สันโดษ : ความพอเพียง
ดร. ถวิล อรัญเวศ
ความสันโดษ หรือความพอเพียง ความยินดีพอใจตามมีตามได้ ความยินดีพอใจตามกำลัง (ความรู้ความสามารถ) และความยินดีพอใจตามความจำเป็นของตน หรือตามความเหมาะสมถือว่า “บุญทางใจ”
ทำไม ? เพราะ “สันโดษ” (ภาษาพระ) ไม่ใช่ความเกียจคร้าน ไม่อยากมั่งอยากมี แต่คือความพอดีของชีวิตที่เราได้ทำจนสุดความสามารถของเราแล้ว
กล่าวกันว่า การดำรงชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนปัจจุบันถูกเหตุปัจจัยต่าง ๆ หลากหลาย มากระทบกระทั่ง เบียดเบียนอยู่ทุกเมื่อ ยิ่งอยู่ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 และโอมิครอนแล้ว ยิ่งทำให้ผู้คนต้องใช้ชีวิตความเป็นอยู่อย่างยากลำบากและขาดนสภาพคล่องในการทำมาหากิน ยิ่งต้องลำบากมากกว่าที่ผ่านมาหลายเท่า ซึ่งล้วนแต่ทำให้การดำเนินชีวิตเป็นไปด้วยความยากลำบากยิ่ง เพราะมีสิ่งมายั่วยุล่อใจให้เกิดความอยากได้อยากมีเกินตัว ทั้ง ๆ ที่การงานก็ไม่มีสภาพคล่อง แต่มีของล่อใจมีมากมาย ถ้าเราไม่สามารถใช้สติปัญญาพิจารณาอย่างถ่องแท้แล้วไซร้ ย่อมจะทำให้เราขาดความพอเพียงไปได้ ยิ่งจะทำให้เกิดทุกข์ใจตามมา เพราะอยากได้เกินตัว อยากได้เกินประมาณตนเอง
เมื่อเป็นเช่นนี้ ควรที่ทุกคนจะต้องหันกลับมาทบทวนถึงแนวทางแห่งการดำรงชีวิตประจำวันที่เราประพฤติปฏิบัติเพื่อประคับประคองตนให้รอดพ้นจากสิ่งที่มายั่วยุให้เกิดความอยากได้เกินตัว หรือให้มีความพอดีความพอเพียง ความสันโดษ โดยการปฏิบัติตามหลักธรรม คือ ความสันโดษ (พอเพียง) ตามที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแนะนำชาวโลกให้แสวงหาความสุขโดยการถือ สันโดษ (พอเพียง)
คำว่า “สันโดษ” เป็นคำที่ใช้กับพระ แปลว่าความยินดี คือความพอใจ ความยินดีด้วยของของตนซึ่งได้มาด้วยความเพียร ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และโดยชอบธรรม ในภาษาของชาวบ้านก็คือ
“ความพอเพียง” นั่นเอง
ความสันโดษ หรือความพอเพียงโดยทั่วไปมี 3 ประการ คือ
1. ยถาลาภสันโดษ ยินดีตามมีตามได้
2. ยถาพลสันโดษ ยินดีตามกำลังความรู้ความสามารถ
3. ยถาสารุปสันโดษ ยินดีตามความเหมาะสม
มีอรรถาธิบายดังนี้
1. ยถาลาภสันโดษ
