การประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนทั้งระบบ ของ กสศ. เมื่อวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๖๔ มีการนำเสนอ ร่าง แผนงานพัฒนาคุณภาพโรงเรียนทั้งระบบ (2565 – 2567) ที่ผมคิดว่าควรปรับเปลี่ยน หรือเพิ่มเติม ให้มีแผนสร้าง impact จากแผนงานพัฒนาคุณภาพโรงเรียนทั้งระบบ
เพราะโครงการนี้ดำเนินการมาเกือบ ๓ ปีแล้ว มีตัวอย่าง good practice มากมาย แต่ไม่ได้ harvest เอามาสร้างผลกระทบต่ระบบการศึกษา ตามเป้าหมายของคณะกรรมการบริหาร กสศ. ที่ต้องการให้ กสศ. ทำหน้าที่ catalyst for change แก่ระบบการศึกษา ในร่างแผนนี้ ไม่มีโครงการหรือแผนงานสร้าง impact อย่างชัดเจนเป็นรูปธรรม
ในที่ประชุม มีกรรมการแนะนำว่า เนื่องจากเป็นแผนงาน ๓ ปีที่สอง จึงควรเขียนให้เห็นผลงานของ ๓ ปีแรก ว่ามีผลงานตามเป้าหมายที่กำหนดไว้อย่างไรบ้าง และเมื่อครบ ๓ ปีที่สอง จะเห็นผลลัพธ์ที่พัฒนาขึ้นอย่างไรบ้าง ผมมองว่า ร่างแผนที่เสนอมา เขียนแบบ descriptive ควรปรับให้เป็นแบบ analytical, statistical และ strategic คือมีตัวเลขแยกแยะผล ชี้ให้เห็นจุดเป้าหมายที่ยังทำได้ไม่ดีนัก จึงต้องเน้นจัดการแนวใหม่ที่จุดเหล่านั้น
เมื่อบรรลุผลลัพธ์ที่ดี ณ จุดใด (โรงเรียนใด) ต้องมีการเข้าไปค้นหา เมื่อพบ ต้องเอาเกณฑ์เข้าจับ ว่าบรรลุผลลัพธ์ที่ดีในระดับใด (มีข้อมูลหลักฐานที่น่าเชื่อถือ) แล้วค้นหาว่า ผู้เกี่ยวข้องดำเนินการพัฒนาอย่างเป็นขั้นตอนมาอย่างไร จึงบรรลุผลดีในระดับนั้น มีขั้นตอนที่ได้เผชิญอุปสรรคอย่างไรบ้าง และเอาชนะได้อย่างไร ก็จะเป็น “กรณีเรียนรู้” ที่ทรงคุณค่า และหากจะช่วยเพิ่มคุณค่าการเรียนรู้ให้แก่ทีมงานของโรงเรียนนั้น ต้องช่วยตั้งคำถามและสานเสวนากัน ให้เขาค้นพบจุดปรับปรุงต่อเนื่องของเขาด้วย ช่วยให้เขาสมาทาน growth mindset อย่าให้เขาหลงยึด fixed mindset ว่าตนทำได้ยอดเยี่ยมแล้ว
ในปัจจุบัน โครงการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนทั้งระบบ น่าจะมี “ตัวอย่างที่ดี” (good practice) สองสามร้อยกรณี ที่มีรายละเอียดของผลที่บรรลุ และเส้นทางแห่งความมานะพยายาม ที่แตกต่างหลากหลาย รวมทั้งระดับของการบรรลุผลในระดับดีเยี่ยมต่างจุดต่างรายละเอียด ยิ่งเส้นทางของการเดินทางสู่ความสำเร็จยิ่งแตกต่างหลากหลาย ที่ต้องการการจัดกระบวนการเข้าไปค้นหา จะเห็นว่า ร่าง