทางกาย มุมมองนี้เปรียบเสมือนตัวตนกับประสบการณ์ทางจิตที่เติบโตและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา นี่คือตัวตนเชิงประจักษ์ และพระอินทร์ (lndra) ตระหนักอย่างถูกต้องว่าตัวตนเชิงประจักษ์นี้อยู่ภายใต้อุบัติแห่งประสบการณ์ ไม่สามารถเป็นประธานได้ ทุก ๆ ขณะที่มันกำลังเปลี่ยนไป แม้ว่าจะเป็นอิสระจากร่างกาย แต่สภาพความฝันดูเหมือนจะไม่มีตัวตนซึ่งตัวตนที่แท้จริงหรืออาตมัน (Atman) ต้องเป็น อัตตาขึ้นอยู่กับข้อจำกัดของเวลาและการเกิดไม่สามารถพูดได้ว่าเป็นนิรันดร์ ตัวตนที่ผูกติดอยู่กับสภาพแวดล้อมในพื้นที่และชั่วคราวเป็นสิ่งสร้างสรรค์แห่งกาลเวลา เป็นผู้พเนจรในโลกแห่งสังสารวัฏ (Samsara) มันสร้างโลกที่ไม่สมบูรณ์ด้วยข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์แบบสำหรับตัวเอง มันไม่สามารถไม่ถูกทำลายได้ และไม่มีอิสระอันไร้ขอบเขต ดูเหมือนเราต้องการประธานที่เป็นพื้นฐานและดำรงไว้ซึ่งประสบการณ์ทั้งหมด ความเป็นจริงที่กว้างใหญ่กว่านั้นคือความฝันและประสบการณ์ในยามตื่นเป็นเพียงการเปิดเผยที่ไม่สมบูรณ์เท่านั้น กระแสของสภาวะไม่สามารถคงอยู่ได้ด้วยตัวมันเอง ตัวตนเชิงประจักษ์ไม่ได้เป็นนิรันดร์ พระอินทร์สอบถามพระประชาบดีอีกครั้งให้ช่วยอธิบายจุดยืนของพระองค์ให้ฟัง และหลังจากเวลาผ่านไปนานก็ได้รับการสั่งสอนว่า “เมื่อชายคนหนึ่งหลับใหล พักผ่อน และหลับสนิทอย่างเต็มที่ ไม่เห็นความฝัน นั่นแหละคืออาตมันหรือตัวตน” พระประชาบดีเข้าใจความลำบากของพระอินทร์ อัตตามิอาจถูกลดระดับลงเป็นชุดๆ ได้ เพราะนั่นจะเป็นการอธิบายความเป็นจริงของอัตตาถาวร และทำให้อาตมันตกอยู่ภายใต้ความผันผวนของประสบการณ์ที่มีโอกาสเกิดขึ้น พระอินทร์ต้องได้รับการสอนว่าวัตถุแห่งประสบการณ์จำเป็นต้องมีอารมณ์ที่ถูกรับรู้ถาวรซึ่งพวกมันสามารถสัมผัสได้ พระประชาบดีตั้งใจที่จะแสดงออกถึงวิธีการ ในขณะที่รอยยิ้มต้องการแมว ทุกที่ยกเว้นในดินแดนมหัศจรรย์ของอลิซ แมวไม่จำเป็นต้องมีรอยยิ้มเสมอไป วัตถุที่ถูกรับรู้ขึ้นอยู่กับการรับรู้ แต่ไม่ใช่การรับรู้วัตถุในความหมายเดียวกัน หากปราศจากการรับรู้ตัวตน ก็จะไม่สามารถมีความรู้ ไม่มีศิลปะ ไม่มีศีลธรรม อารมณ์ที่ถูกรับรู้ไม่สัมพันธ์กับตัวตนนั้นไม่มีอยู่จริง จากสิ่งที่รับรู้คืออารมณ์ที่ถูกรับรู้ทั้งหมด และสิ่งที่รับรู้ตัวเองก็ไม่ใช่สิ่งใดสิ่งหนึ่งเหนือสิ่งอื่น ๆ เพื่อให้พระอินทร์ตระหนักว่าตัวตนเป็นสิ่งรับรู้ประสบการณ์ทั้งหมด พระประชาบดีจึงใช้วิธีการที่เป็นนามธรรมซึ่งมีข้อเสียในตัวเอง 

                         ชีวิตคนเรามักยุ่งอยู่กับสิ่งต่างๆ เป็นธรรมดา เราอยู่กับโลกมากเกินไป ตัวตนของเราหลงอยู่ในความรู้สึก ความปรารถนา และจินตนาการ และไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วตัวตนคืออะไร ดำเนินชีวิตอย่างวัตถุที่ถูกรับรู้เท่านั้น หมกมุ่นอยู่กับสิ่งต่าง ๆ ของธรรมชาติ เคยยุ่งวุ่นวายอยู่กับการแสวงหาทางโลกอย่างแข็งขัน เราไม่ต้องการที่จะเสียเวลาคิดสักครู่หนึ่งเกี่ยวกับหลักการแรกของทุกสิ่ง นั่นคือ ตัวตนของมนุษย์ ความรู้ถูกนำไปใช้สำหรับถูกมอบให้ การไตร่ตรองถึงความรู้ การเข้าใจความหมายของความรู้ หมายถึงความเครียดทางจิตใจ ในประวัติศาสตร์ของยุโรปคิดว่าคำถามเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของความรู้นั้นมาช้า แต่เมื่อความรู้ถูกใส่เข้าก็ตระหนักว่าความรู้เป็นไปไม่ได้โดยปราศจากสิ่งที่เอมมานูเอล ค้านท์ (Kant) เรียกว่าความเป็นหนึ่งเดียวเหนือธรรมชาติของการรับรู้  โดยที่โพลตินุส (Plotinus) อ้างถึงในฐานะ "การหลอมรวม” โดยจิตวิญญาณของพฤติภาพทางจิตเอง การนำเสนอเบื้องต้นส่วนใหญ่ต้องการความเป็นจริงของตัวตน ในการรับรู้ที่เฉยเมยอย่างเห็นได้ชัดที่สุด เราตระหนักถึงกิจกรรมของตัวตน ทุกการเปลี่ยนแปลง ทุกประสบการณ์ ยึดเอาตัวตนที่เป็นศูนย์กลาง การเปลี่ยนแปลงนั้นถือเป็นการเปลี่ยนแปลงในภาพรวม ซึ่งเรากำลังพยายามทำให้เป็นจริง พระประชาบดีปรารถนาที่จะแสดงออกถึงความจำเป็นของตัวตนนี้โดยกระตุ้นให้มีตัวตนอยู่อย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าการตื่นหรือความฝันจะถูกระงับไว้ก็ตาม ในยามหลับใหล ไร้ความฝัน เราไม่มีอารมณ์รับรู้แห่งประสบการณ์ แต่เราไม่สามารถพูดได้ว่าไม่มีตัวตนในสภาวะตรงนั้น พระประชาบดีสันนิษฐานว่าพระอินทร์ (lndra) จะยอมรับความเป็นจริงของตัวตนในขณะหลับ เพราะความต่อเนื่องของจิตสำนึก แม้จะมีช่องว่างชั่วขณะ ก็ไม่สามารถอธิบายเป็นอย่างอื่นได้ หลังจากหลับสนิทดีแล้ว พระเทวทัตย่อมเป็นเทวทัตต่อไป เพราะประสบการณ์ของเขาได้รวมเข้ากับระบบที่ดำรงอยู่ในเวลาเมื่อเขาเข้านอน พวกเขาเชื่อมโยงตัวเองกับความคิดของเขาและไม่โบยบินไปหาใคร ความต่อเนื่องของประสบการณ์นี้กำหนดให้เราต้องยอมรับตัวตนถาวรซึ่งอยู่ภายใต้แก่นสารทั้งหมดของจิตสำนึก สิ่งที่มีอยู่ในการหลับใหลโดยปราศจากอารมณ์รับรู้ให้พิจารณาคือตัวตน กระจกไม่แตกเพราะไม่มีอะไรถูกมองเห็นในนั้น พระประชาบดีพยายามดึงเอาศักยภาพสูงสุดของผู้เป็นใหญ่ในการรับรู้ออกมาเหนืออารมณ์ที่ถูกรับรู้ ความจริงตามคำกล่าวของยัชนาวัลกยา (Yajnavalkya) ว่าแม้อารมณ์ที่ถูกรับรู้ทั้งหมดจะดับลง ตัวรับรู้ก็ยังอยู่ในความสว่างของตัวมันเอง “เมื่อตะวันลับขอบฟ้า เมื่อดวงจันทร์ดับ และดับไฟแล้ว ตัวตนเท่านั้นที่เป็นแสงสว่างของเขา” แต่พระอินทร์เป็นนักจิตวิทยามากเกินไปสำหรับพระประชาบดี พระองค์รู้สึกว่าตัวตนนี้ ซึ่งเป็นอิสระจากประสบการณ์ทางร่างกายทั้งหมด จากมวลแห่งความฝันที่ไร้รูปแบบ ฯลฯ ตัวตนที่ไร้อารมณ์ที่ถูกรับรู้นี้ เป็นนวนิยายที่แห้งแล้ง หากตัวตนไม่ใช่สิ่งที่มันรู้ รู้สึก และตอบสนอง ถ้าตัวตนถูกแยกออกจากมันและทำให้การรับรู้ว่างเปล่า จะมีอะไรเหลืออยู่? "ไม่มีอะไร" พระอินทร์กล่าว "การเป็นอิสระจากทุกสิ่งคือการไม่เป็นอะไร" พระโคตมพุทธเจ้าทรงเปรียบเทียบต้นไม้ต้นหนึ่งแล้วถามว่าต้นไม้นั้นควรเหลืออะไร หลังจากที่เราฉีกใบ ผ่ากิ่ง ลอกเปลือกออก ฯลฯ? หั่นหัวหอมแล้วลอกออกเป็นชั้น ๆ หัวหอมจะเหลืออะไรอีก? ไม่มีอะไร. แบรดลีย์ (Bradley) ชี้ให้เห็นว่า: "อัตตาที่แสร้งทำเป็นอะไรก็ได้ไม่ว่าก่อนหรือหลังการสร้างสรรค์ การเติมเต็มทางจิตที่เป็นรูปธรรมเป็นนวนิยายที่เลวร้ายและเป็นเพียงสัตว์ประหลาด