เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ  ๗. ลัทธิบูชาผลงาน


 

บันทึกชุด เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ นี้    ตีความ (ไม่ใช่แปล) จากหนังสือ Teacher Agency : An Ecological Approach (2015)   เพื่อหนุนการดำเนินการหลักสูตรฐานสมรรถนะของไทย    ให้เป็นหลักสูตรที่มีครูเป็น “ผู้ร่วมสร้าง” (co-creator)    โดยขอย้ำว่า ผมเขียนบันทึกชุดนี้แบบตีความสุดๆ   ในหลายส่วนได้เสนอมุมมองของตนเองลงไปด้วย    ท่านผู้อ่านจึงพึงอ่านอย่างมีวิจารณญาณ  อย่าเชื่อโดยง่าย

บันทึกที่ ๗ นี้ ตีความจากบทที่ 5 Performativity and Teacher Agency   

ระบบการศึกษารับเอาลัทธิบูชาผลงาน (performativity) ไปจากการบริหารงานภาครัฐ   ซึ่งรับไปจากวงการธุรกิจอีกต่อหนึ่ง    ตามแนวทางการจัดการสมัยใหม่ ของลัทธิเสรีนิยมใหม่ (neo-liberalism) หรือทุนนิยม   ที่เน้นผลประกอบการเหนือสิ่งอื่นใด   ลัทธินี้ให้คุณค่าต่อเรื่อง ความคุ้มค่าเงิน  กลไกตลาด ความรับผิดรับชอบ (accountability)  และความเป็นอิสระของโรงเรียน    เท่ากับเกิดการเปลี่ยนพลังอำนาจจากโรงเรียนมีอำนาจภายในตน  ไปสู่หน่วยงานภายนอกมีอำนาจเหนือโรงเรียน     โรงเรียนต้องทำตามแนวทางที่หน่วยงานภายนอกกำหนด

บันทึกตอนนี้มุ่งทำความเข้าใจว่าลัทธิบูชาผลงานส่งผลต่อความเป็นผู้ก่อการของครูอย่างไร    โดยศาสตราจารย์ Mark Priestley ผู้เขียนหนังสือ Teacher Agency อธิบายว่า ลัทธิบูชาผลงานน่าจะมีผลต่อ พลังที่มีอิทธิพลต่อความเป็นผู้ก่อการของครูทั้ง ๓ มิติ  คือ (๑) พลังแห่งอดีต หรือการสั่งสมประสบการณ์และการเรียนรู้จากการปฏิบัติงานที่ผ่านมาของครู (iterational dimension) ดังผลงานวิจัยที่บอกว่าครูที่คุ้นเคยกับระบบหลักสูตรเก่า (หลักสูตรแห่งชาติ ๕ – ๑๔ ที่เน้นการทดสอบผลลัพธ์การเรียนรู้ด้วยการทดสอบมาตรฐาน    เมื่อเปลี่ยนมาใช้หลักสูตรใหม่ – Curriculum for Excellence - ที่ให้ความเป็นอิสระมากกว่า ครูเหล่านั้นยังคงปฏิบัติตามแบบเดิม)    (๒) พลังแห่งปัจจุบัน หรือการตัดสินใจลงมือปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติของครู ณ จุดของการดำเนินการ (practical – evaluative dimension)    ในสภาพที่โรงเรียนถูกกำหนดผลงานจากภายนอก การตัดสินใจขึ้นกับปัจจัยภายนอก ไม่ขึ้นอยู่กับครู    และ (๓) พลังจากอนาคต หรือการมองหรือคาดการณ์ไปในอนาคตของครู (projective dimension)  ซึ่งหมายถึงความหมายของโรงเรียน ว่าโรงเรียนมีไว้เพื่ออะไร    คือถูกลดทอนลงเป็นเพียงเพื่อทำงานให้ได้ผลงานตามที่มีผู้กำหนดให้ทำ    ทำให้ครูเพียงแค่สอนเพื่อสอบ  และบางครั้งครูก็โกงผลงานเอาดื้อๆ   

