GotoKnow

บุคคลสำคัญในสงครามโลกครั้งที่ 2 ชุดที่ 3

สมภพ อมรดิษฐ์
เขียนเมื่อ 8 มีนาคม 2565 18:05 น. ()

ฝ่ายสัมพันธมิตร

สหรัฐอเมริกา

แฟรงกลิน เดลาโน โรสเวลต์ (Franklin Delano Roosevelt)  

30 มกราคม ค.ศ. 1882 – 12 เมษายน ค.ศ. 1945 มักจะเรียกเป็นคำย่อว่า เอฟดีอาร์(FDR) 

ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาคนที่ 32 ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1933 จนกระทั่งถึงแก่อสัญกรรมในปี ค.ศ. 1945 

กลายเป็นบุคคลสำคัญในเหตุการณ์ของโลกในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 ในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ 

ได้นำสัญญาใหม่มาใช้ในวาระการประชุมภายในประเทศเพื่อแก้วิกฤตเศรษฐกิจที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา

เขาได้จัดตั้งการร่วมมือสัญญาใหม่(New Deal Coalition) เป็นการปรับเปลี่ยนทางการเมืองอเมริกามาเป็น

ระบบห้าพรรค(Fifth Party System) 

เขาได้รับการจัดอันดับโดยนักวิชาการว่าเป็นหนึ่งในสามประธานาธิบดีแห่งสหรัฐที่ยิ่งใหญ่ที่สุด พร้อมกับจอร์จ วอชิงตัน

และอับราฮัม ลินคอล์น

พันเอก แฮร์รี เอส ทรูแมน (Harry S. Truman)

 8 พฤษภาคม ค.ศ. 1884 – 26 ธันวาคม ค.ศ. 1972) 

เป็นนักการเมืองและทหารบกชาวสหรัฐอเมริกา เป็นประธานาธิบดีคนที่ 33 ของสหรัฐอเมริกา 

ตั้งแต่ ค.ศ. 1945 ถึง 1953 ซึ่งรับตำแหน่งต่อจากประธานาธิบดีแฟรงกลิน ดี. รูสเวลต์ที่ถึงแก่อสัญกรรม 

ในขณะที่ดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานาธิบดี เขาได้นำแผนมาร์แชลล์มาใช้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของยุโรปตะวันตกและ

ก่อตั้งลัทธิทรูแมนและองค์กรเนโท

ทรูแมนได้รับเลือกตั้งเป็นวุฒิสภาสหรัฐใน ค.ศ. 1934 และได้มีชื่อเสียงระดับชาติในฐานะประธานคณะกรรมการทรูแมน

เพื่อมุ่งเป้าหมายไปที่การลดความสูญเสียและไร้ประสิทธิภาพในข้อตกลงสงคราม ไม่นานหลังจากที่ได้รับตำแหน่ง

ประธานาธิบดี เขาได้อนุมติให้ใช้ระเบิดนิวเคลียร์เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในสงคราม การบริหารประเทศของทรูแมนมี

ส่วนร่วมในนโยบายการต่างประเทศและละทิ้งลัทธิโดดเดียว เขาได้รวบรวมการร่วมมือสัญญาใหม่ของเขาในช่วงการเลือก

ตั้งเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีค.ศ. 1948 และได้รับชัยชนะอย่างน่าตกใจที่รักษาตำแหน่งประธานาธิบดี

ของเขาไว้ได้อีกวาระหนึ่ง

ทรูแมนได้ควบคุมการขนส่งทางอากาศไปยังกรุงเบอร์ลิน ค.ศ. 1948 เมื่อคอมมิวนิสต์เกาหลีเหนือได้เข้ารุกรานเกาหลีใต้  

เขาได้รับการอนุมัติจากองค์การสหประชาชาติในการดำเนินนโยบายครั้งใหญ่ที่เรียกว่าสงครามเกาหลี สามารถปกป้อง

เกาหลีใต้เอาไว้ได้และเกือบจะยึดครองเกาหลีเหนือแต่จีนได้เข้ามาแทรกแซงกองทัพยูเอ็น/สหรัฐจึงถูกผลักดัน 

และป้องกันการตีโต้กลับของคอมมิวนิสต์เกาหลีเหนือ ในเรื่องภายในประเทศ ธนบัตรที่ได้รับการรับรองจาก

ทรูแมนได้รับการคัดค้านจากฝ่ายอนุรักษ์นิยม แต่การบริหารของเขาได้ประสบความสำเร็จในการเศรษฐกิจ

สหรัฐผ่านความท้าทายเศรษฐกิจในช่วงหลังสงคราม ใน ค.ศ. 1948 เขาได้เสนอกฎหมายสิทธิพลเมืองที่ครอบคลุม

เป็นครั้งแรกและออกคำสั่งการบริหารเพื่อริเริ่มการรวมตัวทางเชื้อชาติในกองทัพและหน่วยงานของรัฐบาลกลาง

ด้วยข้อกล่าวหาของการคอรัปชั่นในการบริหารของทรูแมนได้กลายเป็นประเด็นที่สำคัญในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง

