เพราะชีวิตคนเรา ล้วนมีวิธีการที่หลากหลายในการที่จะทบทวนชีวิตอันเป็น “วัน-วัย” ของตนเอง สำหรับผมแล้ว หนึ่งในวิธีอันหลากหลายนั้น ผมไม่ลังเลที่จะเลือกท่องทะยานผ่าน “หนังสือ”
ผมยืนยันว่า - การทบทวนชีวิตผ่านเรื่องราวในอดีต มิใช่การจ่อมจม – จองจำ - หรือกักขังตัวเองไว้กับอดีตเลยสักนิด และยืนยันว่า ไม่ใช่การมองโลกในแง่ร้ายว่า "ปัจจุบันหม่นมัวชวนจากลา" ตรงกันข้ามกลับหมายถึง "การเทใจรำลึกอดีต เพื่อเสริมพลังบวกให้กับชีวิต"
ฉะนี้แล้ว กวีนิพนธ์ “ฮาบพนาสูง” ของ “คำเมือง ราวะรินทร์” จาก “สาระคนสำนักพิมพ์” จึงเป็นหนึ่งในหนังสือที่ช่วยให้ผมได้กลับไปท่องเล่นในโลกวัยเยาว์ของตนเอง พร้อมๆ กับการโหยหาความเป็นบ้านเกิดเมืองนอนบนผืนแผ่นดินที่ราบสูงอย่างแจ่มชัด ทั้งในมิติที่เป็นอดีต ปัจจุบัน หรือแม้แต่การเบิ่งมองไปสู่อนาคต -
ฮาบพนาสูง เป็นกวีนิพนธ์ 1 ใน 18 เล่มที่ผ่านเข้าสู่รอบ Long list การประกวดรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ประจำปี 2562 ก่อนยุติการเดินทางในเวทีดังกล่าวแต่เพียงเท่านั้น
เพราะรางวัลมิใช่ตัวแปรหลักของการทำให้ “ฮาบพนาสูง” ต้องหยุดการเดินทางลงอย่างสิ้นเชิง ตรงกันข้ามกวีนิพนธ์เล่มดังกล่าวได้ค่อยๆ ท่องทะยานในเวทีอื่นๆ อย่างละมุนละม่อมตามแบบฉบับอันเป็นท่องทำนองเฉพาะตัวของผู้เขียน ซึ่งคนคุ้นเคยจะสัมผัสได้ว่า “คำเมือง วาระรินทร์” (ณรงค์ศักดิ์ ราวะรินทร์) มีอัตลักษณ์ที่ชัดเจน คือ สมถะ ถ่อมตน แต่มากล้นด้วยภูมิรู้
ในมุมมองของผม “ฮาบพนาสูง” คือกวีนิพนธ์ที่รวบรวมคำศัพท์อีสานจากพยัญชนะ ก-ฮ จำนวน 60 คำมาประกอบสร้างเป็นภาพวิถีคนอีสานจากอดีตสู่ปัจจุบัน ผ่านคำประพันธ์หลากรูปแบบ เช่น กลอนสุภาพ กลอน 6 โคลงสี่สุภาพ กาพย์ยานี กาพย์ฉบัง 16 ร่ายดั้น โครงสาร (อีสาน) หรือแม้แต่เพลงกล่อมลูกก็ถูกนำมาเป็นหนึ่งในกลวิธีของการฉายภาพความเป็นอีสาน
ความทรงจำในวัยเด็กของผมฉายภาพชัดผ่านกวีนิพนธ์หลายบท โดยเฉพาะวิถีชีวิตในวัยเด็กที่โลดแล่นอยู่ตามหัวไร่ปลายนาและป่าโคก ทั้งโดยวิถีของตัวเอง และการวิ่งๆ เดินๆ ไปตามจังหวะชีวิตของผู้เป็นพ่อ
ตื่นแต่เช้าต้อนควายออกชายทุ่ง
ไล่เข้าบุ่งห้วยฮ่องหม่องตื้นเชิน
ควายเล็มเลาะ “ละมุ” รายรอบเนิน
สายจึงเดินออกมาจากป่าเลา
(ละมุ : หน้า 74)
...