เท่ากับลัทธิบูชาผลงาน สร้างนิสัยขี้โกง หรือไม่สุจริตให้แก่ครู   ยิ่งมีการตรวจสอบติดตามผลมาก ครูยิ่งเชี่ยวชาญการโกง       

เขาบอกว่าลัทธิบูชาผลงานของอังกฤษกับของสก็อตแลนด์ต่างกัน    ของอังกฤษเน้นกลไกตลาดและการกระจายอำนาจ   ส่วนของสก็อตแลนด์เน้นโครงสร้างบังคับบัญชาเป็นชั้นๆ แต่ไม่เคร่งครัดเรื่องความรับผิดรับชอบ    แปลกมากที่ลัทธิบูชาผลงานถูกวิพากษ์วิจารณ์มากในวงการวิชาการของต่างประเทศ     แต่ไม่มีการยกขึ้นมาถกเถียงเลยในประเทศไทย   วงการวิชาการไทยยอมสยบต่ออำนาจเหนืออย่างไม่ตั้งข้อสงสัยในเรื่องผลดีหรือผลร้ายต่อสังคมภาพรวม   

 

ลัทธิบูชาผลงาน, วิชาชีพ, และความเป็นผู้ก่อการ

มีผู้เขียนรายงานทางวิชาการตีพิมพ์ไว้ตั้ง ๒๐ ปีมาแล้ว (Michael Apple, 2001) ว่า    ระบบโรงเรียนทั่วโลกได้เปลี่ยนจุดเน้น    จากมุ่งสนองความจำเป็นของเด็ก  ไปมุ่งสร้างผลลัพธ์การเรียนรู้    และจากการที่โรงเรียนทำเพื่อเด็ก  กลายเป็นเด็กทำเพื่อโรงเรียน    สะท้อนวัฒนธรรมหรือลัทธิบูชาผลงาน    ผมอ่านหนังสือตอนนี้แล้วสะท้อนคิดว่า สภาพนี้เป็นจริงสำหรับระบบการศึกษาไทยด้วย   สภาพดังกล่าวบีบบังคับให้ครูต้องหาทางทำให้นักเรียนทำเกรดให้สูงเพื่อรักษาชื่อเสียงของโรงเรียน    ซึ่งในสภาพไทยผมคิดว่า โรงเรียนที่ผลการเรียนต่ำ ใช้วิธีสร้างชื่อเสียงโดยฝึกให้นักเรียนเก่งๆ สองสามคน ไปแข่งขันชิงรางวัลชนะเลิศในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เอาไว้ประชาสัมพันธ์   

ลัทธิบูชาผลงาน ผลักดันให้ครูกลายเป็นผู้ส่งมอบผลงานตามหลักสูตร และผลิตสถิติแสดงผลงาน    แทนที่จะทำหน้าที่เป็นผู้พัฒนาหลักสูตร เป็นครูที่รับผิดชอบ และเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง    เท่ากับลัทธิบูชาผลงานสร้างความเสื่อมให้แก่วิชาชีพครู    มีส่วนผลักดันให้ครูจำนวนหนึ่งเป็นนักเล่นเกม    คือเล่นเกมผลงาน ที่เป็นผลงานหลอกๆ   ไม่ใช่ผลงานที่เป็นคุณค่าแท้จริงของครูและการศึกษา     ส่งผลต่อเนื่องให้ครูรู้สึกไม่มั่นใจตนเอง หวั่นไหวในคุณค่าของตนเอง    และเล่นเกมคุณค่าหลอกๆ ของตนเองและการศึกษา    และที่ร้ายคือในบางกรณีนำไปสู่ความไม่ซื่อสัตย์ในการแสดงผลงานของตน       