แผนงานพัฒนาคุณภาพโรงเรียนทั้งระบบ (2565 – 2567) ยังไม่แตะงานส่วนนี้ นี่คือ “การจัดการผลลัพธ์” หรือ จุดเริ่มต้นของ “การจัดการผลกระทบ” ที่ควรเป็นงานใหญ่ใน ๓ ปีที่สองของโครงการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนทั้งระบบ ที่ผมเสนอว่า ควรใช้ทรัพยากร ประมาณครึ่งหนึ่งของทรัพยากรทั้งหมด ใน ๓ ปีที่สอง
ความยากหรือท้าทาย อยู่ที่การมีเกณฑ์บอกระดับของความสำเร็จที่แม่นยำ และมีผู้เข้าไปร่วมสานเสวนากับทีมงานของโรงเรียน (ใช้ DE) จนเห็นพ้องกันว่า ความสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจอยู่ตรงไหนบ้าง สำเร็จในระดับใด มีประเด็นเรียนรู้อะไรบ้างจากกระบวนการฟันฝ่าร่วมกันของทีมงานจนบรรลุ และมีจุดที่เรียกว่า OFI = Opportunity for Improvement อยู่ตรงจุดใดบ้าง
ผู้เข้าไปร่วมสานเสวนากับทีมงานต้องมีทักษะสูง ต้องฝึกฝนเรียนรู้วิธีทำงานอย่างรวดเร็ว เน้นปฏิสัมพันธ์แนวราบ
คุณค่าของการศึกษาตัวอย่างผลงานที่ดี ไม่ใช่เน้นเฉพาะที่ผลลัพธ์ ต้องเน้นที่กระบวนการต่อสู้ฟันฝ่าร่วมกันของทีมงานมากกว่า คือ เน้นที่ผลลัพธ์เพียงหนึ่งในสาม อีกสองในสามเน้นเรียนรู้จากกระบวนการทำงานร่วมกันของทีมงานจนบรรลุผลที่น่าชื่นชม เพราะนี่คือจุดของการเรียนรู้ที่มีคุณค่ายิ่ง
ในการศึกษาความสำเร็จ ต้องช่วยกันค้นหา OFI เสมอ เพื่อขับเคลื่อนกระบวนทัศน์ growth mindset ขับไล่ fixed mindset หรืออหังการ์ (กูแน่) ให้สมาทานแนวคิด “พวกเราต้องร่วมกันปรับปรุงเรื่อยไป” ที่ในภาษาของกระบวนการคุณภาพเรียกว่า CQI = Continuous Quality Improvement
และทีมศึกษาผลสำเร็จ ต้องไม่เข้าไปที่โรงเรียนด้วยท่าทีของผู้ประเมิน แต่ใช้ท่าทีของผู้ร่วมเรียนรู้ ตั้งคำถาม (ที่เฉียบคม) อย่างกัลยาณมิตร มีเป้าหมายเพื่อการเรียนรู้ร่วมกัน โดยมีข้อมูลหลักฐานยืนยันให้น่าเชื่อถือ ทีมศึกษาผลสำเร็จสามารถสร้างความประทับใจหรือความเชื่อถือแก่ทีมงานของโรงเรียนได้ โดยการเก็บข้อมูลและชี้ให้ทีมงานของโรงเรียนเห็นความสำเร็จที่ตนมองไม่เห็น โดยชี้ให้เห็นว่า หากมีการเก็บข้อมูลบางอย่างเพิ่ม จะช่วยยืนยันข้อเรียนรู้แก่ทีมงานเอง และเอาไปแชร์แก่โรงเรียนอื่นได้
สะท้อนคิดมาเสียยาว ก็เพื่อจะชี้ให้เห็นภารกิจ หรืองานในส่วน “การจัดการผลลัพธ์” และ “การจัดการผลกระทบ” ที่สำนักครูฯ ของ กสศ. ยังเห็นไม่ชัด
วิจารณ์ พานิช
๒๙ ก.ย. ๖๔
ไม่มีความเห็น