จับสวิงลงส่อนหวังปลาน้อย
ได้ลูกฮวกตัวจ้อยข้อยดีดดิ้น
ใส่ลงครุคลาน “ดั้วเดี้ย” ดูจนวิน
พ่อขุดดินฮิมทามย่ำจิซอน
(ดั้วเดี้ย : หน้า 34)
ถึงแม้บ้านเกิดของผมจะไม่ปรากฏพื้นที่ชีวิตอันเป็น “บุ่งทาม” แต่ผมก็ไม่เคยกังขาเลยว่า บุ่งทาม คือ นิเวศวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าทั้งต่อชีวิตมนุษย์และสรรพสิ่ง ซึ่งกวีนิพนธ์เล่มนี้กล่าวถึงอย่างถี่ซ้ำ ประหนึ่งปักเป็นเสาเข็มใหญ่เพื่อยืนยันคุณค่าและความสำคัญของบุ่มทามอย่างหนักแน่น
เกล็ดขาววับวาวแสง
ตัวตะแคงแกร่งผยอง
จับกำนำให้น้อง
ว่า “คุยคาม” ปลาทามแท้
(คุยลาม : หน้า 25)
พ่อกลับจากแทงปลาไหลในทามทุ่ง
ถอกจากถุงใส่กระบุงไม้ไผ่สาน
แล้วเว้าแซวลูกชายใต้เฮือนชาน
คนขี้ค้าน มาขี้ “โย่ย” ย่านผีอำ
(โย่ย : หน้า 73)
อีกห้วงหนึ่งที่ชวนให้ผมคิดถึงอดีตกาลของตนเองที่เติบโตมาจาก “เรื่องเล่า” ของคนรอบกาย โดยเฉพาะเรื่องเล่าของคนในชายคาบ้านที่บันดาลความรื่นรมย์ แต่แฝงแก่นสารอันเป็นข้อคิดไว้อย่างเนียนนุ่มและลึกซึ้ง ผ่านนิทานหลากเรื่องหลากรสของพ่อ
นิทานของพ่อมีเวทีในการสื่อสารทั้งใน “วงข้าว” และ “หลังวงข้าว” ทั้งในชายคาบ้านและท้องไร่ท้องนา แต่ทั้งปวงนั้น นิทานของพ่อล้วนร้อยรัดเป็นหนึ่งเดียวอยู่กับเรื่องเล่าและตำนานที่แฝงฝังด้วยความรู้และคำสอน ครั้นโตขึ้น ผมก็ได้สดับฟังอีกครั้งจากกระบวนการการเรียนการสอนในหลักสูตรของแต่ละช่วงชั้นแห่งการเป็นนักเรียน-นักศึกษา
ใช่ครับ- มันเหมือนการเรียนล่วงหน้ายังไงยังงั้นเลยทีเดียว เป็นการเรียนล่วงหน้าจาก "บิดา" ผู้ซึ่งเป็น “ครูชีวิตคนแรก” ของผม - ครูผู้ซึ่งไร้ซึ่งใบปริญญาบัตร แต่ลุ่มลึกและจัดเจนในความรู้หลากศาสตร์
โลกใหม่แห่งไทเฮา
เกิด “ง้วนดิน” อันหอมหวาน
เหล่าพรหมเข้าชมเสพ
เทพติดรสแห่งดินง้วน
ฤทธิ์หายกายบ่นวล
ตกสวรรค์เป็นมนุษย์
(ง้วนดิน : หน้า 26)
เช่นเดียวกับนิทานพญาแถนผู้พ่ายสงครามแก่ผญาคันคากจนนำมาสู่การประทานฝนให้กับมนุษย์โลก ซึ่งเรื่องเล่านี้กลายเป็นหนึ่งในวิถีแห่ง “ฮีต 12 คอง 14” ของชาวอีสานสืบล่วงมาจนถึงปัจจุบัน
ลมใต้พัด “วอยวอย”
ฝอยฝนลอยลมรำเพย
ฟ้าฮ้องก้องเบิกเผย
สัญญาณแถนไขปักตู
พ่อฮุดแฮกแบกไถ
นาท่งใหญ่ได้กินอยู่
ฮ็ดนาทั้งฤดู
ตั้งแต่ฝนจนฮอดหนาว
(วอยวอย : หน้า 77)
อีกหนึ่งความทรงจำที่ฉายชัดขึ้นมาในตัวตนผมเมื่ออ่านกวีนิพนธ์เล่มนี้ก็คือกระบวนการบำบัดรักษาอาการป่วยไข้ในแบบ “บ้านๆ” หรือที่เรียกขานด้วยความเคารพศรัทธาว่า “ภูมิปัญญาท้องถิ่น”
ณ ห้วงเวลาที่ว่านั้น หัวสมองของผมเต็มไปด้วยคำถามมากมาย แต่เป็นคำถามที่มิได้กังขา หรือคลางแคลงใจ หากแต่เป็นคำถามที่ผสมผสานปนเประหว่างความมหัศจรรย์กับการเฝ้าภาวนาให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้พลิกฟื้นสร่างหายจากความทุกข์ระทมอันหลากรูปลักษณ์ของการป่วยไข้