ในส่วนภาคกลางในการเลือกตั้งเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ค.ศ. 1952 และผลปรากฏว่าดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์

จากพรรคริพับลิกันได้ชนะในการเลือกตั้งกับ Adlai Stevenson II จากพรรคเดโมแครต การถูกปลดเกษียณ

ที่ยากลำบากทางการเงินของทรูแมนได้เป็นจุดเด่นโดยการสืบค้นห้องสมุดประธานาธิบดีและสิ่งสือพิมพ์บันทึก

ความทรงจำของเขา เมื่อเขาได้ออกจากตำแหน่ง การดำรงเป็นประธานาธิบดีของทรูแมนได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก 

แต่นักวิชาการได้ฟื้นฟูภาพลักษณ์ของเขาใน ค.ศ. 1960 และได้รับการจัดอันดับว่าเป็นหนึ่งในประธานาธิบดีที่ดีที่สุด

 

จอร์จ แคตเลตต์ มาร์แชลล์ (George Catlett Marshall )

31 ธันวาคม ค.ศ. 1880– 16 ตุลาคม ค.ศ. 1959)

นายพล5ดาวแห่งกองทัพบกสหรัฐและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา

เป็นผู้วางแผนฟื้นฟูยุโรปหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เป็นที่รู้จักโดยทั่วไปว่า “แผนมาร์แชลล์” (Marshall Plan) 

ทำให้มาร์แชลล์ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ เป็นนายทหารชาวอเมริกันคนเดียวที่เคยได้รับรางวัลนี้

จอมพล ดไวต์ เดวิด ไอก์ ไอเซนฮาวร์ (Dwight David "Ike" Eisenhower)

14 ตุลาคม ค.ศ.1890 − 28 มีนาคม ค.ศ. 1969)              

เป็นชาวอเมริกันที่ดำรงตำแหน่งพลเอกแห่งกองทัพและรัฐบุรุษที่ทำหน้าที่เป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐ คนที่ 34 

ตั้งแต่ค.ศ. 1953 ถึง 1961 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เขาได้เป็นนายพลระดับห้าดาวในกองทัพสหรัฐและ

ทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งกำลังรบนอกประเทศฝ่ายสัมพันธมิตรในทวีปยุโรป

 เขาได้รับผิดชอบในการวางแผนและควบคุมดูแลในการบุกครองแอฟริกาเหนือในปฏิบัติการคบเพลิง 

ใน ค.ศ. 1942-43 และประสบความสำเร็จในการบุกครองฝรั่งเศสและเยอรมนี

ใน ค.ศ. 1944−45 จากแนวรบด้านตะวันตก

จอมพล โอมาร์ เนลสัน แบรดลีย์ (Omar Nelson Bradley)

 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ 1893 – 8 เมษายน ค.ศ.1981

เป็นเจ้าหน้าที่ระดับอาวุโสของกองทัพบกสหรัฐอเมริกาในช่วงระหว่างและหลังสงครามโลกครั้งที่สอง 

แบรดลีย์ได้เป็นประธานคณะเสนาธิการร่วมคนแรกและควบคุมกำกับนโยบายของกองทัพสหรัฐในสงครามเกาหลี

ภายหลังจากสหรัฐเข้าร่วมสู่สงครามโลกครั้งที่สอง แบรดลียได้จับตาดูการเปลี่ยนแปลงของกองพลทหารราบที่ 82 

มาเป็นกองพลส่งอากาศอเมริกันหน่วยแรก เขาได้รับคำสั่งในแนวหน้าที่เป็นครั้งแรกของเขาในปฏิบัติการคบเพลิง 

ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ภายใต้การบังคับบัญชาโดยนายพล จอร์จ เอส. แพตตัน ในแอฟริกาเหนือ 

ภายหลังจากแพตตันได้รับมอบหมายหน้าที่ใหม่ 

แบรดลีย์ได้บัญชาการแก่กองทัพสนามที่สองในการทัพตูนิเซียและฝ่ายสัมพันธมิตรบุกครองเกาะซิซิลี 

เขาได้บัญชาการแก่กองทัพสหรัฐที่หนึ่งในช่วงการบุกครองนอร์ม็องดี ภายหลังจากบุกทะลวงจากนอร์ม็องดีแล้ว 

เขาได้รับหน้าที่บัญชาการแก่กลุ่มกองทัพสหรัฐที่สิบสอง ซึ่งท้ายที่สุดจะประกอบไปด้วยกองพลทั้งสี่สิบสาม 

และจำนวนทหาร 1.3 ล้านนาย เป็นจำนวนขนาดใหญ่ของทหารอเมริกันที่เคยอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาจากผู้บัญชาการ

ภาคสนามเพียงคนเดียว

ภายหลังสงคราม แบรดลีย์ได้เป็นหัวหน้าของผู้ดูแลกองทหารผ่านศึก เขาได้กลายเป็นหัวหน้าเสนาธิการแห่งกองทัพบก

