หนังสือ The Wandering Mind : What the Brain Does When You’re Not Looking เขียนโดย Michael C. Corballis ศาสตราจารย์เกียรติคุณด้านจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยโอ๊กแลนด์ นิวซีแลนด์ อธิบายกลไกที่เกิดขึ้นในสมองขณะที่เราใจลอย และยืนยันว่า ใจลอยเป็นสิ่งที่มีคุณค่า
เมื่อเพ่งความสนใจไปที่เรื่องหนึ่ง สมองบางส่วนเท่านั้นทำงาน แต่เมื่อใจลอย สมองกลับมาทำงานด้วย default mode network คือทำงานทั่วทั้งสมอง และเป็นช่วงที่สมองมีความสร้างสรรค์สูง
สมองมีความจำ ๓ ชั้น ชั้นแรกเป็นความจำเพื่อใช้งานในชีวิตประจำวัน เช่าการพูด การเดิน ชั้นที่สอง เป็นชั้นความรู้ สมองใจลอยจะสามารถเข้าไปฉวยความรู้ที่เราสั่งสมไว้มากมายได้โดยเราไม่ต้องคิด ชั้นที่สาม เรียกว่า episodic memory เป็นความจำที่จำเพาะสำหรับแต่ละคน และทำให้เราเป็นเรา นี่คือส่วนของความจำที่สมองใจลอยมุ่งเข้าไปฉวยมาใช้งาน
สมองเก็บความจำไว้คล้ายๆ เทปบันทึกภาพยนตร์ สามารถกรอกลับมาดูใหม่ได้ ดังกรณีเราหวนกลับไปคิดถึงเรื่องราวประทับใจในวัยเด็กบางเรื่องบ่อยๆ และนั่นคือสมองส่วนใจลอยทำงาน คนที่สมองส่วนนี้ชำรุด ทำให้คิดถึงอดีตไม่ได้ ชีวิตจะทรมานมาก
ยิ่งกว่านั้น ใจลอยยังลอยเข้าไปในใจของคนข้างเคียงได้ด้วย เป็นความสามารถตามธรรมชาติของมนุษย์ ไม่ใช่เรื่องลี้ลับหรือความสามารถพิเศษ คือเกิดขึ้นเมื่อสมองทำงานใน default mode network
การเล่าเรื่อง (storytelling) เป็นปรากฏการณ์หนึ่งของใจลอย ระหว่างเล่าเรื่อง ผู้เล่าใช้ทั้งความจำเรื่องราวที่ประสบ และจินตนาการเสริมเพื่อทำให้เรื่องราวสนุกสนานเร้าใจยิ่งขึ้น และผมตีความว่า ผู้ฟังก็ใช้จินตนาการของตนเสริมเช่นเดียวกัน
ใจลอยเป็นกลไกความสร้างสรรค์ จึงมีคนใช้ยา กัญชา หรือสุรา ช่วยให้สมองอยู่ใน default mode network และสร้างสรรค์ศิลปะ นวนิยาย และการสร้างสรรค์อื่นๆ แต่ยาและสิ่งกล่อมประสาทเหล่านี้มีข้อเสียตรงที่เสพติด เราสามารถฝึกให้ปล่อยใจลอยได้ โดยไม่ต้องใช้ยาช่วย
ผมเขียนเรื่องคุณค่าของการปล่อยวางไว้ที่ (๑)
วิจารณ์ พานิช
๒๙ พ.ย. ๖๔
Thank you for this summary.I have had experiences of [free] wondering mind while practicing meditation. At times, the mind opens new perspectives that [trained] thinking ignores.
I suppose as a meditator, I fail many times but a a learner I know more free tools ;-)