บทความเรื่อง Disrupting the Impacts of Implicit Bias ในเว็บไซต์ของ US National Academies of Science (๑) เตือนสติให้เราตระหนักเรื่องอคติโดยนัย หรือโดยไม่รู้ตัว ซึ่งพบได้ในทุกเรื่อง รวมทั้งในห้องเรียน โดยที่รายงานวิจัยนี้ทำในสหรัฐอเมริกา ประเทศที่มีปัญหาการเหยียดผิวรุนแรง
บทความเล่าเรื่องผลงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด วิจัยพฤติกรรมของครูในโรงเรียน ที่พบว่าหากนักเรียนผิวดำประพฤติผิดเรื่องหนึ่ง ต่อมาอีกสองสามวันนักเรียนผิวดำอีกคนหนึ่งทำผิดแบบเดียวกัน นักเรียนคนนี้จะถูกครูดุหรือลงโทษเหมือนกับทำผิดมาแล้วสองครั้ง สภาพเช่นนี้ไม่เกิดต่อนักเรียนผิวขาว นักเรียนผิวดำถูกครูกระทำต่อในลักษณะกลุ่ม หรือเหมารวม แต่นักเรียนผิวขาวได้รับการปฏิบัติต่อในฐานะปัจเจกบุคคล นักวิจัยเจ้าของผลงานชื่อ Jennifer Eberhardt
สมัยผมเป็นเด็กนักเรียนชั้น ม. ๑ อายุ ๑๐ ขวบ (สมัยนั้นเรียนจบ ป. ๔ ก็เรียนต่อ ม. ๑) ผมเคยถูกครูประจำชั้นปรามาสว่า “เด็กบ้านนอกก็ไม่มีกิริยามารยาทอย่างนี้” ในเมืองไทยคนชั้นล่างก็ถูกเหมารวมเหมือนกันนะครับ
เขาอธิบายว่า อคติฝังลึกเรื่องผิวสี หรือฐานะในสังคม หรือเรื่องอื่นๆ นำไปสู่ความไม่เท่าเทียมกันในห้องเรียน ซึ่งในอเมริกาคงจะรุนแรงมาก และประสบการณ์ชีวิตผมในฐานะเด็กบ้านนอก ก็ได้รับการปฏิบัติต่อเช่นนั้นจนตอนหลังได้ความสามารถในการเรียนช่วยกู้ฐานะ แต่เพื่อนผมที่บ้านนอกกว่าและยากจนกว่าโดนแรงกว่ามาก
บทความเล่าอคติในห้องเรียนประเด็นอื่นอีก และเล่าลามไปถึงผู้ป่วยโควิด ๑๙ ว่าผู้ป่วยที่เป็นคนดำจะได้ยาระงับความปวดน้อยกว่าคนขาว
ยังมีเรื่องราวของคติต่อคนดำ หรือคนผิวสีอีกมากมายในบทความ และเขาบอกว่าอคตินี้แต่ละคนรับมาเอง ไม่มีใครสอน (bias is caught, not taught) ผมตีความว่า เป็นเรื่องการกล่อมเกลาทางสังคม ซึ่งก็เป็นแบบเดียวกันกับที่ผมได้รับความขยัน ความซื่อสัตย์ และเห็นแก่ผู้อื่น มาจากพ่อแม่ โดยที่พ่อแม่ไม่ได้อบรมสั่งสอน
การขจัดอคติ และพฤติกรรมที่เกิดจากอคติฝังลึก จะช่วยสร้างสังคมแห่งความเท่าเทียม สร้างความรู้สึกไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน (mutual trust) ที่จะปูพื้นฐานสู่สังคมสันติสุข
วิจารณ์ พานิช
๒๗ มิ.ย. ๖๔
ไม่มีความเห็น