มหาวิทยาลัยและนักศึกษายุควิกฤตโควิด
และต้องไม่แค่ hybrid ระหว่างการเรียน ออนไลน์ กับ ออนไซต์ เท่านั้น ต้องสร้างความเป็นชุมชนในหมู่นิสิตนักศึกษาด้วย
ต้องไม่ลืมว่า คุณค่าที่มหาวิทยาลัยให้แก่ศิษย์ (ศิษย์นะครับ ไม่ใช่ลูกค้า) ต้องไม่ใช่แค่ความรู้เท่านั้น ต้องได้ครบ ASKR (Attitude, Skills, Knowledge) และที่สำคัญยิ่งคือ R – Relationship คือปฏิสัมพันธ์ที่ซับซ้อน มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ที่ต้องการปฏิสัมพันธ์เพื่อการเรียนรู้และพัฒนาเชิงสังคม ยกระดับ socio-emotional skills ขึ้นไปเรื่อยๆ เป็นพื้นฐานต่อทั้งความสำเร็จ และความสุขในชีวิต รวมทั้งเป็นพื้นฐานในการมีชีวิตที่มีทั้ง give and take หาก give มากกว่า take เพียงไร ก็เป็นชีวิตที่ดีเพียงนั้น
ตกลงผมไม่ได้เขียนบันทึกนี้ตามบทความที่อ้างถึง แต่ใช้บทความเป็นตัวกระตุ้นจินตนาการออกมา
คำถามก็คือ ในยุคโควิดระบาดหนักเช่นนี้ แค่จัดกระบวนการเรียนรู้ให้ได้ทั้ง ASK ก็นับว่ายากแสนเข็ญอยู่แล้ว นี่ผมยังแถม R – ปฏิสัมพันธ์เข้าไปอีก อาจารย์มิกระอักหรือ
คำตอบคือให้ใช้หลัก “หนามยอก เอาหนามบ่ง” ครับ คือใช้ R เข้าไปช่วยการพัฒนา ASK โดยมีเคล็ดลับคือ อาจารย์ (และสถาบัน) ต้องบอกเหล่านิสิตนักศึกษาว่า แม้ในยามยากเช่นนี้ มหาวิทยาลัยก็ยังมุ่งมั่นจัดให้นักศึกษาได้เป็นบัณฑิตที่มีคุณภาพ ต้องทำอะไรได้บ้าง ในระดับไหน (competencies) บอกให้ชัด รวมทั้งบอกว่ายามนี้ส่วนที่บรรลุยากคืออะไรบ้าง อาจารย์จะพยายามหนุนเต็มที่ แต่นักศึกษาต้องช่วยกัน นักศึกษาที่เรียนเก่งต้องช่วยเพื่อนที่เรียนอ่อน และนักศึกษาที่เรียนอ่อนต้องขยันขึ้น และมุ่งมั่นช่วยตัวเอง พูดง่ายๆ ว่าให้เรียนเป็นทีม
จริงๆ แล้ว ไมว่าในสถานการณ์ใด คนเราเรียนรู้ได้ดีที่สุดเมื่อตนเองทำตัวเป็น “agentic learner” ผู้เรียนรู้ผ่านการกระทำการ ใช้ภาษาไทยธรรมดาๆ ว่าเป็นคนขวนขวายช่วยตัวเอง ช่วยเหลือกันเอง ไม่เอาแต่งอมืองอเท้ารอให้มหาวิทยาลัยและอาจารย์จัดการให้ สถานการณ์วิกฤตโควิดเช่นนี้ มันเอื้อกึ่งบังคับให้ทุกคนต้องขวนขวาย เมื่อทำจนเป็นนิสัยติดตัว จะนำไปสู่ชีวิตที่ดี
เมื่อขวนขวายร่วมกันยามยากเช่นนี้ ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นจะเกิดขึ้น ทั้งระหว่างนิสิตนักศึกษาด้วยกัน และระหว่างนิสิตนักศึกษากับอาจารย์ เป็นความสัมพันธ์ที่มีคุณค่าไปยาวนาน
จะยิ่งดีหากใช้ “หนามยอกเอาหนามบ่ง” สองชั้น ชั้นแรกที่กล่าวไปแล้ว คือใช้วิธีเรียนแบบร่วมมือช่วยเหลือกัน ชั้นที่ ๒ คือ นอกจากช่วยเหลือกันในหมู่นิสิตนักศึกษาอาจารย์แล้ว ยังหาวิธีเรียนรู้ผ่านการช่วยเหลือผู้อื่นที่เดือดร้อนจากโควิดในรูปแบบต่างๆ เท่ากับใช้สถานการณ์โควิดช่วยให้ออกแบบการเรียนรู้แบบ service learning ได้ง่ายดาย ได้พัฒนาจิตสาธารณะขึ้นในตน ซึ่งก็จะเป็นคุณต่อตนเองไปตลอดชีวิต
ที่กล่าวนั้น เป็นเชิงทฤษฎีหรือหลักการ ในทางปฏิบัติต้องทำอย่างระมัดระวัง ไม่ประมาท ใช้ทั้งกิจกรรม ออนไซต์ และ ออนไลน์ เพื่อเรียนรู้จากการปฏิบัติ ในสถานการณ์จริง โดยต้องไม่ลืมเอาประสบการณ์มาใคร่ครวญสะท้อนคิด (reflection) ร่วมกัน ว่าได้เรียนรู้อะไรบ้าง ทั้งด้าน ASKR เทียบกับทฤษฎีเป็นอย่างไร ได้พัฒนาสมรรถนะ (competency) ใดบ้าง ในระดับใด ยังมีสมรรถนะใดที่จะต้องพัฒนาเพิ่ม และปรึกษากันว่าจะเพิ่มสมรรถนะนั้นๆ อย่างไร เพื่อให้จบการศึกษาออกไปอย่างมีคุณภาพ แม้จะเรียนอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ปกติ
โปรดอ่านบทความ (๑) นะครับ ให้ข้อคิดเห็นดีมาก แต่ผมไม่ได้คัดลอกเอามา ผมตีความใหม่ ว่าการเรียนรู้แนว hybrid ในยุควิกฤตยากลำบากต้องใช้หลายพลังผสมปนเปกัน โดยมีข้อกำหนด competencies ตามมาตรฐานหลักสูตรเป็นเข็มทิศ ในสถานการณ์เช่นนี้ คนไข้บางคนเป็นครูให้เราได้ดีกว่ายามปกตินะครับ เพียงแต่เราต้องรู้จักใช้ปฏิสัมพันธ์ให้เกิดผลเชิงบวก
วิจารณ์ พานิช
๒๓ พ.ค. ๖๔
ไม่มีความเห็น