ความยินดีตามที่ตนได้มา คือตนได้สิ่งใดมาหรือเพียรหาสิ่งใดมาได้ ไม่ว่าจะมากหรือน้อย หยาบหรือประณีตแค่ไหนก็ยินดีพอใจกับสิ่งนั้น ไม่ติดใจอยากได้สิ่งอื่น ไม่เดือดร้อนกระวนกระวายเพราะสิ่งที่ตนไม่ได้มา ไม่ปรารถนาสิ่งที่ตนไม่พึงได้ หรือเกินไปกว่าที่ตนจะพึงมีพึงได้โดยถูกต้องชอบธรรม ไม่เพ่งเล็งปรารถนาสิ่งของที่คนอื่นได้ จนเกิดความริษยาหรือความโลภจนเกินตัวอันจะทำให้เกิดความทุกข์ใจ หรือเกิดความโลภ จนต้องไปขโมยของเขา
2. ยถาพลสันโดษ
ความยินดีตามกำลัง (ความรู้ความสามารถ) คือ ยินดีแต่พอแก่กำลังร่างกายสุขภาพและวิสัยของตน มีความพอใจในด้วยความขยันหมั่นเพียร ความริยะอุตสาหะแห่งตน ซึ่งถือว่าเราได้ทำจน
ความรู้ความสามารถของเราแล้ว เมื่อได้เพียงนี้ เราก็พอใจในสิ่งที่
เราได้มา ไม่น้อยอกน้อยใจในโชคชะตาวาสนา
3. ยถาสารุปสันโดษ
ยินดีตามเหมาะสมหรือสมควรแก่ตน หรือยินดีตามที่เหมาะสมกับภาวะ ฐานะเพศแห่งตน ไม่อยากได้เกินขอบเขตที่ผิดวิสัยธรรมชาติ
จะเห็นว่า ความพอเพียงหรือความสันโดษ เป็นทรัพย์อย่างยิ่ง เป็นการสร้างความสุขให้แก่ชีวิต การรับและการได้มาหากไม่มีสติก็อาจลุ่มหลงไปตามอำนาจของโลภะอย่างไม่มีขอบเขต “ความรู้จักพอก่อสุขทุกสถาน” หรือ “ยินดีในสิ่งที่ได้ พอใจในสิ่งที่มี คือการเป็นเศรษฐีตลอดกาล”
พฤติกรรมดังกล่าวจึงเป็นคำเตือนสติให้ตนรู้จักความสุขที่แท้จริง ดังคำพูดที่ว่า คนที่รวยที่สุดคือ คนรู้จักพอใจในสิ่งที่ตนมี และ คนที่จนที่สุดคือ คนที่ไม่รู้จักพอ ดังคำพูดเปรียบเปรยว่า “เมืองพอ ยังไม่มี มีแต่เมืองพล” ทำนองนั้น
ถ้าทุกคนต่างมีความสันโดษ พอใจยินดีใช้สอยวัตถุสิ่งของต่าง ๆ อย่างมีสติ ไม่สุรุ่ยสุร่าย ดำเนินชีวิตด้วยความซื่อสัตย์สุจริต มีความอดทน มีความเพียร มีสติปัญญา และความรอบคอบเพื่อให้สมดุลและพร้อมต่อการรอง รับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของสังคม ก็จะสามารถสร้างความอยู่ดีกินดีเป็นเหตุให้เกิดความสุขขึ้นได้
ดังนั้น ความสันโดษ หรือความพอเพียง ความยินดีพอใจตามมีตามได้ พอใจตามกำลังและความสามารถ และยินดีพอใจตามความเหมาะสม และจำเป็นของตน พร้อมทั้งมีความขยันหมั่นเพียรหาเลี้ยงชีพด้วย
ความสุจริตไม่เป็นภัยต่อตนเองหรือ สังคม เมื่อหาทรัพย์มาได้แล้วต้องรู้จักเก็บออมระมัดระวังในการใช้จ่ายไม่ก่อให้เกิดหนี้สินก็จะนำมาซึ่งความอยู่ดีมีสุข ความสันโดษ จึงเป็นคุณธรรมที่ทุกคนควรพินิจพิจารณา น้อมนำมาประพฤติปฏิบัติให้เกิดเป็นนิสัยติดตัวหรือเป็นวิถีชีวิตโดยแท้แล้วเราจะพบแต่ความสุขนั้นเอง....
ไม่มีความเห็น