โควิด ๑๙ มาสอนเราหลากหลายเรื่อง ผมขอร่วมขบวนการ “ไม่ปล่อยให้โอกาสเรียนรู้หลุดลอยไป” โดยในบันทึกนี้ขอเสนอข้อเรียนรู้ว่า “ความจริง” หลากหลายเรื่อง มีลักษณะชั่วคราว ไม่ถาวร และในบางกรณี เป็นมายา
ช่วงต้นปี ๒๕๖๔ ตอนเริ่มการะบาดระลอกสาม และก่อนหน้านั้น เราตั้งความหวังกับวัคซีน ว่าจะมาปราบโควิดให้หมดไป เราคิดว่าคนที่ฉีดวัคซีนแล้วครบ ๒ เข็ม จะไม่ติดเชื้อ และจะไม่เป็นคนแพร่เชื้อ นั่นคือความรู้เก่า
บัดนี้ เรารู้แล้ว ว่าสำหรับโควิด ๑๙ วัคซีนไม่เก่งถึงขนาดนั้น แม้ฉีดครบแล้ว ก็ยังติดเชื้อได้ และแพร่เชื้อได้ เพียงแต่อาการไม่รุนแรง และป้องกันการเสียชีวิตได้มาก
และเมื่อเกิดสายพันธุ์เดลต้า กลายเป็นสายพันธุ์หลัก เพราะแพร่เชื้อเก่ง แถมยังก่ออาการรุนแรง เราก็รู้ว่า ความรู้ต่างๆ เกี่ยวกับโควิดจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เพราะ (๑) เชื้อเปลี่ยน (๒) เรารู้มากขึ้นจากการวิจัย
จะเห็นว่า เวลานี้ผู้เชี่ยวชาญโรคและวัคซีนโควิดจะบอกทุกครั้งว่า ความเห็นที่ให้เป็นไปตามความรู้ในขณะนั้น ต่อไปข้างหน้ามีความรู้เพิ่มขึ้น ความเห็นที่ให้ไปอาจไม่จริง
เรื่องแบบนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นกับโควิดเท่านั้น ยังเกี่ยวข้องกับประเด็นที่มีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงทุกเรื่อง เช่นสาเหตุของโรค วิธีป้องกันโรค วิธีบำบัดรักษา การจัดการศึกษา เรื่องสินค้าชนิดต่างๆ เป็นต้น จะมีข้อมูล และความรู้เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ ในตำรา เอกสาร โลกดิจิตัล และผู้เชี่ยวชาญ ที่มีหลายชุด เป็นความจริงต่างยุคสมัย คนเราจึงต้องมีทักษะในการตรวจสอบ “ความจริง” ว่าควรเชื่อชุดใด ชุดใดเหมาะสมต่อสถานการณ์ของตน
ยิ่งซับซ้อนขึ้นไปอีก ที่ “ความจริง” ชุดเดียวกัน ที่ตีความโดยนาย ก กับที่ตีความโดยนาย ข แตกต่างกันแบบตรงกันข้าม เป็นการแปรเปลี่ยนจากการตีความที่ต่างกัน ดังนั้น “ความจริง” ชุดเดียวกัน อาจกลายเป็นร้อยชุดที่ต่างกันในความเข้าใจหรือความเชื่อของผู้คน
ยังมีที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น ที่โลกยุคข้อมูลข่าวสารระเบิด เปิดโอกาสให้นักสื่อสารประชาสัมพันธ์เพื่อหาผลประโยชน์ เอาไป “ดราม่า” ให้คนแตกตื่นหลงเชื่อ เพื่อสร้างโอกาสแสวงประโยชน์ของนักต้มตุ๋นเหล่านั้น
“ความจริง” ในยุคนี้ จึงไม่ได้มีไว้สำหรับเชื่อ แต่มีไว้สำหรับตั้งคำถามตรวจสอบ เพื่อตัวเราจะไม่ตกเป็นเหยื่อ คนในยุคนี้ จึงต้องพัฒนาทักษะตรวจสอบความจริง
วิจารณ์ พานิช
๒๗ ก.ย. ๖๔
There are a lot of views on this “ความจริง” (truth? reality? perception? –all from ‘people’ who receive/perceive it). We have ‘data’ (ranging from ‘fake’, guesswork, measure –by any or certain meter–, calculated/projected, accepted… to proven ‘fact’). We have ‘frames’ (theories, beliefs, laws, cultures/traditions, religions, statistics, histories,…) to fit the data into the frame. And we have ‘views’ on these renditions. These views will be discussed/contested with “narratives” (arguments ‘for’ and ‘against’ - as in the court of laws) and judged (by judges, juries, leaders, sages/gurus, bhikkhus/imams/priest/rabbi, followers,… - with different backgrounds, statuses, circumstances, positions, emotional/mental/.. states,..) –all ‘facts’ are results of previous ‘facts’. We have heard about “Kalama Sutta” (which cuts the knots by ‘self-considerations’, self-satisfaction, and self-confidence) telling people how to act on facts they know.
A new conceptual frame (I think) would be much like ‘a quantum theory – on facts’. The truth has infinite possibilities (or can assume infinitely many values) until it (the truth) is ‘measured’ (fixed/decided/changed/.. -becomes ‘history) ;-)
We are living in one of ‘real world’ webs of relations –as a Buddhist would say “webs of Kamma”. What we do will impact on the confusion we perceive. ;-) ;-)
ผมชอบประโยคนี้ครับ
“ความจริง” ในยุคนี้ จึงไม่ได้มีไว้สำหรับเชื่อ แต่มีไว้สำหรับตั้งคำถามตรวจสอบ เพื่อตัวเราจะไม่ตกเป็นเหยื่อ คนในยุคนี้ จึงต้องพัฒนาทักษะตรวจสอบความจริง
ขอบคุณครับอาจารย์