ในเวทีการจัดการเรียนรู้ “มหาวิทยาลัยแห่งความสุข” ช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2565 ที่คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ผมนำเรื่องสั้น “เหมือนอย่างไม่เคย” ของอาจารย์วิทยากร เชียงกูล มาให้นิสิตในแต่ละกลุ่มอ่านและวิเคราะห์ หรือที่เรียกว่า “อ่านเอาเรื่อง”
เบื้องต้นก็เกริ่นแบบกรายๆ ว่า “ให้อ่านมาล่วงหน้า”
ที่ไม่เกริ่นแบบย้ำเน้นก็เพราะ ผมกลัวว่านักศึกษา “ครูรัก(ษ์)ถิ่น” จะไปสืบค้นบทวิจารณ์มาล่วงหน้า จนทำให้กระบวนการที่จะเรียนรู้และเพิ่มพูนทักษะไปไม่ถึงฝั่งฝัน อันหมายถึง ทักษะการอ่าน ทักษะการตีความ ทักษะวิเคราะห์ -สังเคราะห์ร่วมกันอย่างเป็นทีมผ่านแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุก Active Learning
ส่วนประเด็นเหตุผลที่นำเอาเรื่องสั้นเรื่องดังกล่าวมาเป็น “โจทย์การเรียนรู้” ก็เพราะว่า ผมหาบันเทิงคดี หรือวรรณกรรม ตลอดจนสื่อที่มีเรื่องราวทำนอง “นิสิตนักศึกษา” กับ “การเรียนรู้คู่บริการ” ต่อชุมชนยังไม่ได้ และที่สำคัญก็คือ ผมมองว่าเรื่องสั้นเรื่องนี้มีกลิ่นอายอันเป็นแก่นคิดที่ลุ่มลึก-ครอบคลุมเกี่ยวกับบทบาทของปัญญาชนที่มีต่อสังคม รวมถึงมิติชวนคิดในเรื่องการศึกษา สังคม เศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม ฯลฯ
ปฏิเสธไม่ได้ว่า เรื่องสั้นเรื่องดังกล่าว ยังคงมีความร่วมสมัยอยู่อย่างชัดเจน เรื่องทั้งเรื่องสะท้อนโลกทัศน์ของนิสิตนักศึกษาในเมืองไทยอย่างน่าสนใจ แม้จะถูกเขียนและเผยแพร่มามากกว่า 50 ปี แต่เรื่องราวทั้งปวงกลับเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อน ๆ
กระบวนการทั้งปวงเริ่มต้นจากการแบ่งนักศึกษาออกเป็นกลุ่มๆ กลุ่มละประมาณ 7-8 คน โดยกำหนดให้ ”อ่านเอาเรื่อง” แล้วช่วยกันวิเคราะห์ สังเคราะห์ ถอดรหัสผ่านประเด็นหลักๆ คือ “มีความหมายใดในเรื่องสั้น”
ผมเจตนาตั้งประเด็นกว้างๆ เช่นนั้น เพราะอยากให้นักศึกษาทำการขบคิดร่วมกัน- ออกแบบกันเอง –ตัดสินใจกันเองว่า “เห็นอะไร-มีอะไรน่าสนใจ-จะนำเสนอประเด็นอะไร-จะนำไปใช้กับความเป็นครู หรือการใช้ชีวิตได้อย่างไร”
ใช่ครับ ผมไม่อยาก “ชี้นำ” ว่าให้สะท้อนประเด็นสำคัญๆ อาทิเช่น ระบบการศึกษาไทย บทบาทของนิสิตนักศึกษาไทยที่มีต่อการพัฒนาสังคม หลักการเรียนรู้และทำงานแบบมีส่วนร่วม ปัญหาความยากไร้ของคนในชนบท ปัญหาความเลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง หรือกระทั่งความคิดความเชื่อของชาวบ้าน ตลอดจนเรื่องทัศนคติที่ชาวบ้านมีต่อนักศึกษา ต่อผู้นำชุมชนและต่อผู้แทนของรัฐฯ
