วันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๖๔ มีการประชุมหารือ ร่างข้อเสนอโครงการโรงเรียนพัฒนาตนเอง ปี 2564 ที่ผมคิดว่าต้องปรับให้เป็นการสนับสนุนแบบแยกกลุ่มโรงเรียนตามความก้าวหน้าเอาจริงเอาจัง เพื่อหนุนให้ “พัฒนาตนเอง” ได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว
โดยที่โรงเรียนในโครงการนี้รุ่นแรกดำเนินการมาแล้ว ๑ ปีครึ่ง เห็นชัดเจนแล้วว่าโรงเรียนที่มีความก้าวหน้าสูงมีที่ใดบ้าง จุดแข็งของแต่ละโรงเรียนกลุ่มนี้คืออะไร โรงเรียนกลุ่มนี้ควรได้รับการสนับสนุนพิเศษ แตกต่างออกไป เพื่อให้พัฒนาตนเองได้ดียิ่งขึ้น สำหรับเป็นต้นแบบให้แก่โรงเรียนอื่นๆ และสำหรับเป็นที่ศึกษา (วิจัย) ผลกระทบที่นักเรียนและครูได้รับ จากการดำเนินการโรงเรียนพัฒนาตนเอง
คำถามคือ การสนับสนุนพิเศษคืออะไรบ้าง ที่ผมนึกออกประการแรกคือ การจัดเครือข่ายเรียนรู้ผู้บริหารโรงเรียนพัฒนาตนเอง กับเครือข่ายครูแกนนำพัฒนาผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียน ประการที่สามคือ หาวิธีให้โรงเรียนเหล่านี้ได้รับการยอมรับจากต้นสังกัด ให้ได้ทำหน้าที่ “ผู้นำการเปลี่ยนแปลง” (change agent) ในระบบการศึกษา
หลักการสำคัญคือ กสศ. ต้องการเป็น change catalyst ต่อการลดปัญหาความไม่เสมอภาคทางการศึกษา และการยกระดับคุณภาพการศึกษาไทย ไม่ใช่ผู้ดำเนินการเพื่อเป้าหมายดังกล่าว เพราะการแก้ปัญหาทั้งสองนั้น ต้องแก้ที่ระบบใหญ่ กสศ. ได้รับงบประมาณปีละราวๆ ๕ พันล้านบาท คิดเป็นราวๆ ร้อยละ ๐.๖ ของค่าใช่จ่ายด้านการศึกษาของประเทศทั้งหมดซึ่งมีราวๆ ๙ แสนล้านบาท เท่านั้น
เพื่อทำหน้าที่ systems change catalyst กสศ. ต้องใช้งานพัฒนาต้นแบบ (โครงการโรงเรียนพัฒนาตนเองเป็นโครงการพัฒนาต้นแบบ) ในการทำงานวิจัยสร้าง evidence ว่าต้นแบบดีจริง และมีปัจจัยสำคัญอะไรบ้างที่ทำให้ได้ผลจริง
ดังนั้นเป้าหมายของ กสศ. ต่อโครงการโรงเรียนพัฒนาตนเองจึงมี ๒ ชั้น คือโรงเรียนในโครงการ ๗๒๗ โรงเรียนพัฒนาตนเองเป็น กับมีข้อมูลหลักฐานสำหรับนำไปทำกิจกรรมสื่อสารสาธารณะ เพื่อกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ เพื่อพัฒนาโรงเรียนขนาดกลาง ๘ พันโรงเรียน และพัฒนาโรงเรียนทั้งหมด ๓ หมื่นโรงเรียน
วิจารณ์ พานิช
๗ พ.ค. ๖๔
ไม่มีความเห็น