สหรัฐในปี ค.ศ. 1948 และเป็นประธานคณะเสนาธิการร่วมในปี ค.ศ. 1950 เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งยศคือจอมพล

ซึ่งกลายเป็นคนสุดท้ายจากเพียงเก้าคนที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งยศระดับห้าดาวในกองทัพสหรัฐ เขาเป็นผู้บัญชาการทหาร

ระดับชั้นอาวุโสในช่วงเริ่มต้นของสงครามเกาหลี และได้สนับสนุนนโยบายการยับยั้งในช่วงสงครามของ

ประธานาธิบดี แฮร์รี เอส. ทรูแมน  เขาได้มีส่วนช่วยในการโน้มน้าวให้ทรูแมนสั่งปลดนายพล ดักลาส แมกอาเธอร์ 

ในปี ค.ศ. 1951 หลังจากแมกอาเธอร์ได้ต่อต้านอำนาจฝ่ายบริหารในความพยายามที่จะปรับลดขนาดของสงครามของเป้าหมาย

ทางยุทธศาสตร์ แบรดลีย์ได้ลาออกจากกองทัพในปี ค.ศ. 1953 (แม้ว่าจะยังคงอยู่ในสถานะ"ปลดเกษียณจาการปฏิบัติหน้าที่"

สำหรับ 27 ปีต่อมา) จากนั้นก็ยังคงทำหน้าที่ในบทบาทสาธารณะและธุรกิจ จนกระทั่งเขาถึงแก่อสัญกรรมในปี ค.ศ. 1981

พลเอกอาวุโส ดักลาส แมกอาร์เธอร์ (Douglas MacArthur)

 26 มกราคม ค.ศ. 1880 - 5 เมษายน ค.ศ. 1964

เป็นชาวอเมริกันที่ดำรงตำแหน่งเป็นนายพลระดับห้าดาวและจอมพลแห่งกองทัพฟิลิปปินส์ เขาเป็นเสนาธิการของ

กองทัพบกสหรัฐในช่วงปี ค.ศ. 1930 และมีบทบาทที่สำคัญในเขตสงครามแปซิฟิกในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง 

เขาได้รับเหรียญมีเดล ออฟ ฮอนเนอร์ สำหรับการปฏิบัติหน้าที่ของเขาในการทัพฟิลิปปินส์ 

ซึ่งทำให้เขาและพ่อของเขาอย่างอาเธอร์ แมกอาเธอร์ จูเนียร์ เป็นสองพ่อลูกคนแรกที่ได้รับเหรียญนี้ 

เขาเป็นหนึ่งในห้าคนเท่านั้นที่ได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งยศเป็นพลเอกแห่งกองทัพในกองทัพสหรัฐ และเป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับ

ตำแหน่งยศเป็นจอมพลแห่งกองทัพฟิลิปปินส์

ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1919 ถึง 1922 แมกอาเธอร์ได้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนายการโรงเรียนการทหารสหรัฐที่เวสต์พอยต์

ซึ่งเขาได้พยายามปฏิรูปหลายครั้ง งานที่ได้รับมอบหมายต่อไปของเขาคือในฟิลิปปินส์ ซึ่งในปี ค.ศ. 1924 

เขาได้มีส่วนช่วยในการปราบปรามพวกลูกเสือมูตินของฟิลิปปินส์ ในปี ค.ศ. 1925

 เขาได้กลายเป็นพลตรีที่อายุน้อยที่สุดในกองทัพ เขาได้ทำหน้าที่ในศาลทหารของนายพลจัตวา Billy Mitchell 

และเป็นประธานคณะกรรมการโอลิมปินอเมริกันในช่วงโอลิมปิกฤดูร้อน ค.ศ. 1928 ในกรุงอัมสเตอร์ดัม 

ในปี ค.ศ. 1930 เขาได้กลายเป็นเสนาธิการของกองทัพบกสหรัฐ ด้วยเหตุนี้ เขาจึงได้มีส่วนร่วมในการขับไล่กองทัพโบนัส

ผู้ประท้วงให้ออกไปจากรุงวอชิงตัน ดี ซี ในปี ค.ศ. 1932 และการจัดตั้งและจัดระเบียบของกองทัพน้อยอนุรักษ์

พลเรือน เขาได้ลาออกจากกองทัพในปี ค.ศ. 1937 เพื่อกลายเป็นที่ปรึกษาทางทหารของรัฐบาลเครือจักรภพแห่งฟิลิปปินส์

แมกอาเธอร์ได้ถูกเรียกตัวให้เข้าปฏิบัติหน้าที่ในปี ค.ศ. 1941 ในฐานะผู้บัญชาการกองกำลังกองทัพบกสหรัฐ

ในตะวันออกไกล ได้เกิดหายนะที่ตามมาหลายครั้ง โดยเริ่มจากกองทัพอากาศของเขาได้ถูกทำลาย

ลงในวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 1941 และญี่ปุ่นบุกครองฟิลิปปินส์ ในไม่ช้า, กองกำลังของแมกอาเธอร์ได้ถูกบังคับให้ล่าถอยไป