และไม่มีจุดประสงค์ที่ยอมรับได้" ในทัศนะนี้ การหลับใหลไร้ความฝัน ไม่มีตัวตนเลย. จอห์น ล็อค (John Lock) ประกาศว่าทุก ๆ การพยักหน้าที่ง่วงจะระเบิดทฤษฎีแห่งตัวตน "ในยามหลับใหล จิตไม่มีอยู่จริง ไม่มีเวลา ไม่มีความคิดต่อเนื่อง การพูดว่า จิตมีอยู่โดยไม่ได้คิด เป็นการขัดแย้ง ไร้สาระ ไม่มีอะไรเลย" ดูเหมือนว่าพระอินทร์จะเป็นนักประจักษ์นิยมในยุคก่อน จอห์น ล็อคและเบิร์กลีย์ (Berkeley) ลอตเซ่ (Lotze) ถามว่า “ถ้าวิญญาณในความหลับใหลไร้ความฝันอย่างสมบูรณ์ คิดคำนึง รู้สึก และไม่ประสงค์สิ่งใดเลย วิญญาณนั้นก็เป็นอย่างนั้นเลย และถ้าเป็นเช่นนั้น จะเป็นอย่างไร” “มีคนตอบบ่อยแค่ไหน ว่าถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้น วิญญาณจะไม่มีตัวตน ทำไมเราจึงไม่กล้าพูดว่าบ่อยครั้งเช่นนี้ วิญญาณจะไม่เกิดขึ้น” พระอินทร์จึงกล้าประกาศว่า “มันถูกทำลายไปแล้วจริงๆ” นี่เป็นบทเรียนที่สำคัญซึ่งถูกลืมไปแล้วครั้งแล้วครั้งเล่าในความคิดของชาวอินเดีย การปฏิเสธชีวิตโดยสิ้นเชิงคือการทำลายพระเจ้าภายใน บรรดาผู้ที่คิดว่าเราไปถึงจุดสูงสุดที่บรรลุได้ ในอัตวิสัยอันบริสุทธิ์ จะต้องหันไปใช้บทสนทนาของพระอินทร์และพระประชาบดี สภาวะที่หลุดพ้นจากขีดจำกัดของสิ่งมีชีวิตจากเวลาและพื้นที่ จากการมีอยู่ของวัตถุที่ถูกรับรู้เป็นพวกสูญยนิยมอย่างง่ายตามทัศนะของพระอินทร์   อัตตาที่ไร้สาระแก่นสารนี้ตามบทตั้งที่ว่า cogito ของเรเน่ เดส์การ์ตส์ (Descartes) ความเป็นเอกภาพอย่างเป็นรูปแบบของเอ็มมานูเอล ค้านท์ (Kant) ตัวรับรู้ที่ปราศจากอารมณ์ที่ถูกรับรู้นี้สมมติให้ยืนอยู่ข้างหลังซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับจิตสำนึกเชิงประจักษ์ทั้งหมดเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ การสะท้อนเชิงปรัชญาและการวิเคราะห์ทางจิตวิทยานำไปสู่ผลลัพธ์นี้ แต่พระประชาบดีพยายามเน้นย้ำถึงอัตลักษณ์ของตนเองซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของประสบการณ์ ทรงกระวนกระวายที่จะชี้ว่าแม้ตนจะมิได้แยกจากสภาวะที่มีสติสัมปชัญญะ มันไม่ใช่สภาวะที่มีสติสัมปชัญญะ ดร.แมคแทกการ์ต (Dr. McTaggart) ให้ประเด็นทั้งหมดว่า “ตัวตนประกอบด้วยอะไร ทุกสิ่งใด ๆ ที่มีสติสัมปชัญญะ มันจะรวมกับอะไรได้? ทุก ๆ สิ่งที่เท่าเทียมกันของสิ่งที่มีสติสัมปชัญญะ สิ่งใดที่มันพูดไม่ได้อยู่ภายในก็ไม่มีอะไร สิ่งใดที่มันบอกว่าไม่อยู่ข้างนอกก็เป็นนามธรรมอย่างเดียว และความพยายามใด ๆ ที่จะขจัดความขัดแย้งนั้นทำลายตนเองเพราะทั้งสองฝ่ายเชื่อมโยงกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้หากเราพยายามทำให้เป็นปัจเจกบุคคลโดยแยกออกจากสิ่งอื่นทั้งหมดก็จะสูญเสียสารัตถะทั้งหมดของสิ่งที่สามารถมีสติสัมปชัญญะและได้สูญเสียความเป็นปัจเจกซึ่งเราเริ่มด้วยการพยายามรักษาไว้ ในทางกลับกัน หากเราพยายามที่จะรักษาสารัตถะของมัน โดยเน้นบทสรุปที่การกีดกัน จิตสำนึกจะหายไป; และในเมื่อตัวตนไม่มีสาระ แต่วัตถุที่ถูกรับรู้มีสติสัมปชัญญะ สารัตถะนั้นก็มลายไป" พระอินทร์ทรงแสดงความเสี่ยงในการนึกว่าเป็นตัวตนในฐานะผู้อยู่เหนือการรับรู้ อัตตาต้องปรากฏเป็นชีวิตจริงของส่วนรวม และไม่ใช่เพียงนามธรรม ดังนั้น ขั้นต่อไปเมื่อพระอินทร์อธิบายต่อพระประชาบดีถึงความยากของพระองค์ให้ประจักษ์ด้วยถ้อยคำว่า “ในความจริงที่ว่าตัวรับที่หลับไหลโดยปราศจากความฝันนั้นไม่รู้จักตนเองว่าตนเป็นอยู่และไม่รู้ถึงสิ่งที่มีอยู่จริง เขาย่อมไปสู่สุญภาวะหมดสิ้น ข้าพระองค์ยังไม่เข้าใจในเรื่องนี้ดี" พระประชาบดีชี้ให้เห็นถึงอัตลักษณ์ ที่วิ่งเข้าหาและผ่านความแตกต่าง โลกทั้งใบเป็นกระบวนการเดียวของการตระหนักรู้ในตนเองของความคิดที่สมบูรณ์ “มฆวาน ! ร่างกายนี้เป็นของตายและทุกสิ่งอยู่ภายใต้ความตาย เป็นที่อยู่ของตัวตนซึ่งเป็นอมตะและไม่มีร่างกาย พรหมันเป็นปุคคลภาวะของตา ตาเองเป็นเครื่องมือในการมองเห็น พรหมันเป็นผู้ที่รู้, ขอให้ฉันได้ดมกลิ่นนี้ พรหมันเป็นตัวตน จมูกเป็นเครื่องดมกลิ่น ฯลฯ" ตัวตนนั้นแสดงให้เห็นว่าไม่ใช่หลักการที่เป็นทางการในเชิงนามธรรม แต่เป็นจิตสำนึกสากลที่กระตือรือร้น ที่มีอยู่ เพื่อนำวาทศาสตร์ของเฮเกล (Hegel) มาใช้ ทั้งในตัวเองและสำหรับพรหมันเอง อัตตาคือความเหมือนในตัวเองที่เรียบง่ายและความแตกต่างที่หลากหลาย เป็นทั้งเรื่องและวัตถุ วัตถุที่เรารู้จักในประสบการณ์นั้นขึ้นอยู่กับสิ่งนั้น ตัวตนที่ไม่สิ้นสุดที่แท้จริงไม่ใช่ตัวตนที่ไร้ขอบเขต พรหมันไม่ใช่สิ่งที่จำกัดแต่ยังเป็นพื้นฐานของสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด พรหมันคือตัวตนที่เป็นสากลซึ่งดำรงอยู่ตลอดจนอยู่เหนือธรรมชาติ จักรวาลทั้งจักรวาลอาศัยและหายใจเข้าไป "ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์เป็นดวงตาของพรหมัน ครึ่งหนึ่งในสี่ของท้องฟ้าเป็นหู สายลมเป็นลมหายใจ" พรหมันเป็นแสงสว่างที่แผดเผาในส่วนลึกของบุคลิกภาพ อากาศ (akasa) สากลที่สิ่งมีชีวิตทั้งหมดดำเนินไป หลักการสำคัญของการสร้างสรรค์ เรื่องที่โลกทั้งโลกสั่นสะท้าน ไม่มีอะไรนอกพรหมัน พรหมันมีจิตสำนึกของอารมณ์ที่ถูกรับรู้โดยปริยาย ไม่มีสิ่งใดในจักรวาลที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวตนที่ไม่มีที่สิ้นสุดในตัวเรา ตัวตนนี้ซึ่งโอบรับทุกสิ่งคือความจริงเพียงประการเดียวที่ประกอบด้วยข้อเท็จจริงทั้งหมดของธรรมชาติและประวัติศาสตร์ทั้งหมดของประสบการณ์อยู่ภายในตัวพรหมันเอง อาตมันเล็กๆ ของเรารวมอยู่ในนั้นและพรหมันอยู่เหนืออาตมัน นี่เป็นตัวรับรู้ที่เป็นมากกว่าการไหลของการปรากฎตัวตน ซึ่งเป็นเพียงการเปิดเผยที่ไม่สมบูรณ์เท่านั้น สภาวะของจิตสำนึกทั้งหมดของเราหมุนรอบแสงส่วนกลางนี้ ปราศจากพรหมันแล้วปรากฎการณ์ทั้งหมดก็หายไป หากไม่มีพรหมันผู้รับรู้ก็จะไม่มีการไหลไปแห่งปรากฎการณ์ ไม่มีลำดับของความรู้สึกในอวกาศหรือลำดับในเวลา พรหมันทำให้ความทรงจำและความรู้ประจักษ์ ความรู้แจ้งและศีลธรรมที่เป็นไปได้ พวกนักปรัชญาอุปนิษัทระบุว่าเรื่องนี้เป็นพื้นแผ่นดินอันเป็นสากลซึ่งมีอยู่ในปัจเจกบุคคล พรหมันถูกซ่อนอยู่ในทุกสิ่งและแผ่ซ่านไปทั่วการสร้างสรรค์ทั้งหมด "ไม่มีสิ่งที่เป็นสองอื่นนอกนั้น ไม่มีถ้อยคำอื่นอีกที่ชัดเจน" “ขณะที่หายใจ อาตมันถูกเรียกว่าลมหายใจ ขณะที่พูด อาตมันถูกเรียกว่าการพูด