การเรียนรู้จากการปฏิบัติ ที่อธิบายในตอนที่แล้ว คือตอนที่ ๘ เป็นการเรียนรู้เชิงรุกอย่างหนึ่ง
ที่จริงวิธีจัดการเรียนรู้เชิงรุก มีรายละเอียดโดยพิสดารในหนังสือ ครูเพื่อศิษย์ สร้างการเรียนรู้สู่ระดับเชื่อมโยง (https://www.scbfoundation.com/stocks/14/file/16061988173lfnp14.pdf) หลักการโดยย่อคือ เริ่มจากการให้นักเรียนได้เรียนรู้ระดับตื้น (superficial) เคลื่อนสู่ระดับลึก (deep) และต่อไปยังระดับเชื่อมโยง (transfer) โดยครูจัดกระบวนการให้นักเรียนได้เรียนอย่างมีแรงบันดาลใจ สนุกสนาน เห็นคุณค่า และเห็นความก้าวหน้าของตนเอง พร้อมๆ ไปกับได้พัฒนาสมรรถนะสำคัญต่างๆ ใส่ตนเอง
หนังสืออีกเล่มหนึ่ง ที่จะช่วยแนะนำวิธีการให้ครูจัดการเรียนรู้เชิงรุกได้อย่างมีพลังคือ สอนเสวนา สู่การเรียนรู้เชิงรุก (https://www.scbfoundation.com/media_knowledge/document/292/สอนเสวนาสู่การเรียนรู้เชิงรุก-21237) หลักการโดยย่อคือ ครูมีวิธีการหนุนให้ศิษย์พูดเพื่อสร้างความรู้ใส่ตน
อีกเล่มหนึ่ง ที่แนะนำวิธีสอนวิชาให้นักเรียนได้เรียนรู้เชิงรุกคือ สอนอย่างมือชั้นครู (https://www.leadershipforfuture.com/teaching-at-its-best-book/) หนังสือเล่มนี้มุ่งสื่อสารต่ออาจารย์มหาวิทยาลัย แต่นำมาปรับใช้ได้กับครูในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานได้เป็นอย่างดี
หากจะให้ผมนิยาม “การเรียนรู้เชิงรุก” ผมนิยามว่า หมายถึงการเรียนรู้ที่มีเป้าหมายชัดเจน สมองตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้เครือข่ายใยสมองส่วน “ความจำใช้งาน” (working memory) ทำหน้าที่สร้างเครือข่ายใยสมองส่วน “ความจำระยะยาว” (longterm memory) ที่แน่นแฟ้น ตามที่เสนอไว้ในการบรรยายเมื่อวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๖๕ และมีการบันทึกวิดีทัศน์ออกเผยแพร่ เข้าไปศึกษาได้ที่ https://gotoknow.org/posts/702563
นอกจากมีเป้าหมายชัดเจนแล้ว ผู้เรียนต้องประเมินความก้าวหน้าในการเรียนรู้ของตนเองได้ และตระหนักว่าตนจะต้องปรับปรุงตนเองในด้านใดบาง ในสมรรถนะที่ต้องการพัฒนา รวมทั้งเพื่อใช้ปรับปรุงวิธีเรียนรู้ของตนเอง
การเรียนรู้เชิงรุก ใช้ประสาทสัมผัสทุกด้าน ใช้กระบวนการทางสังคม คือเรียนเป็นทีม และมีการสังเกต ตามด้วยการใคร่ครวญสะท้อนคิด (reflection) อยู่ตลอดเวลา มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และรับฟังซึ่งกันและกัน
การเรียนรู้เชิงรุก เริ่มด้วยกิจกรรมกระตุ้นสมอง เพื่อให้สมองตื่นตัว และควรมีการกระตุ้นสมองเป็นระยะๆ เมื่อครูสังเกตว่านักเรียนเริ่มง่วงหรืออ่อนล้า
องค์ประกอบของการเรียนรู้เชิงรุกแสดงด้วยลักษณะ ๑๒ ประการของห้องเรียนประสิทธิผลสูง (high functioning classroom) ดังแผนผัง
โดยผมขอแก้ไขปัจจัยที่ ๔ “การจัดพื้นที่” เปลี่ยนคำว่า “การประชุมปฏิบัติการ” เป็น “ห้องทำงาน” หรือ “ห้องปฏิบัติการ” (workshop หรือ studio) ซึ่งหมายความว่า การจัดพื้นที่ภายในห้องเรียนไม่จัดเรียงโต๊ะนักเรียนเป็นแถวหันหน้าเข้าหากระดานดำและครู แต่จัดเป็น “ห้องทำงาน” ร่วมกันเป็นกลุ่มๆ ของนักเรียน
การเรียนรู้เชิงรุก ใช้การสื่อสารแสดงออกหลากหลายแบบผสมกัน ได้แก่ทาง พูด – ฟัง (auditory) การใช้สื่อทั้งภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว ภาพยนตร์ (audio-visual) การแสดงท่าทาง การวาดภาพหรือสร้างประติมากรรม รวมทั้งการแสดงละคร หรือนิทรรศการ และกิจกรรมกลุ่มหลากหลายรูปแบบ ทั้งนี้ เพื่อสื่อสารและเรียนรู้ในมิติที่ซับซ้อน ลึกและเชื่อมโยง ทั้ง ๔ ด้านของ VASK
ควรใช้การสื่อสารหลากหลายแบบสลับกัน เพื่อกระตุ้นสมองของให้ผู้เรียนให้ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา
วิธีเรียนรู้เชิงรุกที่สำคัญที่สุดคือ การปฏิบัติในสถานการณ์จริง หรือการทำงานนั่นเอง โดยที่ผู้เรียนไม่เพียงเสนอผลงานหรือความสำเร็จในงานของตนเองได้ แต่ต้องอธิบายได้ว่าชิ้นงานนั้นสำเร็จได้ด้วยความรู้หรือทักษะอะไร ตน (พวกตน - ทีมงาน) ได้เรียนรู้อะไรจากการทำงานนั้น ทั้งจากขั้นตอนหรืองานส่วนที่ทำสำเร็จ และจากความล้มเหลวที่เผชิญระหว่างทาง
ครูใช้คำถามกระตุ้นการสังเกตและใคร่ครวญสะท้อนคิด (reflection) ของนักเรียนเป็นระยะๆ โดยใช้คำถามให้สะท้อนคิดเกี่ยวกับ V, A, S, K สลับกันไปตามสถานการณ์ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ครบทั้ง ๔ มิติของสมรรถนะดังกล่าว
การเรียนรู้เชิงรุกเป็น “การเรียนรู้ขาออก” ไม่ใช่การเรียนรู้ขาเข้า ที่เน้นการรับความรู้สำเร็จรูปจากภายนอก
วิจารณ์ พานิช
๓ ก.ค. ๖๕
ขอบคุณสำหรับความรู้ที่ดีๆๆ นะค่ะ