ที่บาตาอัน ซึ่งพวกเขาติดอยู่ที่แห่งนั้นจนถึงเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1942 ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1942 

แมกอาเธอร์ ครอบครัวของเขา และทหารลูกน้องของเขาได้ออกจากเกาะคอร์เรจิดอร์ด้วยเรือตอร์บิโดขนาดเล็ก 

และลี้ภัยไปยังออสเตรเลีย ที่ซึ่งแมกอาเธอร์ได้กลายเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในพื้นที่แปซิฟิกตะวันตกเฉียงใต้ 

เมื่อเขาได้เดินทางมาถึง แมกอาเธอร์ได้กล่าวสุนทรพจน์ซึ่งเขาได้ให้คำมั่นสัญญาว่า "ข้าพเจ้าจะกลับมา" 

ที่ฟิลิปปินส์ ภายหลังจากการสู้รบในแปซิฟิกมายาวนานกว่าสองปี เขาก็ได้ทำตามคำมั่นสัญญานั้น สำหรับการป้องกัน

ฟิลิปปินส์ของเขา แมกอาเธอร์ก็ได้รับเหรียญมีเดล ออฟ ฮอนเนอร์ เขาได้ยอมรับการยอมจำนนของญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ 

เมื่อวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1945 บนเรือยูเอสเอส มิสซูรี ซึ่งจอดทอดสมออยู่ที่อ่าวโตเกียว และเขาได้ควบคุมดูแล

การยึดครองญี่ปุ่น ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1945 ถึง ค.ศ. 1951 ในฐานะผู้ปกครองที่มีประสิทธิภาพของญี่ปุ่น 

เขาได้ควบคุมดูแลการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมอย่างกว้างขวางของญี่ปุ่น 

เขาได้เป็นผู้นำในกองบัญชาการสหประชาชาติในสงครามเกาหลีด้วยประสบความสำเร็จครั้งแรก อย่างไรก็ตาม 

การบุกครองเกาหลีเหนือซึ่งเป็นที่ถกเถียงกัน ได้กระตุ้นให้เกิดการแทรกแซงของจีนและความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่หลาย

ต่อหลายครั้ง แมกอาเธอร์จึงถูกประธานาธิบดี แฮร์รี่ เอส ทรูแมน ปลดออกจากกองบัญชาการซึ่งเป็นที่ถกเถียงกัน 

เมื่อวันที่ 11 เมษายน ค.ศ. 1951 ต่อมาเขาได้กลายเป็นประธานคณะกรรมการของเรมิงตัน แรนด์

เชสเตอร์ ดับเบิลยู. นิมิตซ์ (Chester William Nimitz) 

24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1885 - 20 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1966

เป็นจอมพลเรือของกองทัพเรือสหรัฐฯ. เขามีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์กองทัพเรือของสงครามโลกครั้งที่สอง

เช่นผู้บัญชากองเรือแปซิฟิกของสหรัฐอเมริกาและผู้บัญชาการทหารสูงสุด, พื้นที่มหาสมุทรแปซิฟิก, ผู้บังคับบัญชากองกำลัง

ทางอากาศทางบกและทางทะเลระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง

นิมิตซ์เป็นผู้นำของกองทัพเรือสหรัฐฯในเรือดำน้ำ มีคุณสมบัติในเรือดำน้ำในช่วงปีแรก ๆ ของเขาหลังจากนั้น

เขาก็คุมการขับเคลื่อนของเรือเหล่านี้จากน้ำมันเบนซินเป็นน้ำมันดีเซลและต่อมาเป็นกุญแจสำคัญในการได้รับ

การอนุมัติให้สร้างโลกแห่งแรกเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์, USS Nautilus, ซึ่งระบบขับเคลื่อนในเวลาต่อมาแทนที่

เรือดำน้ำที่ใช้น้ำมันดีเซลในสหรัฐอเมริกา เขาเริ่มต้นในปี 1917, เป็นผู้พัฒนาชั้นนำของกองทัพเรือของเทคนิค

การเติมเต็มชิ้น เครื่องมือซึ่งในระหว่างสงครามแปซิฟิกจะอนุญาตให้กองเรือสหรัฐฯ

ทำการบินออกจากท่าเรือเกือบจะไม่มีกำหนด เขาหัวหน้าสำนักงานการเดินเรือของกองทัพเรือ

ในปี 1939, นิมิตซ์ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการนาวีจาก 1945 ถึง 1947

เขาเป็นเจ้าหน้าที่ผู้รอดชีวิตคนสุดท้ายของสหรัฐอเมริกาที่รับราชการทหารเรือเดินสมุทร

พลเอก จอร์จ สมิธ แพตตัน, จูเนียร์ (George Smith Patton, Jr)

11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1885 – 21 ธันวาคม ค.ศ. 1945

เป็นพลเอกแห่งกองทัพบกสหรัฐ ที่ได้บัญชาการในกองทัพสหรัฐที่ 7 ในเขตเมดิเตอร์เรเนียนในสงครามโลกครั้งที่สอง 

