หนังสือ อดีต – ปัจจุบันของเศรษฐกิจวัดไทย จากกัลปนาและศรัทธาสู่ไสยพาณิชย์ เขียนโดย ศุภการ ศิริไพศาล เป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัยชุด ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมของไทยในปริทรรศประวัติศาสตร์ ที่มี ดร. วินัย พงศ์ศรีเพียร เป็นหัวหน้าโครงการ เป็นเอกสารลำดับที่ ๓๓
อ่านแล้วก็เห็นว่าวัดไทยอยู่กับผลประโยชน์มาแต่โบราณ โดยที่เรื่องราวที่อยู่ในประวัติศาสตร์ก็ย่อมผูกโยงกับพระเจ้าแผ่นดิน ที่เป็นผู้กำหนดระบบต่างๆ วัดได้รับผลประโยชน์ทั้งด้านกำลังคน การได้รับกัลปนาที่ดินและทรัพย์สิน และได้รับเงินถวาย วัดที่ควรเป็นที่สงบวิเวกจึงกลายเป็นสถานที่วุ่นวายเรื่องผลประโยชน์มาแต่โบราณ เพราะพระโดนฆราวาสเกิเลสไปประเคณ ไม่ต่างจากในปัจจุบัน
ก่อนการเลิกทาสสมัย ร. ๕ กำลังคนของวัดมี ๓ ประเภท คือ ข้าพระ โยมสงฆ์ และ เลกวัด (หน้า ๒๒) นี่คือแรงงานของวัด วัดจึงเป็นแหล่งที่มีกำลัง อาจเป็นแหล่งส้องสุมกำลังที่เป็นอันตรายต่ออำนาจปกครองบ้านเมืองได้ (ตัวอย่างพระตั้งตัวเป็นเจ้า เช่น เจ้าพระฝาง สมัยกรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่ ๒) จึงต้องมีระบบกำกับ เรียกว่า เจ้ากรมวัด ปลัดกรมวัด ในยุคต้นรัตนโกสินทร์
เมื่อ ร. ๕ ดำเนินการเลิกทาส วัดก็ถูกกระทบ หนังสือระบุการแก้ปัญหาหลากหลายด้าน ยิ่งเมื่อ ร. ๕ ปฏิรูปการปกครองบ้านเมือง เงินถวายวัดลดน้อยลง วัดต้องหารายได้เข้าวัดก็มีเรื่องราวในหนังสือที่น่าอ่านมาก เพราะเป็นจุดที่วัดเริ่มทำธุรกิจ (หน้า ๔๖ - ๕๔) และเกิดมรรคนายกในปี ๒๕๔๑ (หน้า ๖๑)
ตอนตั้งกระทรวงธรรมการในปี ๒๔๓๕ หน้าที่หลักน่าจะเป็นเรื่องการควบคุมเศรษฐกิจวัดนี่แหละ เรื่องการศึกษาน่าจะเป็นหน้าที่รอง มีรายละเอียดวิธีควบคุมวัดน่าสนใจมาก
เพราะ ร. ๕ มีราโชบายลดเงินอุดหนุนวัด ทำให้วัดต้องดิ้นรนหารายได้ กลายเป็นโอกาสเรียนรู้วิธีหาผลประโยชน์จากทรัพย์สินของวัดด้วยวิธีต่างๆ มากมาย ทั้งการให้เช่าที่วัด การหารายได้จากงานเทศกาล การเรี่ยราย การหารายได้จากการฌาปนกิจศพ การออกเงินกู้หรือฝากธนาคารกินดอกเบี้ย การชักชวนให้คนบริจาคที่ดินถวายวัด เป็นต้น หนังสือมีรายการทรัพย์สินและรายได้ของวัดดังๆ อ่านแล้วรู้สึกว่าพระผู้ใหญ่อาจอยู่กับสิ่งยั่วกิเลสมากกว่าฆราวาสแก่ๆ อย่างผม
บทที่ ๔ การจัดการเศรษฐกิจของวัดไทยปัจจุบัน เล่าเรื่องพุทธ-ไสยพาณิชย์ของวัดดัง คือ วัดโสธรวรารามวรวิหาร และเอ่ยชื่อวัดดังๆ ที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือพระเกจิอาจารย์ชื่ดัง และยกตัวอย่างการจัดการวัดตากฟ้า พระอารามหลวง (นครสวรรค์) ที่มีความรัดกุมและทำประโยชน์ต่อสังคมน่าเลื่อมใส
เมื่อมีวัดที่มีรายได้มากมายฟู่ฟ่า การทุจริตเงินวัดย่อมเกิดตามมา ดังกรณีสมัย ร. ๕ พ.ศ. ๒๔๔๔ ทรงเห็นว่ารายได้วัดมีมากเกินกำลังจัดการขงกระทรวงธรรมการ จึงทรงมีพระบัญชาให้โอนการจัดการเงินผลประโยชน์ของวัดไปไว้ที่กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ (หน้า ๗๖ - ๗๗)
ผมขอเพิ่มเติมว่า ในปี ๒๕๖๑ เกิดกรณีอื้อฉาวทุจริต ที่เจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กับพระผู้ใหญ่ร่วมกันโกงเงินงบประมาณอุหนุนวัด (๒)(๓) ในที่สุดมีผู้เกี่ยวข้องถูกศาลตัดสินจำคุก และชดใช้เงินจำนวนมาก (๔) พระชั้นพระราชาคณะผู้ใหญ่ถูกจับสึก (๕)
ขณะนี้ มูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล นำโดย ดร. บัณฑิต นิจถาวร กำลังดำเนินการวิจัยเพื่อพัฒนาระบบการบริหารจัดการวัด เพื่อให้มีการจัดการที่ดี และมีความโปร่งใสน่าเชื่อถือ ธำรงศรัทธาของประชาชน (๖) ซึ่งจะเป็นคุณประโยชน์ต่อวงการพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง
ขอขอบคุณ ดร. วินัย พงศ์ศรีเพียร เมธีวิจัยอาวุโส สกว. ที่กรุณามอบหนังสือเล่มนี้
วิจารณ์ พานิช
๗ มิ.ย. ๖๔
ไม่มีความเห็น