ขณะที่เห็นอาตมันเป็นดวงตา ขณะที่ฟัง อาตมันเป็นหู ขณะที่เข้าใจ อาตมันเป็นดวงใจ ทั้งหมดนี้เป็นเพียงชื่อสำหรับปฏิบัติการของพรหมัน” จึงเป็นเพียงตัวตนที่เข้าใจเท่านั้นที่สามารถจะถูกมองจากเบื้องบนในฐานะว่าเป็นตัวรับรู้ที่ถาวรที่คงอยู่ทั้งในการตื่นและความฝัน ทั้งในความตายและการหลับใหล ทั้งในอาสวะและการหลุดพ้น มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง สำรวจไปทั่วโลก พรหมันเป็นสิ่งสากลและยังเป็นตัวรับรู้ที่เป็นสากล พรหมันมองเห็นแล้วยังไม่เห็น ดังที่อุปนิษัทมีว่า “เมื่อใดที่อาตมันมองไม่เห็น พรหมันก็ยังเห็น ถึงแม้ว่าอาตมันจะมองไม่เห็น; เพราะพรหมันผู้หยั่งรู้ไม่มีการหยุดชะงักในการเห็นเพราะเป็นผู้ไม่เสื่อมคลาย แต่ไม่มีสิ่งที่เป็นที่สองข้างๆ พระองค์ ไม่มีอื่นใดที่แตกต่างจากพระองค์ ให้พระองค์เห็น" พรหมันคือสิ่งทั้งปวง "เราคือจักรวาลทั้งมวลนี้จริง" (Aham eva idam sarvo’smi-อหมฺ เอว อิทมฺ สารโว’สมิ)

                 ตัวตนสากลนี้โดยธรรมชาติของมันเองไม่สามารถรับรู้ได้ ดังที่ศังกราจารย์กล่าวไว้ว่า "อาตมันผู้ฉลาดได้ทำให้รู้แจ้งในตนเอง แต่ไม่เคยอยู่ในจิตสำนึก" อาตมันไม่ใช่จุดอ้างอิงของประสบการณ์ ไม่ใช่วัตถุที่ถูกรับรู้ แม้ว่าวัตถุที่ถูกรับรู้ทั้งหมดมีไว้สำหรับพรหมัน อาตมันไม่ใช่ความคิด แต่เป็นความคิดทั้งหมดมีอยู่สำหรับอาตมัน อาตมันไม่ใช่สิ่งที่เห็น แต่เป็นหลักการของการมองเห็นทั้งหมด อย่างที่ค้านท์ (Kant) เคยกล่าวว่า สภาพของผู้รู้เชิงประจักษ์ไม่ใช่ตัวที่รู้เอง "สิ่งที่ฉันต้องคาดเดาเพื่อที่จะรู้อารมณ์ที่ถูกรับรู้" คานท์ (Kant) กล่าวว่า "ฉันไม่รู้ในฐานะเป็นวัตถุที่ถูกรู้" ตัวรับรู้ของประสบการณ์ทั้งหมดไม่สามารถเป็นประสบการณ์ได้ หากเป็นประสบการณ์ คำถามก็เกิดขึ้นว่า โดยใครเล่าที่เป็นผู้ถูกรู้ ? ความรู้มักทำงานคู่กัน เพราะนั้นตัวตนนี้จึงไม่อาจกำหนดได้ เช่นเดียวกับหลักการขั้นสูงสุดทั้งหมด มีเพียงการยอมรับเท่านั้น อาตมันคือคำอธิบายของสิ่งอื่นทั้งหมด แม้ว่าอาตมันจะไม่ได้อธิบายเองก็ตาม ความยากแบบเก่าของออกุสต์ กองต์ (Comte) ที่ตัวรับรู้ไม่สามารถหมุนรอบและจับตัวเองได้นั้นไม่ใช่สิ่งที่สมมติขึ้นโดยสิ้นเชิง “วิญญาณซึ่งไม่ใช่สิ่งนี้ สิ่งนั้น หรือสิ่งอื่นใด จับต้องไม่ได้ เพราะอาตมันจับต้องไม่ได้” พวกนักปรัชญาอุปนิษัทปฏิเสธที่จะระบุตัวตนกับร่างกาย หรือชุดของสภาวะจิต หรือความต่อเนื่องของการปรากฎตัว หรือกระแสแห่งสติสัมปชัญญะ ตัวตนไม่สามารถเป็นความสัมพันธ์ที่ต้องใช้พื้นฐานของความสัมพันธ์หรือการเชื่อมโยงของเนื้อหาซึ่งไม่สามารถเข้าใจได้หากไม่มีตัวแทนที่เชื่อมโยง เราจำเป็นต้องยอมรับความเป็นจริงของจิตสำนึกสากลที่มาพร้อมกับสารัตถะของจิตสำนึกและคงอยู่แม้ว่าจะไม่มีสาระแก่นสารอยู่ก็ตาม อัตลักษณ์พื้นฐานนี้ซึ่งเป็นสมมุติฐานของทั้งตนเองและไม่ใช่ตนเอง เรียกว่าอาตมัน ไม่มีใครสามารถสงสัยความเป็นจริงของอาตมันได้ 

