ช่วงบ่ายวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ มีการประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบการผลิตและพัฒนาครูในพื้นที่ห่างไกล ของ กสศ. และภาคี ครั้งที่ ๕/๒๕๖๔ เป็นที่มาของสาระในบันทึกนี้ ที่เสนอว่า ประเทศไทยต้อง transform ระบบเกี่ยวกับครูในหลากหลายด้าน ได้แก่
- ระบบการผลิตครู ต้องเปลี่ยนจากระบบเปิด เป็นระบบปิด คือผลิตครูเท่าที่ต้องการเท่านั้น ไม่ปล่อยให้สถาบันผลิตผลิตตามใจชอบ เวลานี้ประเทศไทยผลิตครูเกินความต้องการหลายเท่า และสาขาที่ผลิตก็ไม่ค่อยตรงความต้องการ รวมทั้งคุณภาพก็แตกต่างกันมาก สภาพดังกล่าวทำให้เรามีครูที่ด้อยคุณภาพ ส่งผลให้ระบบการศึกษาคุณภาพต่ำ รวมทั้งเกิดความสูญเปล่าของทรัพยากรของชาติปีละมากมาย
- ระบบการจัดการทรัพยากรบุคคลของกระทรวงศึกษาธิการ ในปัจจุบันเน้นการเติบโตหรือก้าวหน้าผ่านย้ายที่ทำงาน ย้ายจากโรงเรียนเล็กไปโรงเรียนใหญ่ ย้ายจากโรงเรียนห่างไกลไปโรงเรียนในเมือง ย้ายจากตำแหน่งครูสู่ตำแหน่งบริหาร การได้ย้ายนี้ส่อความสำเร็จในชีวิตการงานส่วนบุคคล ทำให้วงการครูและบุคลากรการศึกษาไม่ค่อยเน้นความสำเร็จที่ผลงานที่ตัวเด็ก หรือที่ระบบการศึกษาหรือส่วนรวม เราต้องช่วยกันผลักดันการเปลี่ยนแปลงสู่ผลสำเร็จในชีวิตการงานที่วัดจากผลงานที่นักเรียนให้จงได้
- ระบบที่มองครูในฐานะผู้สอน โดยทำตามที่กำหนดในหลักสูตร มีผลให้ครูถูกลดทอนความเป็นผู้ก่อการ ตามรายละเอียดในบันทึกชุด เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ (๑) ต้องเปลี่ยนท่าทีต่อครู ให้ครูได้เป็นผู้ร่วมพัฒนาหลักสูตร และร่วมพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา มีกระบวนทัศน์เกี่ยวกับครูว่า ไม่ใช่เป็นเพียงผู้ปฏิบัติตามคำสั่ง แต่เป็นผู้ร่วมพัฒนากิจการทุกด้านของการศึกษา อย่างน้อยที่สุดก็ร่วมกันพัฒนากิจการในโรงเรียนของตน การที่ครูมีความเป็นผู้ก่อการ จะช่วยให้ครูหนุนให้นักเรียนมีความเป็นผู้ก่อการได้ดีขึ้น ประเทศได้พลเมืองผู้ก่อการ (agentic citizen) ในอนาคต
- เปลี่ยนจากระบบการทำงานแบบโดดเดี่ยวตัวใครตัวมัน เป็นระบบทำงานเป็นทีม และเรียนรู้ร่วมกันจากการปฏิบัติงาน ซึ่งจะนำสู่คุณภาพการศึกษา
- เปลี่ยนจากระบบการทำงานแบบแยกส่วนโรงเรียนออกจากพ่อแม่ผู้ปกครอง และชุมชน เป็นระบบงานที่มีการดึงศักยภาพภายนอกเข้ามาร่วมสร้างสรรค์ผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียน ให้การเรียนเชื่อมโยงกับชีวิตจริง (real-world) ให้มากที่สุด ส่งผลที่การสร้างสมรรถนะด้านต่างๆ ในตัวนักเรียน
- ส่งเสริมให้มีการเผยแพร่ผลงานยกระดับผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียนที่พิสูจน์แล้วว่ามีการดำเนินการต่อเนื่อง เกิดผลดีต่อนักเรียนหลายรุ่น โดยไม่ใช่แค่เน้นที่ผลงาน แต่เน้นที่วิธีการ และความมุ่งมั่นของทีมงานในโรงเรียน (ทีมครูและผู้บริหาร) ที่ได้เอาชนะอุปสรรคจนประสบความสำเร็จ และส่งเสริมให้ดำเนินการพัฒนาต่อเนื่อง เป็น Double-Loop Learning รวมทั้งสนับสนุนให้มีการสร้างเครือข่ายโรงเรียนตามแนวทางดังกล่าว เป็นเครือข่ายที่จริงจังและระยะยาว
ผมนึกออกเพียงแค่นี้ แต่เชื่อว่า น่าจะยังมีแนวทางเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม และวิถีปฏิบัติ เพื่อส่งเสริมให้ครูได้ปลดปล่อยศักยภาพออกมากระทำการเพื่อศิษย์ เพื่อระบบการศึกษา และเพื่อบ้านเมือง ได้อีกมาก เช่นบทบาทในการพัฒนาชุมชนโดยรอบโรงเรียน โดยใช้นักเรียนเป็นพลังร่วมกับผู้นำชุมชน
วิจารณ์ พานิช
๒๘ พ.ย. ๖๔