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาที่หนังสือ Teacher Agency ออกเผยแพร่ มีกระแสใหม่เกิดขึ้น    คือกระแสวิชาชีพนิยม  (professionalism) ในวงการนโยบายสาธารณะ   เน้นบทบาทของผู้ประกอบวิชาชีพในการดำเนินการนโยบายสาธารณะ    ดังกรณีที่หลักสูตร Curriculum for Excellence ต้องการให้ครูทำหน้าที่เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงหลักสูตร   

ลัทธิบูชาผลงานเน้นควบคุมผลลัพธ์ (output regulation) ของการปฏิบัติงาน    โดยที่หลักสูตร National Curriculum (1989) ของอังกฤษเน้นควบคุมปัจจัยนำเข้า (input regulation)   เขาบอกว่าการควบคุมผลลัพธ์มีผลลดทอนความเป็นอิสระของครูมากกว่าการควบคุมปัจจัยนำเข้า    จึงน่าสนใจมากว่าเมื่อลัทธิบูชาผลงานบรรจบกับนโยบายให้ครูแสดงความเป็นผู้ก่อการ    จะเกิดอะไรขึ้น       

วิชาชีพนิยม (professionalism) หมายถึง สภาพที่ผู้ประกอบวิชาชีพควบคุมการปฏิบัติงานของตนเอง    มากกว่าควบคุมโดยผู้บริโภคในตลาด  หรือโดยหน่วยงานกลางของรัฐหรือบริษัท    ซึ่งสภาพจริงในปัจจุบันไม่มีวิชาชีพนิยมแบบสุดขั้วดังกล่าว    แต่ต้องมีสมดุลระหว่าง ๔ ฝ่ายคือ วงการวิชาชีพ  ผู้ใช้บริการ  รัฐ และนายจ้าง     โดยที่ปฏิสัมพันธ์ระหว่าง ๔ ฝ่ายนี้ มีพลวัตอยู่ตลอดเวลา   

ในสก็อตแลนด์ วิชาชีพครูถือเป็นแนวหน้าของการปฏิรูปบริการภาครัฐ    โดยรัฐบาลระบุนโยบายว่า “เป็นบริการที่สนองความต้องการของบุคคลและชุมชน  เน้นพัฒนาผลลัพธ์  และต้องคำนึงถึงข้อจำกัดของงบประมาณ”    สะท้อนว่า ครูต้องทำหน้าที่ตัดสินใจในสถานการณ์ที่ซับซ้อนของมนุษย์   ซึ่งก็คือต้องใช้ความเป็นครูผู้ก่อการนั่นเอง       

ซึ่งหมายความว่า ครูต้องทำหน้าที่ตัดสินใจในสถานการณ์แวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อความเป็นตัวของตัวเองของครู    เพราะระบบรัฐดำเนินตามแนวเสรีนิยมใหม่    ผู้ใช้บริการกลายเป็นลูกค้า   และรัฐเปลี่ยนบทบาทจากผู้ให้บริการไปเป็นผู้กำกับหรือตรวจสอบ และควบคุมคุณภาพ    รวมทั้งระบบรับผิดรับชอบก็เปลี่ยนไป     ครูอยู่ในสภาพที่ถูกกำกับโดยปัจจัยภายนอกหลากหลายมิติ   กำกับปัจจัยนำเข้าโดยหลักสูตรที่กำหนดรายละเอียดยิบ    กำกับผลลัพธ์โดยมีเป้าให้ต้องบรรลุ    มีการตรวจสอบโดยศึกษานิเทศก์    รวมทั้งต้องเข้ารับการพัฒนาทักษะวิชาชีพ     