                    มุณฑูกยะอุปนิษัท (Mandukya Upanisad) ทำให้เราวิเคราะห์เรื่องจิตสำนึกที่นำไปสู่ข้อสรุปเดียวกัน เราจะเริ่มต้นด้วยการแสดงสิ่งที่กล่าวในประเด็นนี้โดยไม่เสียค่าที่ต้องจ่าย วิญญาณมีสามเงื่อนไขซึ่งทั้งหมดรวมอยู่ในเงื่อนไขที่สี่ คือ อาตมันตื่น ฝัน หลับ และสิ่งที่เรียกว่าตุรียา (turiya) เงื่อนไขแรกคือความตื่นตัว ที่ซึ่งตัวตนตระหนักถึงโลกทั่วไปของวัตถุภายนอก อาตมันสนุกกับสิ่งเลวร้าย ที่นี่การพึ่งพาร่างกายเป็นปัจจัยหลัก เงื่อนไขที่สอง คือ ความฝัน ที่ซึ่งตัวตนเพลิดเพลินกับสิ่งละเอียดอ่อน สร้างโลกรูปแบบใหม่ด้วยวัสดุแห่งประสบการณ์การตื่น กล่าวกันว่าวิญญาณจะท่องไปอย่างอิสระโดยปราศจากพันธนาการของร่างกาย ประการที่สามคือสภาพของการนอนหลับที่สมบูรณ์ซึ่งเราไม่มีความฝันหรือความปรารถนา เรียกว่า สุศุปติ (susupti). กล่าวกันว่าวิญญาณเป็นหนึ่งเดียวกับพรหมันชั่วคราวและมีความสุข ในการนอนหลับสนิท เราถูกยกขึ้นเหนือความปรารถนาทั้งหมดและเป็นอิสระจากความวุ่นวายของวิญญาณ ตัวตนที่คัดค้านก็เลยสูญเสียไปในสภาพของตัวรับรู้ที่ไร้ซึ่งอารมณ์ที่ถูกรับรู้อันบริสุทธิ์นี้ ศังกราจารย์สังเกตว่าปรากฏการณ์ของความเป็นคู่ที่เกิดจากการกระทำของจิตใจมีอยู่ในอีกสองเงื่อนไข แต่ไม่มีในที่นี้ ในหลายตอนเราบอกว่าเราลิ้มรสธรรมชาติของความสุขที่แท้จริงในการนอนหลับที่ไร้ความฝันที่ชายคนหนึ่งถูกตัดขาดจากโลกที่เสียสมาธิ วิญญาณมีต้นกำเนิดมาจากสวรรค์ แม้ว่าจะอุดตันด้วยเนื้อหนังก็ตาม ว่ากันว่าขณะหลับจะหลุดจากพันธนาการของร่างกายและได้ธรรมชาติเดิมแท้กลับคืนมา เราอ่านงานที่เป็นเศษเสี้ยวของอริสโตเติลว่า "เมื่อใดก็ตามที่วิญญาณอยู่ตามลำพังและหลับด้วยตัวของมันเอง มันก็จะฟื้นคืนสภาพโดยธรรมชาติของมัน" ความศักดิ์สิทธิ์ตามธรรมชาติของจิตวิญญาณยืนยันตัวเองอีกครั้งเมื่อเป็นอิสระจากการปกครองแบบเผด็จการของเนื้อหนัง "เขาให้ความจริงอันเป็นที่รักของเขาในการนอนหลับ" ความคล้ายคลึงของการนอนหลับที่ไร้ความฝันชั่วนิรันดร์ถูกนำมาใช้เพื่อแสดงให้เห็นว่ากิจกรรมภายนอกทั้งหมดถูกระงับอย่างไร แต่มีความเป็นไปได้ที่จะสับสนกับการหมดสติอย่างแท้จริง ดังนั้น มัณฑูกยะอุปนิษัทจึงชี้ให้เห็นว่าการหลับใหลที่ไร้ความฝันสูงสุดไม่ใช่การหลับใหล แต่เป็นสภาวะที่สี่ของจิตวิญญาณ เป็นการมีสติสัมปชัญญะที่บริสุทธิ์ ซึ่งไม่มีความรู้เรื่องวัตถุภายในหรือภายนอก ในยามหลับใหล วิญญาณจะสถิตอยู่ในดินแดนที่อยู่เหนือชีวิตแห่งความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลงไป ในการเป็นหนึ่งเดียวกับพรหมันอย่างสัมบูรณ์ สภาพของตูริยะ (turiya) นำเสนอด้านบวกของด้านลบที่เน้นย้ำในสภาวะการนอนหลับสนิท “ประการที่สี่ ไม่ใช่สิ่งที่รู้แจ้งในอัตตวิสัย หรือสิ่งที่รู้แจ้งในวัตถุวิสัย หรือสิ่งที่ทราบถึงทั้งสองอย่าง หรือสิ่งที่เป็นจิตสำนึกธรรมดา หรือสิ่งที่เป็นมวลแห่งสรรพสัตว์ หรือสิ่งที่เป็นความมืดทั้งหมด เป็นสิ่งที่มองไม่เห็น เหนือธรรมชาติ เข้าใจยาก ไร้ขอบเขต คิดไม่ถึง อธิบายไม่ได้ แก่นแท้เพียงประการเดียวของจิตสำนึกในตนเอง ความสมบูรณ์ของโลก โลกที่สงบสุข เป็นหนึ่ง อันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน นี้เองคืออาตมัน" โอมการะ (Aumkara) เป็นสัญลักษณ์ของพรหมัน พร้อมกับส่วนของโอม (A-U-M) คือ ภาวะการตื่น