ประวัติศาสตร์ยุคกลาง(ยุคมืด (Dark Age))ค.ศ. 476 – 1492
เริ่มขึ้นประมาณ ปี ค.ศ. 476 มาจนถึงประมาณ ค.ศ. 1492 รวมระยะเวลาประมาณ 1,016 ปี เริ่มขึ้นเมื่อจักรวรรดิโรมันตะวันตกตกอยู่ภายใต้อำนาจของพวกชนเผ่าเยอรมันถือเป็นการสิ้นสุดจักรวรรดิโรมัน ทำให้ดินแดนยุโรปถูกแบ่งแยกออกเป็นอาณาจักรต่างๆ ก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวายทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ชนเผ่าเยอรมันที่สำคัญในยุคนี้ได้แก่ ชนเผ่าแฟรงก์ ตั้งถิ่นฐานในฝรั่งเศสและเบลเยียมต่อมาเป็นพวกแรกที่รวมยุโรปตะวันตก เป็นจักรวรรดิเดียวกันสำเร็จ ชนเผ่าลอมบาร์ด ชนเผ่าแองโกลแซกซัน ชนเผ่าวิซิกอท ชนเผ่าแวนดัล เป็นต้น
ปีที่สิ้นสุดยุคกลาง
ปี ค.ศ. 1453 ชาวเติร์กเข้ายึดครองกรุงคอนสแตนติโนเปิล
ปี ค.ศ. 1485 นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษถือเอายุทธการที่บอสเวิร์ธฟิลด์ (Battle of Bosworth Field) เป็นส่วนหนึ่งในสงครามดอกกุหลาบ
ปี ค.ศ. 1492 ปีที่คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ออกเดินทางไปสู่ทวีปอเมริกาเป็นครั้งแรก
ระบบฟิวดัล (Feudalism)(ระบบศักดิสวามิภักดิ์)
เป็นลักษณะการปกครองที่เน้นความผูกพันระหว่างนักรบกับหัวหน้านักรบ ตามประเพณีคอมิเตตัส (Comitatus = ระบบอุปถัมภ์) โดยกษัตริย์กระจายอำนาจไป สู่หัวหน้าหรือกลุ่มนักรบ และลักษณะการปกครอง ที่สืบทอดมาจากโรมัน ระหว่างผู้อุปการะกับผู้รับอุปการะและความสัมพันธ์ระหว่างนายกับข้าทาส ผสมผสานกัน เป็นรากฐานของยุโรปสมัยกลาง
คำว่า Feudalism มาจากภาษาคำว่า Feudum ในภาษาละติน ซึ่งตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า Fief แปลว่า ที่ดิน
ระบอบศักดินาสวามิภักดิ์ หมายถึง ระบบการเมืองการปกครอง สังคม เศรษฐกิจ ที่เป็นลักษณะของความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์กับขุนนาง ขุนนางระดับสูงกับขุนนางระดับรองลงมา และเจ้าของที่ดินกับพลเมืองที่ทำมาหากินในที่ดินนั้น โดยมีที่ดินเป็นเงื่อนไขความผูกพันและความสัมพันธ์
กำเนิดของระบบฟิวดัล
เกิดขึ้นภายหลังจากการสิ้นพระชนม์ของจักรพรรดิชาร์ลมาญ (Charlemagne)
จักรวรรดิถูกแบ่งแยกออกเป็น 3 ส่วน ประกอบด้วย อาณาจักรฝรั่งเศส เยอรมัน และอิตาลี
ซึ่งต่อมาพวกขุนนางมีอำนาจขึ้นมาเรื่อยๆ จนสามารถแบ่งออกเป็นแคว้นต่างๆนำไปสู่ระบบฟิวดัลในที่สุด
จักรพรรดิชาร์ลมาญ
ลักษณะของระบบฟิวดัล (Feudalism)
ระบบอุปถัมภ์โดยมีที่ดิน (fief) เป็นสิ่งที่กำหนดฐานะและความสัมพันธ์ของคนในสังคม
มีการตกลงร่วมกันระหว่างลอร์ด (lord) หรือ เจ้าหรือผู้ให้ถือครองที่ดินกับข้าหรือ
วาสซาล (vassal) หรือผู้ถือครองที่ดิน แต่ละฝ่ายมีพันธะหน้าที่ต่อกัน
เจ้าหรือผู้ให้ถือครองที่ดินจะให้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแก่ข้า หรือวาสซาล (vassal)
ระบบฟิวดัล (Feudalism) เป็นระบบที่ประกอบด้วย
ที่ดิน (fief) เป็นสิ่งที่กำหนดฐานะและความสัมพันธ์ของคน ในสังคม
ลอร์ดหรือเจ้า (lord) เป็นผู้ให้ถือครองที่ดิน
ข้าหรือวาสซาล (vassal) ผู้ครองที่ดิน
โดยแต่ละฝ่ายต่างมีพันธะหน้าที่ต่อกัน
สังคมแบบฟิวดัลยึดถือจรรยาของอัศวินหรือวีรคติ (Chivalry )
เพื่อทำประโยชน์ในที่ดินนั้น และให้ความคุ้มครองเมื่อเกิดภัยสงคราม
ส่วนข้าต้องสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อเจ้าและส่งเงินและร่วมเป็นทหารไปร่วมรบในสงคราม
แผนภูมิแสดงความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์ ขุนนางและข้าติดที่ดินในระบบฟิวดัล
สภาพสังคมในสมัยฟิวดัล
ระบบแมนเนอร์ (Manorialism) คำว่า “Manor” แปลว่า คฤหาสน์ หมายถึงบริเวณที่ดินที่กว้างใหญ่รอบๆคฤหาสน์ของขุนนาง ประกอบด้วยหรือคฤหาสน์ของขุนนางอยู่ตรงกลาง มีป้อมหรือกำแพงล้อมรอบ ภายนอกรายล้อมด้วย หมู่บ้านสังคมแบบฟิวดัลยึดถือจรรยาของอัศวินหรือวีรคติ (Chivalry) ขนาดของที่ดินขึ้นอยู่กับอำนาจ และความมั่งคั่งของเจ้าของ บริเวณรอบๆคฤหาส์จะมีหมู่บ้าน ชาวนาและทาสติดที่ดิน ช่างฝีมือ พ่อค้า
ระบบแมนเนอร์ (Manorialism)
ความเสื่อมของระบบฟิวดัล (Feudalism)
ความเจริญทางด้านการค้า ทำให้เกิดศูนย์กลางการค้าขึ้นแทนระบบแมนเนอร์
เกิดโรคะบาด กาฬโรค ไปทั่วยุโรปในข่วงคริสต์ศตวรรษที่ 13-14 ทำให้แรงงานหายาก
ผลจากสงครามครูเสดและสงคราม 100 ปี ทำให้อัศวินเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
กษัตริย์มีอำนาจมากขึ้น โดยมีพ่อค้า ชนชั้นกลางให้การสนับสนุน
กษัตริย์เริ่มติดต่อโดยตรงกับประชาชนทรงมีอำนาจปกครองอย่างแท้จริงยุบกองทัพของขุนนาง
กล่าวได้ว่าระบบฟิวดัลได้วิวัฒนาการเป็นการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในประเทศสเปนและฝรั่งเศส
ไม่มีความเห็น