บรรยากาศเปลี่ยนจาก การทำงานแบบเป็นหุ้นส่วน   เป็นเพื่อนร่วมงาน   มีสิทธิใช้ดุลยพินิจ   และได้รับความไว้วางใจ  ไปเป็นระบบการจัดการ  ระบบราชการ  กำกับมาตรฐาน   ประเมิน  และทบทวนผลงาน    ซึ่งเป็นระบบนิเวศของลัทธิบูชาผลงาน    ซึ่งลิดรอนความเป็นตัวของตัวเอง หรือความเป็นผู้ก่อการ ของครู        

มีผู้เสนอว่า ลัทธิบูชาผลงานในโรงเรียน ประกอบด้วย ๓ ส่วนที่ถักทอเข้าด้วยกันคือ  (๑) วัฒนธรรมกำหนดเป้าและตรวจสอบ  โดยใช้ตัวเลขสถิติ  (๒) เน้นกลไกตรวจสอบการดำเนินการ  (๓) เน้นกลไกตลาด โดยเปิดเผยข้อมูลให้ผู้ปกครองนักเรียนเลือกโรงเรียนให้บุตรหลานได้   

ในลัทธิบูชาผลงาน เครื่องมือสำคัญคือตัวชี้วัดผลงาน    ซึ่งในที่สุดกลายเป็นเป้าหมายไปโดยปริยาย    ทำให้คุณค่าของการศึกษาถูกลดทอนลงไป   กลายเป็นครูและโรงเรียนทำงานเพื่อตัวชี้วัด    ไม่ได้ทำเพื่อนักเรียน  คุณค่าส่วนไหนที่ไม่มีในตัวชี้วัดนักเรียนก็มีแนวโน้มจะไม่ได้รับ    ลัทธิบูชาผลงานจึงเป็นมายาที่ทำให้เกิดการหลงผิด หลงยึดสิ่งที่เป็นเครื่องมือ (means) คือตัวชี้วัดผลงาน   ว่าเป็นเป้าหมาย (end)     โดยที่เป้าหมายแท้จริงมีความซับซ้อน และมีส่วนที่เป็นนามธรรม   ตัวชี้วัดลดทอนลงเหลือเฉพาะเป้าหมายรูปธรรมที่วัดได้ง่าย    กิจการที่มีคุณค่าสูงส่งอย่างการศึกษา จึงถูกลัทธิบูชาผลงานลดทอนคุณค่าลงไป   ครูก็ถูกทำให้กลายเป็นเครื่องจักรผลิตผลงานตามตัวชี้วัด อย่างไร้จิตวิญญาณ   

ผมขอเสนอว่า ข้อวิเคราะห์ด้านลบในย่อหน้าบน น่าจะเป็นเครื่องเตือนสติครูและบุคลากรการศึกษาไทย     ให้ไม่หลงถูกครอบงำโดยลัทธิบูชาผลงาน    ครูต้องมีสติปัญญาในลักษณะ “เหมือนลิ้นงูอยู่ในปากงูโดยไม่ได้รับอันตรายจากเขี้ยวงูและพิษงู”    หากครูรู้เท่าทัน ก็จะสามารถดำรงความเป็นผู้ก่อการได้ แม้ในระบบนิเวศของลัทธิบูชาผลงาน   แต่ในภาพรวม ย่อมหนีไม่พ้นที่ลัทธิบูชาผลงานจะลดทอนความเป็นผู้ก่อการของครู   

ที่จริงหนังสือ Teacher Agency ยังสื่อสารความชั่วร้ายของลัทธิบูชาผลงานอีกมาก   แต่ผมคิดว่าที่ผมสรุปมาดังข้อความข้างต้นน่าจะเพียงพอแล้ว          

 

ลัทธิบูชาผลงานในสก็อตแลนด์

ลัทธิบูชาผลงานแพร่เข้าไปในสก็อตแลนด์พร้อมกันกับในอังกฤษ    โดยรัฐบาลมีนโยบายเลิกใช้การควบคุมปัจจัยนำเข้า ในปี 1997    หันไปควบคุมปัจจัยขาออกหรือผลลัพธ์แทน    โดยใช้นโยบายที่เรียกว่า Quality Improvement Initiative    ใช้กลไกของระบบรับผิดรับชอบภายนอก     ตามแนวลัทธิบูชาผลงานคือ  (๑) ประเมินโรงเรียนด้วยผลการสอบ ที่เรียกว่า summative evaluation  (๒) เน้นกลไกตรวจสอบภายนอก  และ (๓) กลไกตลาด การแข่งขัน    ทั้งหมดนั้น ใช้กลไกราชการเข้าไปควบคุมให้ปฏิบัติตาม   นำสู่การสร้างผลงานหลอกๆ และคดโกง       

เพื่อควบคุมปัจจัยขาออก   ปัจจัยที่ ๒ คือการวัดผลงาน    ในขณะที่ในอังกฤษ มีการจัดทำตารางจัดระดับ (league table) โรงเรียน อย่างเป็นทางการ    สก็อตแลนด์ไม่มี  แต่ก็มีภาคเอกชนจัดทำ และมีผลต่อพฤติกรรมของโรงเรียนอย่างมาก    และมีผลลดทอนความเป็นผู้ก่อการของครู    

การควบคุมปัจจัยขาออกปัจจัยที่ ๒ คือระบบตรวจสอบ (inspection)    มีการจัดทำดัชนีวัดความสำเร็จ (performance indicators)    และระบบประเมินตนเอง     รวมทั้งระบบตรวจสอบเพื่อพัฒนาคุณภาพ (quality improvement audit)    สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเปลี่ยนแนวทางการทำหน้าที่ จากหน้าที่สนับสนุน มาเป็นทำหน้าที่ตรวจสอบ   

ในสก็อตแลนด์การควบคุมปัจจัยขาออกปัจจัยที่ ๓  คือกลไกตลาด ไม่ค่อยชัด    เพราะมีกลไกควบคุมจากส่วนกลางอย่างเข้มงวด   ซึ่งก่อผลร้ายต่อการสนองความต้องการของนักเรียนจำนวนหนึ่ง   

ระบบการศึกษาในสก็อตแลนด์มีลักษณะพิเศษ ๓ ประการคือ  (๑) การปฏิบัติตามกฎระเบียบ   (๒) การควบคุมจากส่วนกลาง  และ (๓) การจัดการการเปลี่ยนแปลงแบบเส้นตรง (หมายความว่าไม่คำนึงถึงความซับซ้อนของการศึกษา)     มีการกำหนดตัวชี้วัดระดับคุณภาพ และโรงเรียนต้องรายงานข้อมูลหลักฐานแสดงคุณภาพของตน    นำไปสู่ความเสี่ยงของการสร้างข้อมูลหลอกๆ    ฟังดูคุ้นๆ นะครับ              

 

ลัทธิบูชาผลงานกับความเป็นผู้ก่อการของครู

อุดมการณ์ของการศึกษาและความเป็นครู มีความขัดแย้งกับลัทธิบูชาผลงานอย่างชัดเจน   ในอังกฤษและสก็อตแลนด์มีกระแสคัดค้าน หรือเตือนสติ ให้เห็นผลร้ายของลัทธิบูชาผลงานในระบบการศึกษา    น่าสนใจมากว่าวงการวิชาการด้านการศึกษาไทยไม่เคยศึกษาเรื่องนี้ในบริบทไทยเลย   

วิชาชีพครูเป็นวิชาชีพที่ต้องทำงานกับความซับซ้อน    หรือทำงานในสภาพที่มีความซับซ้อนสูง    ครูต้องทำงานไปใคร่ครวญสะท้อนคิดไป ซึ่งหมายความต้องตั้งคำถามต่อสภาพที่ตนเผชิญ    และต้องเข้าไปมีส่วนร่วมกับการสร้างการเปลี่ยนแปลงของระบบการศึกษา    ไปสู่การเรียนการสอนแบบสานเสวนา (dialogic pedagogies)    เรียนรู้เชิงรุก (active learning)   จัดการเรียนรู้เฉพาะคน (individualized learning)    และให้ผู้เรียนมีอิสระ หรือเป็นตัวของตัวเอง (student autonomy)    ลัทธิบูชาผลงานเป็นตัวปิดกั้นการแสดงบทบาทเหล่านี้    ทีมวิจัยในโครงการ Teacher Agency and Curriculum Change  จึงศึกษาเรื่องลัทธิบูชาผลงานใน ๓ โรงเรียนในโครงการวิจัย นำมาเสนอ     

ลัทธิผลงานในโรงเรียนประถม

ที่จริงโรงเรียนประถมในสก็อตแลนด์ได้ดำเนินการตามอุดมการณ์ของหลักสูตรใหม่ Curriculum for Excellence มาเป็นเวลานาน    เป็นที่พูดกันในสก็อตแลนด์ว่า “โรงเรียนประถมสอนเด็ก  โรงเรียนมัธยมสอนวิชา”     แต่เมื่อหลักสูตรใหม่มาถึงโรงเรียนประถมในเมือง    ครูทั้งสองคนในโครงการวิจัยส่ออาการวิตก ไม่มั่นใจตนเอง ว่าจะดำเนินการอย่างไร    เพราะจริงๆ แล้วหลักสูตรใหม่ให้อิสระให้ครูคิดหลักสูตรเอง และคิดวิธีประเมินเอง     

ครูทั้งสองคน รวมทั้งผู้บริหาร ยังคงยึดติดอยู่กับหลักสูตรเก่า ที่เน้นการประเมินตรวจสอบระดับผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียนอย่างเคร่งครัด   ในเมื่อหลักสูตรใหม่ไม่มีเกณฑ์ประเมินมาให้ชัดๆ ครูก็อึดอัด เพราะต้องคิดวิธีประเมินเอง     สะท้อนระดับความเป็นผู้ก่อการต่ำ    ที่สั่งสมมาจากอิทธิพลของลัทธิบูชาผลงานที่หลักสูตรเก่าบ่มเพาะไว้     

ที่จริงโรงเรียนแห่งนี้ มีชื่อเสียงว่าเป็นโรงเรียนคุณภาพสูง   แม้จะรับเด็กมาจากพื้นที่ที่พ่อแม่มีพื้นฐานทางเศรษฐกิจและสังคมต่ำ   และครูทั้งสองก็มีความมุ่งมั่นในอาชีพครู เพื่อมุ่งสร้างความเท่าเทียม ความเป็นธรรมในสังคม แก้ปัญหาความด้อยโอกาส และส่งเสริมให้เกิดการยกฐานะในสังคม   รวมทั้งครูทั้งสองมีความมุ่งมั่นที่จะทำงานเพื่อนักเรียนให้ดีที่สุด      

แต่ความเคยชินอยู่กับระบบนิเวศของการทำงานเพื่อสนองหน่วยเหนือ หรือแรงกดดันจากภายนอกโรงเรียน    และวัฒนธรรมเน้นผลงาน    ทำให้ครูไม่คุ้นเคยกับการทำงานแบบคิดริเริ่มสร้างสรรค์เอง    เมื่อหลักสูตรใหม่เปิดทางให้ ก็ทำไม่ถูกและกังวลใจ   นี่คือสภาพที่ลัทธิบูชาผลงานได้สร้างความอ่อนแอในมิติการเป็นผู้ก่อการไว้ให้แก่ครูที่เป็นครูดี   

เพราะผู้บริหารโรงเรียนเป็นห่วงเรื่องผลการเรียนของนักเรียน  จึงนำเครื่องมือ InCAS มาใช้  ยิ่งมีผลให้ครูต้องเสียเวลาไปกับการจัดการทดสอบ    และเป็นสภาพ “สอนเพื่อสอบ” เข้าไปอีก    ซึ่งไม่ตรงกับเป้าหมายของหลักสูตรใหม่   

อิทธิพลของลัทธิบูชาผลงาน ทำให้ฝ่ายบริหารกำกับการทำงานของครูด้วยตารางการทำงาน และการตรวจสอบเข้มงวด   แถมสำนักงานพื้นที่การศึกษาก็เข้ามาติดตามตรวจสอบ    ในลักษณะของการกำกับผลลัพธ์ (output regulation)    ทำให้บรรยากาศการทำงานอยู่ในสภาพที่มีความไว้วางใจต่ำต่อครู    ยิ่งลดทอนหรือปิดกั้นความเป็นผู้ก่อการของครู   

ลัทธิบูชาผลงานในโรงเรียนมัธยมสองแห่ง

ได้กล่าวแล้วว่าหลักสูตรใหม่ Curriculum for Excellence มีแนวโน้มจะสอดคล้องกับแนวปฏิบัติของโรงเรียนระดับประถมศึกษา    แต่โรงเรียนประถมในโครงการวิจัย Teacher Agency and Curriculum Change กลับรวนเรจากการเข้ามาของหลักสูตรใหม่    เพราะครูโดนลัทธิบูชาผลงานกระทำ จนความเป็นผู้ก่อการมีระดับต่ำ    จึงน่าจะคาดกันว่า โรงเรียนมัธยมทั้งสองแห่งน่าจะยิ่งซวดเซหนักกว่า     แต่ผลการวิจัยบอกว่า มีอยู่โรงเรียนหนึ่งที่เป็นข้อยกเว้น    เพราะครูในโรงเรียนแห่งนี้มีปฏิสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นต่อกัน    ทำให้ครูมีระดับความเป็นผู้ก่อการสูงมาก  และร่วมกันรับมือหลักสูตรใหม่ได้โดยง่าย   

หมายความว่า ในโรงเรียนแห่งนี้ ปฏิสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นต่อกันระหว่างครู และระหว่างครูกับผู้บริหาร ทำให้อิทธิพลของปฏิสัมพันธ์ และความไว้วางใจซึ่งกันและกัน เอาชนะอิทธิพลของลัทธิผลงานได้    ในเรื่องการส่งผลต่อการเป็นผู้ก่อการของครู   

สภาพของโรงเรียนชั้นมัธยมในสก็อตแลนด์ เน้นการสอนวิชาสำหรับนำไปสอบให้ได้คะแนนสูง ช่วยให้สถิติผลงานของโรงเรียนดี   สาระในหนังสือ Teacher Agency สะท้อนภาพการศึกษาของสก็อตแลนด์อย่างหมดเปลือก    เขาบอกว่า ในระดับมัธยมศึกษา พฤติกรรมของชั้นสูงกว่าเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของชั้นต่ำกว่า (principle of downward incrementalism)    คือการเรียนการสอนในชั้น ม. ต้น (ม. ๑ และ ๒) ถูกกำหนดโดยความต้องการของชั้น ม. ปลาย   เพราะเด็กต้องการเอาผลการเรียนไปเลือกสายเรียนต่อในชั้น ม. ปลาย    และโรงเรียนมักให้นักเรียนเลือกสายตั้งแต่จบชั้น ม. ๑  ไม่ใช่เลือกตอนจบชั้น ม. ๒   ด้วยเหตุผลว่า ช่วยให้เด็กตั้งใจเรียนและผลการเรียนดีขึ้น   จะเห็นว่าลัทธิบูชาผลงานมีอิทธิพลสูงมาก 

ครูเคทแห่งโรงเรียนเชิงเขา กล่าววาทกรรมตอนหนึ่งว่า โรงเรียนไม่น่าจะส่งนักเรียนที่ไม่พร้อมเข้าสอบ   เพราะจะทำให้สถิติผลงานของโรงเรียนดูไม่ดี    สะท้อนวิธีคิดตามวัฒนธรรมบูชาผลงาน   และผลประโยชน์ของโรงเรียนมาก่อนผลประโยชน์ของนักเรียน   

เรื่องที่ก่อความอึดอัดแก่ครูมากคือการตรวจสอบ (inspection)    ซึ่งในสก็อตแลนด์ การตรวจสอบโรงเรียนมี ๓ ระดับ  คือระดับชาติ  ระดับพื้นที่การศึกษา  และระดับภายในโรงเรียน    ระบบตรวจสอบภายในโรงเรียนเรียกว่า observation  และทำโดยฝ่ายบริหาร   ในโรงเรียนมัธยมมีการตรวจสอบระดับสาขาวิชา ทำโดยหัวหน้าสาขาวิชา     

ครูของโรงเรียนชายทะเลสาบทั้งสองคนกล่าวตรงกันว่า ครูไม่ควรต้องเตรียมตัวรับการตรวจสอบ   คือผู้ตรวจสอบอยากมาตรวจเมื่อไรก็มาได้เลย เพราะห้องเรียนเป็นสถานที่เปิดอยู่แล้ว    เป็นท่าทีที่น่าชื่นชมยิ่ง    สะท้อนการเป็นครูที่ทำงานจริง    จึงไม่คิดเอาผักชีโรยหน้ารับการตรวจสอบ    แต่ครูซูซานแห่งโรงเรียนชายทะเลสาบบอกว่าการตรวจสอบของพื้นที่การศึกษาได้เปลี่ยนไป   จากเดิมเป็นการตรวจสอบเพื่อสนับสนุนส่งเสริม   กลายเป็นตรวจสอบเพื่อควบคุม    ไม่มีการให้คำแนะนำป้อนกลับเพื่อการพัฒนา    ที่ร้ายคือผู้ตรวจการณ์เหล่านี้ไม่รู้จริง  ไม่ได้ทำงานสอนมานานหลายปีแล้ว   

หลักสูตรใหม่ Curriculum for Excellence เน้นให้ความเป็นอิสระแก่ครู จึงขัดแย้งกับวัฒนธรรมบูชาผลงาน (performativity) อย่างจัง   ทำให้ครูบอกว่าตนชอบการให้อิสระ แต่ก็กลัวที่จะลงมือดำเนินการเพราะห่วงเรื่องการตรวจสอบที่ยังคงเดิม   

 

สรุป

เรื่องราวทั้งหมดนี้สะท้อนนโยบายที่ขัดกันระหว่างหลักสูตร Curriculum for Excellence  กับลัทธิบูชาผลงานและการตรวจสอบ    ก่อสภาพยากลำบากแก่ครู    คือครูต้องทำงานอยู่ภายใต้สองนโยบายที่ขัดกันเอง   และเนื่องจากครูคุ้นกับสภาพการทำงานแบบควบคุมสั่งการจากส่วนกลางภายใต้ลัทธิผลงานมานาน ๒๐ ปี   จึงบั่นทอนความเป็นผู้ก่อการลงไป   ทำให้ไม่กล้าดำเนินการตามแนวของหลักสูตรใหม่    สภาพนี้ไม่รุนแรงในโรงเรียนริมทะเลสาบ   เพราะความสัมพันธ์แนวราบระหว่างผู้บริหารกับครู ก่อความไว้วางใจระหว่างกันในกลุ่มครูและผู้บริหาร    ทำให้ครูในโรงเรียนนี้แสดงพฤติกรรมและวาทกรรมของผู้ก่อการออกมา        

วิจารณ์ พานิช

๒ ก.ย. ๖๔

       

 

หมายเลขบันทึก: 693014เขียนเมื่อ 27 ตุลาคม 2021 19:26 น. ()แก้ไขเมื่อ 27 ตุลาคม 2021 19:26 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท