เรื่องเล่าลือ มีอยู่เป็นระยะ ๆ ตั้งแต่ปีที่แล้ว (48) ว่าจังหวัด (สำนักงานเกษตรจังหวัดนครศรีธรรมราช) จะให้ผมมาทำงานที่ฝ่ายยุทธศาสตร์ จนถึงกลางปี 49 เรื่องเล่าลือดังกล่าวก็เริ่มมี ผมได้รับโทรศัพท์สอบถามจากเพื่อนร่วมงานต่างอำเภอ และลามไปถึงผู้นำชุมชนในตำบลที่รับผิดชอบและตำบลใกล้เคียง
แต่ผมเองก็ยังนึกถึงว่าเป็นแค่ข่าวลือเหมือนเดิม ยังคงทำงานสนุกกับผู้นำชุมชน กลุ่มต่าง ๆ ในตำบลที่รับผิดชอบ ร่วมกันคิดสร้างหักมุมแนวคิดต่าง ๆ กันสนุกสนานกันต่อไป และของใหม่สดที่ได้รับสัมผัสจากงานมหกรรม KM แห่งชาติ ครั้งที่ 3 ก็นำมาเล่ากันฟังถึงความสุขที่ได้รับในงานนั้น สิ่งที่เล่าให้พี่น้อง(ชาวบ้าน) ฟัง ก็คือ เรื่องของคนที่มีหัวใจ KM ซึ่งดูผู้ที่ฟังเขาก็พลอยสนุกสนานมีความสุขที่ได้ฟังผมเล่า ทำให้เรียนรู้ได้อีกอย่างหนึ่งว่า การพูดเรื่องดี ๆ เหมือนมีรัศมีเปล่งออกมา แผ่ซ่านไปยังบุคคลใกล้เคียงได้
วันที่ผมนิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออกก็คือ วันที่รู้ว่ามีคำสั่งออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรแล้วว่าให้ผมไปปฏิบัติงานที่จังหวัดแต่ในใจคิดก็คือน่าเป็นข่าวลืออีก เพราะผมยังไม่เห็นหนังสือนั้นเลย ลือก็ส่วนลือ จริงก็เป็นได้ เมื่อวันนั้นมาถึงจริง ๆ และได้เห็นหนังสือคำสั่งด้วยตัวเองและเป็นของจริง
ความรู้สึกเป็นอย่างไรบอกไม่ถูก เมื่อรู้ว่าต้องเปลี่ยนเส้นทางเดินใหม่ สัมผัสกับคนระหว่างทางเดินใหม่ ที่ผ่านมาทำงานกับผู้นำชุมชนและเกษตรกรในชุมชน เส้นทางนี้ต้องทำกับเจ้าหน้าที่อำเภอ(นักวิชาการ)และเพื่อนร่วมงานในองค์กร(ฝ่ายยุทธศาสตร์)
ผู้นำชุมชนเมื่อรู้เขาก็บอกว่าไม่อยากเชื่อ และใจหายเมื่อรู้ว่าต้องไปจริง ผมเองก็ใจหายมาก ๆ เพราะร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาเหมือนเป็นพี่น้อง จัดทำแผนชุมชน สร้างกลุ่มอาชีพ ซึ่งกว่าจะปรับให้เป็นเรื่องราวได้ยากมากแต่ผู้นำหลายคนก็พยามทำความเข้าใจและร่วมมือกันกับผมเพื่อทำให้เกษตรกรในชุมชนเข้าใจทำกันมาเป็นเวลาเป็น 10 ปี เมื่อถึงวันนี้ที่ผมเดินทางมาอยู่ที่จังหวัดแล้วยังมีโทรศัพท์มาทุกวัน เพราะหลายเรื่องยังต้องประสานกันอยู่
การทำงานที่มีความผูกพันธ์ เอาใจมาก่อนเป็นจุดสำคัญมาก งานระดับอำเภอที่ผมเคยทำอยู่ และรับผิดชอบตำบลนั้น ผมเพิ่งรู้เมื่อวันที่ต้องย้ายตัวเองออกมาว่านั้นคือโรงเรียนของผมในเรื่องของการทำงานกับชุมชนจริง ๆ ที่ผมต้องนำมาคิดทบทวนเป็นบทเรียนในการทำงานที่ต้องเดินทางทำต่อไป
พี่เม่ยครับ
ท่านไม่แสดงตน