และกองทัพสหรัฐที่สามในฝรั่งเศสและเยอรมนี ภายหลังจากฝ่ายสัมพันธมิตรบุกครองนอร์ม็องดีในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1944

แพตตันได้แสดงให้เห็นในการรบครั้งแรกในช่วงการทัพปราบปานโช วีญ่า(Pancho Villa Expedition) 

ในปี ค.ศ. 1916 ได้มีส่วนร่วมในการปฏิบัติหน้าที่ครั้งแรกในกองทัพสหรัฐซึ่งได้ใช้พาหนะยานยนต์ 

ได้เป็นส่วนหนึ่งในเหล่ารถถังสหรัฐแห่งกองกำลังอเมริกันรบนอกประเทศที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นมาใหม่ 

เขาได้ปฏิบัติหน้าที่ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ได้คอยออกคำสั่งการที่โรงเรียน

รถถังสหรัฐในฝรั่งเศสก่อนที่จะได้รับบาดเจ็บในขณะที่ได้นำรถถังเข้าสู่สนามรบในช่วงที่สงครามใกล้จะยุติลง 

ในช่วงสมัยระหว่างสงคราม แพตตันยังคงเป็นบุคคลสำคัญในการพัฒนาหลักสูตรการสงครามยานเกราะของกองทัพ 

ได้รับใช้ตำแหน่งพนักงานมากมายทั่วทั้งประเทศ ได้รับการเลื่อนยศตำแหน่ง, เขาได้บัญชาการในกองพลยานเกราะที่ 2

ในช่วงเวลาที่อเมริกาได้เข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สองแพตตันได้นำทหารสหรัฐเข้าสู่เขตสงครามเมดิเตอร์เรเนียน

ด้วยการบุกครองกาซาบล็องกาในช่วงปฏิบัติการคบเพลิงในปี ค.ศ. 1942 และไม่นานได้ยอมรับตัวเองว่าเป็น

ผู้บัญชาการที่มีประสิทธิภาพจากการฟื้นฟูอย่างรวดเร็วของหน่วยทหารสหรัฐ ที่สองที่กำลังเสียขวัญ

 เขาได้บัญชาการในกองทัพที่เจ็ดในการบุกครองเกาะซิซิลี ที่เขาได้เป็นผู้บัญชาการฝ่ายสัมพันธมิตรคนแรกที่

ได้ไปถึงเมสซีนา ที่นั่นเขาได้พัวพันในการโต้แย้งภายหลังจากที่เขาได้ตบหน้าทหารสองนายที่ตกอยู่ในอาการภาวะหวาดกลัว

สงครามภายใต้บัญชาการของเขา และถูกปลดออกชั่วคราวจากการบัญชาการในสนามรบ ต่อมาเขาได้รับมอบหมายให้ได้มี

บทบาทที่สำคัญในปฏิบัติการทรหด การล่อลวงทางทหารครั้งใหญ่ของฝ่ายสัมพันธมิตรสำหรับปฏิบัติการโอเวอร์ลอร์ด 

ภายหลังการบุกครองนอร์ม็องดีในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1944 แพตตันได้รับมอบหมายให้บัญชาการกองทัพที่สาม 

ซึ่งได้ดำเนินการโจมตีด้วยยานเกราะอย่างรวดเร็วที่ประสบความสำเร็จสูงในการรุกก้าวข้ามฝรั่งเศส 

ภายใต้ความเป็นผู้นำที่เด็ดขาดในกองทัพที่สามได้นำในการบรรเทาแก่กองกำลังอเมริกันที่กำลังถูกโอบล้อมในบัสตอญ

ในช่วงยุทธการตอกลิ่ม หลังจากนั้นกองกำลังของเขาได้รุกเข้าไปลึกถึงใจกลางของนาซีเยอรมนีในท้ายสงคราม

ในช่วงที่ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ยึดครองเยอรมนี แพตตันได้ถูกเสนอชื่อให้เป็นผู้ว่าการทหารแห่งบาวาเรีย แต่ก็ต้องถูก

ปลดออกเพราะคำพูดที่ก้าวร้าวของเขาที่มีต่อสหภาพโซเวียตและทำให้การขจัดความเป็นนาซีกลายเป็นเรื่องเล็กน้อย 

เขาได้บัญชาการในกองทัพสหรัฐที่สิบห้าเป็นนานกว่าสองเดือนเศษ เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ 

เขาได้เสียชีวิตในเยอรมนีใน 12 วันต่อมา เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 1945

จอมพลเรือ วิลเลียม เฟรเดอริก ฮอลซี จูเนียร์

 (30 ตุลาคม ค.ศ. 1882 – 16 สิงหาคม ค.ศ. 1959) เป็นที่รู้จักกันคือ บิล ฮอลซี หรือ "บลู" ฮอลซี่ 

เป็นพลเรือเอกชาวอเมริกันในกองทัพเรือสหรัฐในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง 