ฝัน และหลับ มิใช่อัตตาอันเอกสิทธิ์แต่เป็นพื้นฐานทั่วไปของทั้งหมด พื้นฐานของตัวตน ในการนอนหลับลึกเราอาจกล่าวได้ว่าไปถึงเอกภาพอันนิรันดร์ซึ่งความแตกต่างทั้งหมดหายไปและจักรวาลทั้งหมดถูกสลาย แต่เนื่องจากสิ่งนี้ไม่ถือว่าเป็นสถานะสูงสุดจึงเป็นสภาวะเชิงบวกที่สูงกว่า สำหรับปัจเจกบุคคลเชิงประจักษ์ ถ้าตัวตนไม่ใช่ตัวตน ความเป็นปัจเจกของเขาก็จะหายไปด้วย ดังนั้นจึงมีความสงสัยว่าการเลิกใช้วัตถุที่ถูกรับรู้จะลดทอนตัวตนให้กลายเป็นนามธรรมบาง ๆ แต่ในตัวตนสากลขั้นสูงสุด ความเป็นจริงของวัตถุที่ถูกรับรู้ทั้งหมดรวมอยู่ด้วย เรารู้จักและรักอารมณ์ที่ถูกรับรู้ของโลกก็ต่อเมื่ออาตมันมันเข้ามาอยู่ในตัวเราเท่านั้น ซึ่งเข้าใจวัตถุที่ถูกรับรู้ทั้งหมดของจักรวาลในตัวเองและไม่มีอะไรภายนอก เป็นอัตลักษณ์ที่ไม่เปลี่ยนแปลงและดำรงคงอยู่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทั้งหมด อารมณ์แปรปรวนและแปรผัน แต่ตัวตนที่เป็นอาตมันยังคงเดิม ย่อมไม่มีจุดเริ่มต้น ไม่มีจุดสิ้นสุด แม้ว่าสิ่งที่มีสติสัมปชัญญะมีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด “ไม่เคยมีความดับแห่งสติที่ไม่มีประสบการณ์ หรือถูกรู้เห็นได้โดยตรง หรือหากเป็นแล้ว จากนั้นเป็นตัวรู้ ตัวผู้มีประสบการณ์ ตัวเขาเองก็ยังคงอยู่เบื้องหลังเป็นศูนย์รวมความต่อเนื่องของจิตสำนึกเดียวกันนั้น” เป็นพื้นฐานของการดำรงอยู่ทั้งหมด ตัวรู้อย่างเดียวและการสนับสนุนที่เป็นไปได้เพียงอย่างเดียวจากทุกสิ่งที่เรารู้ แม้ว่าธรรมชาติของการพึ่งพาอารมณ์แห่งการรับรู้ในเรื่องดังกล่าวซ้ำซากจำเจนั้นไม่ชัดเจนนัก สภาวะแห่งตน ๓ ประการ คือ การตื่น การฝัน การนอน ประกอบกับสิ่งที่เข้าใจได้ทั้งหมด เรียกว่า วิศวะ (Visva) ไตชสะ (Taijasa) ปรัชญา (Prajna) และตุริยะ (Turiyas) ตามลำดับ 

                 จากการวิเคราะห์สภาวะการฝัน การตื่น และการนอนหลับทั้งสามนี้ ปรากฏว่าสภาวะทั้งสามนี้ไม่มีอยู่จริงแม้ว่าจะไม่มีอยู่จริงก็ตาม "สิ่งใดไม่มีในตอนต้น และไม่มีจุดสิ้นสุด จะต้องไม่มีตรงกลางอย่างแน่นอน" ตัดสินโดยประสบการณ์การตื่นไม่มีจริง หากว่ากันว่าสภาวะแห่งความฝันนั้นไม่จริงเพราะไม่สอดคล้องกับประสบการณ์ที่เหลือของเรา คงไม่ถูกกระตุ้นหรือไม่ว่าประสบการณ์การตื่นนอนนั้นไม่สอดคล้องกับความฝัน ? ความฝันอาจเชื่อมโยงกันในตัวตน แม้ว่าประสบการณ์การตื่นจะอยู่ภายในขอบเขตของตัวตนเองก็ตาม โลกดูเหมือนจะเป็นจริงเฉพาะในความสัมพันธ์กับอารมณ์ที่ถูกรับรู้เฉพาะของตนเอง ไม่เหมาะสมที่จะนำมาตรฐานประสบการณ์การตื่นมาประณามโลกแห่งความฝัน ประสบการณ์ที่ฝันและตื่นมานั้นเป็นเรื่องไม่จริงแม้ว่าจะอยู่ในองศาที่ต่างกัน สภาพของการนอนหลับที่ไร้ความฝันเป็นเงื่อนไขหนึ่งที่เราไม่มีความรู้ความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งภายในหรือภายนอก มันเป็นมวลที่แยกไม่ออกภายใต้ความมืดมิด เปรียบได้กับค่ำคืนของเฮเกล ซึ่งวัวทุกตัวมีสีดำ เรามีสภาวะเชิงลบของสภาวะสูงสุด ปราศจากความเศร้าโศก แต่อาตมันไม่ใช่การไม่มีความทุกข์ เป็นความสุขทางบวก มิใช่การตื่น ไม่ฝัน ไม่หลับ แต่เป็นการเห็นที่สี่เช่นเดียวกับการล่วงเกินทั้งสาม คำอธิบายเชิงลบที่ให้มาบ่งชี้ว่าเราไม่สามารถรู้ธรรมชาติเชิงบวกของมันได้ ประการที่สี่ได้รับการตระหนัก ไม่มากไปกว่าการปฏิเสธทั้งสามเท่าโดยก้าวข้ามสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด เป็นไปไม่ได้ที่เราจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีขอบเขตจำกัดที่จะกำหนดลักษณะของความเป็นจริงในอุดมคติ แม้ว่าอุปนิษัทจะค่อนข้างเน้นว่าไม่ว่างเปล่า ทว่าเพื่อหักล้างความคิดเท็จของสิ่งสูงสุดและเพื่อชี้ให้เห็นความจริงที่ว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เป็นนามธรรม พวกเขาหลงระเริงไปกับแนวคิดที่ไม่เพียงพอ พูดอย่างจริงจังเราไม่สามารถพูดอะไรของอาตมันได้ แต่สำหรับวัตถุประสงค์ของการอภิปราย เราจำเป็นต้องใช้แนวคิดทางปรัชญาที่มีความถูกต้องจำกัด ปัญหาของตัวเองเป็นปัญหาที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งที่กล่าวถึงในอุปนิษัท มันเกิดขึ้นอีกครั้งในฐานะอัธยาตมวิทยา (Adhyitma Vidya) ในภควัทคีตา (Bhagavadgita) และเวทานตะ สูตระ (Vedanta Sutras) การวิเคราะห์ธรรมชาติของอาตมันเป็นมรดกของอุปนิษัทที่ตกทอดไปยังระบบความคิดที่ตามมา ทำให้เกิดความเข้าใจผิดหลายอย่าง หลักคำสอนที่ขัดแย้งกันของธรรมชาติของอาตมันนั้นถูกระบุโดยพระพุทธเจ้าและศังกราจารย์ (Samkara) กปิละ (Kapila) และปตัญชลี (Patanjali) ซึ่งความคิดเห็นสามารถโยงไปถึงปรัชญาอุปนิษัทได้ มิใช่เจตนาของนักปรัชญาอุปนิษัทที่จะทำให้อัตตาที่ลึกซึ้งกลายเป็นความว่างเปล่าที่เป็นนามธรรม มันคือความจริงที่สมบูรณ์ที่สุด เป็นจิตสำนึกที่สมบูรณ์ที่สุด ไม่ใช่เพียงความสงบด้านลบ ไม่ถูกรบกวนจากความไม่สงบและมลทินด้วยจุดด่างหรือตำหนิใดๆ ตรรกะของความคิดมีการเคลื่อนไหวเชิงลบซึ่งเพิ่มขึ้นโดยการปฏิเสธขอบเขต แต่นี่เป็นเพียงขั้นตอนในการเดินทางเท่านั้น โดยกระบวนการเชิงลบ อาตมันต้องตระหนักว่าแก่นแท้ของมันไม่ได้อยู่ในความจำกัดหรือความพอเพียง โดยวิธีเชิงบวกจะพบอามันที่แท้จริงในชีวิตและความเป็นอยู่ของทุกคน ทุกสิ่งมีอยู่ในอาตมันที่แท้จริงนี้ ชาวพุทธบางคนมองว่ามีเพียงความว่างเปล่าในอาตมัน และในข้อสันนิษฐานนี้ ก็ถือว่าถูกละเลยว่าเป็นนามธรรมของอภิปรัชญา เราไม่พบอาตมันนี้ในมุมใดๆ ของพื้นที่แห่งจิตสำนึก หาไม่เจอก็รีบสรุปว่าไม่มีอะไร ปรัชญาสางขยะมองอาตมันว่าเป็นวิญญาณที่เรียบง่ายและบริสุทธิ์ แม้ว่าจะอยู่เฉยๆ ซึ่งทั้งๆ ที่ความเรียบง่ายชัดเจนมีลักษณะเฉพาะและมีเอกลักษณ์อยู่บ้าง ดังนั้นเราจึงได้รับหลักคำสอนเรื่องวิญญาณจำนวนมากที่ไร้ขอบเขต นักปรัชญาเวทานตะบางท่านมีทัศนะว่าอาตมันที่แท้จริงหรือพราหมณ์นั้นบริสุทธิ์ สงบ สันติ ไม่วุ่นวาย และถือได้ว่ามีเพียงตัวตนเดียวเท่านั้น โดยการเน้นที่ด้านบวก พวกเขาเสี่ยงต่อการลดความว่างเปล่า มีพุทธศาสนาบางนิกายที่ลดอัตตาให้เหลือแต่สติปัญญา ซึ่งสามารถแสดงความคิดได้โดยปราศจากสารัตถะใด ๆ

 

หมายเลขบันทึก: 706126เขียนเมื่อ 28 สิงหาคม 2022 15:35 น. ()แก้ไขเมื่อ 29 สิงหาคม 2022 06:37 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท