1. ผักผลไม้ เป็นยาอายุวัฒนะ
มีรายงานผลการวิจัยเมื่อเดือนมีนาคมปีนี้เอง (Fruit and Vegetable Intake and Mortality. Results From 2 Prospective Cohort Studies of US Men and Women and a Meta-Analysis of 26 Cohort Studies. Circulation 2021;143: 1642-1654) จากการติดตามประชากรที่เป็นบุคคลกรทางการแพทย์สองกลุ่มใหญ่ (ที่ไม่มีโรคหัวใจและหลอดเลือด มะเร็ง และเบาหวาน) เป็นพยาบาลหญิงจำนวน 66,719 คน เป็นเวลา 30 ปี (1984-2014) และบุคลากรทางการแพทย์ชายจำนวน 42,016 คนเป็นเวลา 28 ปี (1986-2014) โดยให้ตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับอาหาร เมื่อเริ่มต้นโครงการ และถามซ้ำทุก 2-4 ปี เมื่อสิ้นสุดการติดตาม (2014) ผู้เข้าร่วมเสียชีวิตไปแล้ว 33,893 คน
ผลการวิเคราะห์เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างการกินผักผลไม้กับการเสียชีวิต พบว่าปริมาณผักผลไม้ที่กินมีความสัมพันธ์ กับอัตราการเสียชีวิตโดยรวม และมีความสัมพันธ์กับอัตราการเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคระบบทางเดินหายใจ พบด้วยว่าการกินผักผลไม้วันละ 5 หน่วยบริโภค (Serving) หรือผลไม้ 2 หน่วยบริโภคและผัก 3 หน่วยบริโภค (ซึ่งต่างก็เท่ากับผักผลไม้รวมกันวันละ 400 กรัม) สัมพันธ์กับอัตราการเสียชีวิตที่ต่ำสุด และการกินผักผลไม้มากกว่านี้ก็ไม่ทำให้อัตราการเสียชีวิตลดลงอีก
เมื่อนำผลการศึกษาข้างต้นไปรวมกับผลการศึกษาก่อนหน้านี้อีก 26 รายการ เพื่อทำ Meta-Analysis ซึ่งรวมเป็น ประชากรจำนวน 1,892,885 คนและมีผู้เสียชีวิตรวม 145,015 คน ก็ได้ผลเหมือนเดิม และผักผลไม้เกือบทุกประเภทสัมพันธ์กับ อัตราการเสียชีวิตที่ลดลง ยกเว้นผักประเภทที่มีแป้งมาก เช่น ถั่ว ข้าวโพด และมันฝรั่ง และที่น่าสนใจเป็นพิเศษคือ น้ำผลไม้ไม่มีผลต่ออัตราการเสียชีวิต
2. ปัญหาคือคนไทยกินผักผลไม้ไม่มากพอ ย่อมอายุสั้นกว่าที่ควร
ถ้ากูเกิ้ลด้วยคำว่า “ข่าวสด สสส คนไทยกินผักน้อย” จะพบว่า ผลการสำรวจเมื่อพ.ศ. 2562 คนไทยกลุ่มอายุ 15 ปีขึ้นไป กินผักผลไม้ได้ตามเกณฑ์วันละ 400 กรัมเพียงร้อยละ 35 และกลุ่มอายุ 6 - 14 ปี กินผักผลไม้ได้ตามเกณฑ์วันละ 250 กรัม เพียงร้อยละ 26 แสดงว่าคนไทยส่วนมากยังกินผักผลไม้น้อยกว่าที่ควร อาจจะเป็นเพราะไม่คิดว่าสำคัญ (จึงนำผลการวิจัยข้างต้น มาเสนอเพื่อให้เห็นความสำคัญถึงผลที่มีต่อสุขภาพขนาดที่ทำให้อายุสั้นลงอย่างชัดเจน) ไม่ได้ให้ความสนใจเพียงพอ หรือคิดว่าที่กินอยู่มากพออยู่แล้ว
3. การกินผักผลไม้ให้พอเพียง ที่จะเป็นยาอายุวัฒนะ
ถ้ายังไม่ได้ลงมือทดลองวัดปริมาณผักผลไม้ที่เรากินในแต่ละวันก็จะยังไม่รู้ตัวว่าเรากินผักผลไม้น้อยกว่าที่จะให้มีผลเป็นยาอายุวัฒนะ ในทางปฏิบัติการวัดปริมาณผักผลไม้มีปัญหา เพราะกำหนดเกณฑ์ไว้เป็นน้ำหนัก ( 400 กรัมต่อวัน) แต่ในการให้คำแนะนำเรื่องอาหารเป็นหน่วยบริโภคเป็นเชิงปริมาตร ย่อมทำให้สับสน จึงต้องหาวิธีเชื่อมโยงที่ง่ายต่อการปฏิบัติให้คนกินสามารถวัดได้เองในขณะที่กินอาหาร และคนเตรียมอาหารก็สามารถคำนวณได้ว่า แต่ละมื้อแต่ละวันต้องเตรียมผักผลไม้ไว้ในปริมาณเท่าไร
ธรรมเนียมฝรั่งตักอาหารใส่จานให้พร้อมก่อนกินจึงคุ้นเคยกับ “หน่วยบริโภค” (คือปริมาณที่ควรจะตัก) เมื่อกำหนดให้บริโภคผักผลไม้วันละ 400 กรัม และแบ่งเป็น 5 หน่วยบริโภค 1 หน่วยบริโภคของผักผลไม้จึงเท่ากัน 400 /5 = 80 กรัม ถ้าทำตามคำแนะนำอเมริกัน ผัก 3 หน่วยบริโภคและผลไม้ 2 หน่วยบริโภคก็ก็ยิ่งทำให้ง่ายขึ้น สามารถกระจายผักเป็นวันละ 3 มื้อ มื้อละ 1 หน่วยบริโภค ส่วนผลไม้ก็อาจเป็นวันละ 2 มื้อ มื้อละ 1 หน่วยบริโภค เป็นต้น (ดังตัวอย่างในภาพประกอบที่จะตามมา)
เพื่อให้สะดวกกับการติดตามปริมาณผักผลไม้ที่กิน ผมเสนอให้วัดปริมาตรด้วยช้อนกินข้าว (ขนาด 15 ซีซี) โดยตักให้พูนช้อน (ประมาณ 30 ซีซี) จึงขอเรียกว่า “ช้อนโต๊ะพูน” จะทำให้ทุกคนสามารถติดตามปริมาณได้ในขณะที่มีผักผลไม้วางอยู่ ข้้างหน้า โดยใช้หลักการ ดังนี้
1) ผักสด เช่น ถั่วฝักยาว 100 กรัม เมื่อหั่นเป็นท่อนตวงได้ 12 ช้อนโต๊ะพูน หลังจากต้มเป็นแกงป่าแล้ว ตักถั่วฝักยาวมาหมดหม้อได้ 6 ช้อนโต๊ะพูน นั่นคือผักสดเมื่อทำเป็นผักสุกแล้วขนาดลดลงครึ่งหนึ่งเหมือนที่เขียนไว้ในตำรา ดังนั้นในการวัดเป็นปริมาตรเทียบกลับเป็นน้ำหนักจึงต้องเพิ่มให้เท่าตัว (ถือว่าเป็นผัก 12 ช้อนโต๊ะพูน)
หมายเหตุ – สำหรับกลุ่มอายุ 6-14 ปี ลดเหลือ 6 ช้อนโต๊ะพูน (คือลดจากวันละ 80 กรัมเป็นวันละเหลือ 50 กรัม)
2) สำหรับผัก 1 หน่วยบริโภค ในแต่ละมื้อ อาจพลิกแพลงรูปแบบได้ดังนี้
2.1 ผักสด 10 ช้อนโต๊ะพูน เช่น สลัดผัก (ลองตักวัดดูเมื่อกินสลัด) - กลุ่มอายุ 6 – 14 ปีลดเหลือ 6 ช้อนโต๊ะพูน
2.2 ผักสุก 5 ช้อนโต๊ะพูน เช่น ผักต้มหรือผัด (ลองวัดปริมาณผักในก๋วยเตี๋ยวราดหน้า) - กลุ่มอายุ 6 – 14 ปีลดเหลือ 6 ช้อนโต๊ะพูน
2.3 ผักสด 4 ช้อนโต๊ะพูนกับผักสุก 3 ช้อนโต๊ะพูน หรือ
2.4 ผักสด 6 ช้อนโต๊ะพูนกับผักสุก 2 ช้อนโต๊ะพูน เช่น ผักจิ้มน้ำพริก เป็นต้น - กลุ่มอายุ 6 – 14 ปีลดเหลือผักสด 2 ช้อนโต๊ะพูน และผักสุก 2 ช้อนโต๊ะพูน
3) สำหรับผลไม้
3.1 ผลไม้บางอย่างขนาดพอเหมาะเท่ากับ 1 หน่วยบริโภคพอดี (10 ช้อนโต๊ะพูน) เช่น ส้มเขียวหวาน กล้วยหอม เป็นต้น - กลุ่มอายุ 6 – 14 ปีลดเหลือ 6 ช้อนโต๊ะพูน
3.2 ผลไม้ขนาดเล็ก เช่น ลองกอง เหงาะ ลิ้นจี่ 5 ผลเท่ากับ 1 หน่วย - กลุ่มอายุ 6 – 14 ปีลดเหลือ 3 ผล
3.3 ผลไม้ขนาดใหญ่ เช่น มะม่วง มะละกอ สัปรส ใช้วัดให้ได้ 10 ช้อนโต๊ะพูนเช่นเดียวกับผัก (ถ้าหั่นเป็นชิ้นขนาดประมาณ 1 ช้อนโต๊ะพูนก็จะสะดวกต่อการนับ และขนาดพอดีคำด้วย) - กลุ่มอายุ 6 – 14 ปีลดเหลือ 6 ช้อนโต๊ะพูน
เมื่อเรารู้วิธีวัดปริมาณผักผลไม้โดยดูจากปริมาตร เราก็สามารถประเมินตนเองได้ว่า จริงๆแล้วในหนึ่งวันเรากินผักผลไม้ มากน้อยเพียงใด ใกล้เคียงหรือห่างใกลวันละ 400 กรัม มื้อไหนน้อยไปก็ชดเชยในมื้อต่อไป (ผมใช้เวลาสามวัน เต็มๆกว่าจะเพิ่มได้ถึง 400 กรัมต่อวัน)
อำนาจ ศรีรัตนบัลล์
14 กรกฎาคม 2564
ไม่มีความเห็น