เขาเป็นหนึ่งในสี่บุคคลที่ได้รับตำแหน่งยศจอมพลเรือแห่งกองทัพเรือสหรัฐ ซึ่งอีกคนคือ เออร์เนสต์ คิง, วิลเลียม เลฮี 

และเชสเตอร์ ดับเบิลยู. นิมิตซ์   ในปี ค.ศ. 1904 เขาได้ปฏิบัติหน้าที่ในกองเรือเกรทไวท์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง 

ซึ่งได้บัญชาการในเรือพิฆาต ยูเอสเอส ชอว์ เขายังได้รับหน้าที่เป็นผู้บัญชาการในเรือบรรทุกเครื่องบิน ยูเอสเอส ซาราโตกา 

ในปี ค.ศ. 1935 ภายหลังจากได้จบหลักสูตรการบินกองทัพเรือ และได้รับเลื่อนตำแหน่งยศเป็นพลเรือตรี

ในปี ค.ศ. 1938 เมื่อสงครามในทะเลแปซิฟิกได้เริ่มต้นขึ้น(ค.ศ. 1941-1945) ฮอลซีได้บัญชาการ

ในกองเรือปฏิบัติการเฉพาะกิจซึ่งศูนย์กลางอยู่ที่เรือบรรทุกเครื่องบิน ยูเอสเอส เอนเทอร์ไพรซ์ 

ในหนึ่งในการตีโฉบฉวยต่อเป้าหมายของญี่ปุ่น

ฮอลซีได้เป็นผู้บัญชาการในเขตพื้นที่ทะเลแปซิฟิกใต้ และเป็นผู้นำกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรในช่วงการต่อสู้รบที่

กัวดัลคะแนล(ค.ศ. 1942-43) และการต่อสู้รบที่แนวหมู่เกาะโซโลมอน(ค.ศ. 1942-45)

ในปี ค.ศ. 1943 เขาได้เป็นผู้บัญชาการแห่งกองเรือที่สาม ซึ่งเป็นตำแหน่งหน้าที่ที่เขาดำรงตลอด

ในช่วงเวลาที่เหลือของสงคราม เขาได้เข้าร่วมในยุทธนาวีที่อ่าวเลย์เต ยุทธนาวีครั้งใหญ่ที่สุดของสงครามโลกครั้งที่สอง 

และตามบางบรรทัดฐานแล้วว่า เป็นยุทธนาวีครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ เขาได้รับตำแหน่งยศเป็น

จอมพลเรือในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1945 และปลดเกษียณจากการประจำในปฏิบัติหน้าที่ในปี ค.ศ. 1947

สหราชอาณาจักร 

วินสตัน เลนเนิร์ด สเปนเซอร์-เชอร์ชิล (Winston Leonard Spencer-Churchill)

 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 1874 – 24 มกราคม ค.ศ. 1965

เป็นนักการเมือง นายทหารบก นักเขียนชาวอังกฤษ และ รัฐบุรุษ เขาเคยดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร 

ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1940 ถึง ค.ศ. 1945 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และอีกครั้งตั้งแต่ปี ค.ศ. 1951 ถึง ค.ศ. 1955

ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคสงครามของศตวรรษที่ 20

จอมพล เซอร์เบอร์นาร์ด ลอว์ มอนต์โกเมอรี ไวเคานต์มอนต์โกเมอรีแห่งอลามีน 

(Bernard Law Montgomery, 1st Viscount Montgomery of Alamein)

17 พฤศจิกายน ค.ศ. 1887 – 24 มีนาคม ค.ศ. 1976 เล่นว่า "มอนตี้" และ "นายพลสปาร์ตัน"     

เป็นเจ้าหน้าที่ระดับชั้นอาวุโสของกองทัพบกบริติชที่เข้าร่วมสู้รบทั้งในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสงครามโลกครั้งที่สอง

มอนต์โกเมอรีได้แสดงการปฏิบัติหน้าที่เป็นครั้งแรกในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ระดับชั้นผู้น้อย

ในกรมทหารรอยัล วอร์วิกเชียร์(Royal Warwickshire Regiment) ที่ Méteren ใกล้กับชายแดนเบลเยียมที่ Bailleul

เขาถูกยิงทะลุปอดข้างขวาโดยพลซุ่มยิงในช่วงระหว่างยุทธการที่อิพร์ครั้งที่หนึ่ง เมื่อกลับไปที่แนวรบด้านตะวันตก

ในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ ฝ่ายเสนาธิการ เขาได้เข้าร่วมในยุทธการที่อารัสในเดือนเมษายน/พฤษภาคม ค.ศ. 1917

 เขายังได้เข้าร่วมในยุทธการที่ Passchendaele ในปลายปี ค.ศ. 1917 ก่อนที่สงครามจะยุติลง

ในฐานะที่เป็นหัวหน้าเสนาธิการแห่งกองพล(ลอนดอนที่ 2) ที่47

ในช่วงสมัยระหว่างสงคราม เขาได้บัญชาการกองพัน(หน่วย)ที่ 17 รอยัล ฟิวซิเลียร์(Royal Fusiliers) และ