ผมยืนยันว่ากระบวนการและประเด็นคำถามเปิดกว้างเช่นนั้น อยู่บนกรอบแนวคิดการจัดการเรียนรู้ในแบบ “ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง” และ “การเรียนรู้เชิงรุก” ที่เน้นการเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติการจริงร่วมกัน (ทีม) ผ่านกรณีศึกษา (เรื่องสั้น)
กระบวนการ “อ่านเอาเรื่อง” ผมเริ่มต้นจากให้แต่ละคนอ่านด้วยตนเอง จากนั้นจึงหันกลับมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันว่า “พบเจออะไรในเรื่องสั้นบ้าง” โดยเน้นการพูดคุย ระดมความคิด สังเคราะห์แล้วนำประเด็นที่ค้นพบมาประมวลในรูปของผังมโนทัศน์ หรือแม้แต่รูปแบบใดๆ ก็ได้ สุดแล้วแต่นักศึกษาจะพึงพอใจ
จากนั้นจึงเตรียมการนำเสนอ
กระบวนการเรียนรู้ดังกล่าว ยังยืนยันว่ายึดมั่นในหลักคิด “ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง” และ “การเรียนรู้เชิงรุก” โดยแต่ละกลุ่มสามารถเลือกได้เองว่า จะนำเสนอในรูปแบบใด จะนำเสนอผ่านการบรรยาย การเล่าเรื่อง มีการเปิดตัวกลุ่ม หรือละครสั้น ก็สามารถทำได้อย่างเต็มที่
ผมย้ำ หนักแน่นว่า ในตอนนำเสนอประเด็นต่างๆ นั้น หากสามารถหยิบยกกรณี หรือเหตุการณ์ในเรื่องมาประกอบได้จะดีมากๆ เพราะนั่นหมายถึงข้อเท็จจริง หรือหลักฐานเชิงประจักษ์อันเป็นต้นสายปลายเหตุของประเด็นที่นำมาเสนอ
และประเด็นที่นักศึกษานำมาสะท้อนการเรียนรู้ ก็ไปในทิศทางเดียวกัน ได้แก่
พอกลุ่มทุกกลุ่มนำเสนอเสร็จสิ้นลง ผมก็หยิบจับเอาประเด็น หรือเหตุการณ์ที่นักศึกษาได้นำเสนอมาพูดคุยอีกรอบ รวมถึงการหยิบจับประเด็นอื่นๆ ในมุมของผมมาเป็นโจทย์ ชวนคิดชวนคุย เพื่อต่อยอด-ยกระดับความคิด เป็นต้นว่า
โดยสรุปแล้ว ผมยังยืนยันว่ากระบวนการนี้ถูกออกแบบบนฐานคิดสำคัญคือ “ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง” และ “การเรียนรู้เชิงรุก” ตลอดจนการ “เรียนรู้ผ่านกรณีศึกษา” (เรื่องสั้น) เน้นการเรียนรู้ในแบบสังคม หรือทีม โดยเริ่มต้นจากการให้แต่ละคนอ่านเอาเรื่องด้วยตนเองเสียก่อน จากนั้นจึงนำสิ่งที่ได้จากการอ่านมาแลกเปลี่ยนร่วมกัน
ด้วยเหตุนี้จึงอาจเรียกได้ว่ามีกระบวนการอ่าน การคิดวิเคราะห์ การสังเคราะห์ อยู่ในตัวอย่างเสร็จสรรพ มีกระบวนการฝึกการอยู่ร่วมกันและฝึกการสื่อสารสร้างสรรค์ผสมปนเปอยู่ในนั้น หรือแม้แต่การฝึกทักษะของการทำงานเป็นทีมภายใต้เงื่อนไขของเวลาและความแตกต่างทางความคิดที่มีภายในกลุ่ม
หรือแม้แต่การเรียนรู้ความเป็นประชาธิปไตยในกลุ่ม ก็ถูกออกแบบอยู่ในนั้น
….
เขียน ศุกร์ที่ 5 สิงหาคม 2565
มหาสารคาม
ขอบคุณมากครับ คุณแผ่นดิน ;)…
ครับผม อาจารย์ Wasawat Deemarn
ทุกๆครั้งที่ผมมีโอกาสได้จัดกระบวนการกับนักศึกษาของอาจารย์ ส่งผลให้ผมได้รับพลังคืนกลับมาเสมอ ครับ