ต่อมา กองพันที่ 1 กรมทหารรอยัล วอร์วิกเชียร์ ก่อนที่จะมาเป็นผู้บัญชาการกองพลน้อยทหารราบที่ 9 และเจ้าหน้าที่นายพล

ผู้ซึ่งบังคับบัญชา(GOC) ในกองพลทหารราบที่ 8

ในช่วงการทัพทะเลทรายตะวันตกในสงครามโลกครั้งที่สอง มอนต์โกเมอรีได้บัญชาการกองทัพบริติชที่ 8 ตั้งแต่เดือน

สิงหาคม ค.ศ. 1942 ตลอดจนถึงยุทธการที่อัลอะละมัยน์ครั้งที่สอง และชัยชนะครั้งสุดท้ายของฝ่ายสัมพันธมิตรในตูนีเซีย

ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1943 ต่อมาเขาก็ได้บัญชาการกองทัพบริติชที่ 8 ในช่วงระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรบุกครองเกาะซิซิลี

และอิตาลี และเป็นผู้บัญชาการกองทัพบกฝ่ายสัมพันธมิตรทั้งหมดในช่วงยุทธการที่นอร์ม็องดี(ปฏิบัติการโอเวอร์ลอร์ด) 

ตั้งแต่ดีเดย์ เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 1944 จนถึง 1 กันยายน ค.ศ. 1944 เขายังคงบัญชาการกองทัพกลุ่มที่ 21 

สำหรับส่วนที่เหลือของการทัพยุโรปตะวันตกเหนือ รวมทั้งความพยายามที่ล้มเหลวในการข้ามแม่น้ำไรน์ในช่วงปฏิบัติการ

มาร์เก็ตการ์เดนเมื่อกองทัพบกเยอรมันได้บุกทะลวงผ่านแนวป้องกันของอเมริกันในเบลเยียมในช่วงยุทธการตอกลิ่ม 

มอนต์โกเมอรีได้รับคำสั่งจากทางด้านเหนือของส่วนที่ยื่นออกมา(Bulge) รวมทั้งได้บัญชาการเป็นการชั่วคราวต่อ

กองทัพสหรัฐที่หนึ่งและเก้า ซึ่งได้ปล่อยให้เยอรมันเข้ารุกไปยังทางเหนือของส่วนที่ยื่นออกมา ในขณะที่กองทัพสหรัฐที่สาม

ภายใต้บัญชาการของนายพลแพตตันได้เข้ามาคลายวงล้อมที่บัสตอญจากทางใต้

กองทัพกลุ่มที่ 21 ของมอนต์โกเมอรี รวมทั้งกองทัพสหรัฐที่เก้าและกองทัพพลโดดร่มฝ่ายสัมพันธมิตรที่หนึ่ง 

ทำการข้ามแม่น้ำไรน์ในปฏิบัติการปล้น(Operation Plunder) ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1945 สองสัปดาห์ต่อมา 

ภายหลังจากกองทัพสหรัฐที่หนึ่งได้ทำการข้ามแม่น้ำไรน์ในยุทธการที่เรเมเกิน ในช่วงท้ายสงคราม 

ทหารภายใต้บัญชาการของมอนต์โกเมอรีได้มีส่วนร่วมในการโอบล้อมที่รูร์ พ็อกเก็ค(Ruhr Pocket) 

ทำการปลดปล่อยเนเธอร์แลนด์ และเข้ายึดครองเยอรมนีทางด้านตะวันตกเหนือเป็นส่วนใหญ่ 

ในวันที่ 4 พฤษภาคม ค.ศ. 1945 มอนต์โกเมอรีได้ยอมรับการยอมจำนนของกองทัพเยอรมันใน

ยุโรปตะวันตก-เหนือที่ Lüneburg Heath ทางด้านตะวันออกของฮัมบวร์ค 

ภายหลังการยอมจำนนที่เบอร์ลินต่อสหภาพโซเวียต เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม

ภายหลังสงคราม เขาได้กลายเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดในกองทัพบกบริติชแห่งแม่น้ำไรน์(BAOR) 

ในเยอรมนี และได้เป็นหัวหน้าทหารฝ่ายเสนาธิการจักรวรรดิ(ค.ศ. 1946-1948) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1948 ถึง 1951 

เขาได้รับหน้าที่เป็นประธานของคณะร่วมผู้บัญชาการทหารสูงสุด(Commanders-in-Chief Committee)

แห่งสหภาพตะวันตก เขาได้รับหน้าที่เป็นรองผู้บัญชาการทหารสูงสุดฝ่ายสัมพันธมิตรในยุโรปแห่งเนโท 

จนกระทั่งเขาเกษียณราชการในปี ค.ศ. 1958

จอมพลเรือ หลุยส์ ฟรานซิส อัลเบิร์ต วิคเตอร์ นิโคลัส เมานต์แบ็ตเทน เอิร์ลเมานต์แบ็ตเทนที่ 1 แห่งพม่า 

(Louis Francis Albert Victor Nicholas Mountbatten, Earl Mountbatten of Burma) หรือนามเดิมคือ 

เจ้าชายหลุยส์แห่งบัทเทินแบร์ค; 25มิถุนายน ค.ศ. 1900 – 27 สิงหาคม ค.ศ. 1979)

เป็นสมาชิกราชวงศ์บริติช เจ้าหน้าที่แห่งราชนาวี และรัฐบุรุษ พระมาตุลาของเจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ และ

พระอนุวงศ์ของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง 

พระองค์ทรงเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดฝ่ายสัมพันธมิตรแห่งกองบัญชาการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 

พระองค์ทรงเป็นอุปราชแห่งอินเดียคนสุดท้ายแห่งบริติชอินเดียและข้าหลวงต่างพระองค์คนแรกแห่งประเทศอินเดีย

ในเครือจักรภพ

ฝรั่งเศส

อ็องรี ฟีลิป เบโนนี โอแมร์ โฌแซ็ฟ เปแต็ง  (Henri Philippe Benoni Omer Joseph Pétain) 

24 เมษายน ค.ศ. 1856 – 23 กรกฎาคม ค.ศ. 1951

เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปในชื่อว่า ฟีลิป เปแต็ง (Philippe Pétain) หรือ จอมพล เปแต็ง (Maréchal Pétain)

เป็นนายพลฝรั่งเศสที่แตกต่างจากจอมพลแห่งฝรั่งเศส และต่อมาในภายหลังดำรงตำแหน่งเป็นประมุขแห่งรัฐของฝรั่งเศส

เขตวีชีหรือรัฐฝรั่งเศส (État Français) ระหว่าง ค.ศ. 1940–1944 เปแต็งซึ่งมีอายุ 84 ปี ดำรงตำแหน่งเป็นประมุขแห่ง

รัฐที่เก่าแก่ที่สุดของฝรั่งเศส เนี่องจากเขาเป็นผู้นำทางทหารที่มีความโดดเด่นในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง

ในระหว่างยุทธการที่แวร์เดิงในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1940 เปแต็งได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีของฝรั่งเศส

โดยประธานาธิบดีเลอเบริงที่บอร์โดและคณะรัฐมนตรีมีมติทำสันติภาพกับเยอรมนีช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง 

เขาได้ร่วมรบในแนวรบด้านตะวันตก เขาได้รับบาดเจ็บจากการรบในยุทธการที่แวร์เดิงในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง

เขากลายเป็นนายพลแห่งกองทัพฝรั่งเศสเขาได้บัญชาการรบใน ยุทธการที่ Rethel, ChampagnArdenne, และ Loire 

ระหว่างยุทธการที่ฝรั่งเศส และหยุดรบหลังการยอมแพ้ของประเทศฝรั่งเศสต่อนาซีเยอรมนีโดยรัฐบาล

ได้ย้ายจากเมืองแกลร์มง-แฟร็องไปยังวีชีซึ่งเป็นเมืองสปา และรัฐบาลของเขาลงมติให้เปลี่ยนสภาพ

สาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 3 เป็นรัฐฝรั่งเศสตามระบอบอำนาจนิยม

หลังสงคราม เปแต็งต่อสู้คดีและถูกตัดสินมีความผิดข้อหาขายชาติ ตอนแรกเขาถูกตัดสินประหารชีวิต แต่ได้รับการ

พิจารณาตัดสินโทษใหม่เป็นจำคุกตลอดชีวิต เปแต็งเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1951

ชาร์ล อ็องเดร โฌแซ็ฟ มารี เดอ โกล (Charles André Joseph Marie de Gaulle) หรือ ชาร์ล เดอ โกล)

 22 พฤศจิกายน ค.ศ. 1890 – 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1970

เป็นเจ้าหน้าที่นายทหารแห่งกองทัพบกฝรั่งเศส และรัฐบุรุษที่นำเสรีฝรั่งเศสในการต่อสู้กับนาซีเยอรมนี

ในสงครามโลกครั้งที่สอง และเป็นประธานรัฐบาลชั่วคราวแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสเขาได้พ้นจากตำแหน่ง 

เมื่อได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานคณะรัฐมนตรี(นายกรัฐมนตรี) โดยประธานาธิบดี เรอเน กอตี 

เขาได้เขียนร่างรัฐธรรมนูญฝรั่งเศสขึ้นมาใหม่และก่อตั้งสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 4 

ภายหลังจากได้รับการอนุมัติโดยการลงประชามติ เขาได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีฝรั่งเศสในปีต่อมา 

ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เขาได้รับเลือกอีกครั้งในปี ค.ศ. 1965 และดำรงตำแหน่งจนกระทั่งลาออกในปี ค.ศ. 1969

 

สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการ

ความเห็น

ยังไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท
ภาษาปิยะธอน (Piyathon)
เขียนโค้ดไพทอนได้ด้วยภาษาไทย