เคยฮูปฮ่างงามต่งย่งกลับ “ต้วยซ้วย”
ว่าเจ็บป่วยโรคร้ายกายซูบเศร้า
พ่อจึงบอกหา หมอทาฮักษาเอา
หรือหมอเหยาซุมเก่าเป่าแคนปัว
(ต้วยซ้วย : หน้า 42)
โรคนางเกิดแก่ภายใน
ฮักษายากไซร้
เอิ้นขานนาม “ทำมะลา”
สิเร่งรีบหาหยูกยา
ซอกค้นตามป่า
เทิงภูพานเขตสกลฯ
(ทำมะลา : หน้า 48)
จะว่าไปแล้วเกี่ยวกับประเด็นภูมิปัญญาการรักษาอาการป่วยไข้ของคนในชุมชนที่ปรากฏในกวีนิพนธ์เล่มนี้มีตัวละครสำคัญในการเดินเรื่อง นั่นคือ “หมอทา” ผู้ซึ่งมีสถานะเป็น “พ่อหมอ” ของชาวบ้าน ซึ่งฮาบพนาสูงมิได้สะท้อนเพียงกระบวนการ หรือวิธีการรักษาเท่านั้น ทว่าเชื่อมโยงให้เห็นถึงทรัพยากรหยูกยาที่อยู่ในป่าเขาลำเนาไพรอันเป็น “นิเวศวัฒนธรรม” อย่างเด่นชัด
กล่าวถึงหมอทาเฒ่า ผู้สืบเหง้าหมอชีวก
ย่างป่าฮกตอนยัง “ถ่าว”
ยามฮ้อนหนาวบ่ได้อยู่ เสาะหา
ครูเฮียนวิชา ปรารถนาฮักษาโรค
ถือเป็นโชคไทบ้านเฮา เพิ่นบ่เอารัด
เอาเปรียบ เพิ่นย่างเหยียบไสซุ่มเย็น
(ถ่าว : หน้า 43)
โดยส่วนตัวผมมองว่า กวีนิพนธ์ข้างต้น มิได้บ่งบอกความหมายของ “ถ่าว” ที่หมายถึง “วัยหนุ่ม” อย่างผิวเผิน หากแต่สื่อสารหนักแน่นถึงความเป็นคนหนุ่มที่มีตื่นตัวและมีพลังที่จะเรียนรู้บนบริบทของชุมชนตัวเอง จนในที่สุดก็กลายมาเป็นบุคคลสำคัญที่ได้นั่งอยู่ในหัวใจของชาวบ้านอย่างไร้ข้อกังขา
เรื่องราวของ “หมอทา” ถูกขยายความต่อเนื่องในหลายๆ บท แต่ที่ผมชื่นชมมากอีกบทหนึ่งก็คือในบทที่ว่าด้วย “พะเนียม” (หีบใส่ของ) และ “พายโซน” (สะพายของ) เพราะสะท้อนถึงการจัดการทรัพยากรอย่างรู้ค่าและบ่งชี้ถึงวิถีการอยู่ร่วมกันเฉกเช่นพี่น้อง “มีอะไรก็แบ่งกัน” หาใช่ “ซื้อขายต่อกัน”
กล่าวคือ เมื่อ “หมอทา” ดั้นต้นไปเสาะหาหยูกยาสมุนไพรมาได้ก็มีน้ำใจเผื่อแผ่แบ่งปันให้คนในชุมชนนำไปปลูกที่คัวเรือนตนเอง เพื่อนำกลับมาเป็นหยูกยาในการสร้างภูมิต้านทานและบำบัดเยียวยาตัวเอง อันเป็นวิถีการอยู่ร่วมกันที่งดงามและน่าศรัทธา มิหนำซ้ำยังมีมิติ “การจัดการความรู้” (Knowledge management) คู่ “ความรัก” อยู่กรายๆ
กล่าวเถิงหมอทาซุมยาใหญ่
จากไปหลายเดือนในเถื่อนป่า
ซอกค้นสมุนไพรได้ตัวยา
เดือนห้ากลับมาสู่เฮือนตน
ศิษย์หาม “พะเนียม” ใหญ่และหนัก
เบี้ยไม้มากนักจักแบกขน
เพิ่นนำเมล็ดพันธุ์เหมาะเพาะบ่ดน
แจกคนเพื่อนบ้านไปปลูกเลี้ยง
(พะเนียม : หน้า 64)
ไทบ้านมาจุ้มอุ้มเบี้ยไม้
ขวักไขว่ “พายโซน” จนเกือบเกลี้ยง
หมอทาปริ่มยิ้มอยู่เทิงเตียง
ข้างเคียงพะเนียมใหญ่ใส่เบี้ยมา
(พายโซน : หน้า 65)
แน่นอนครับ – ผมชื่นชอบเพราะสื่อให้เห็นถึงวิถีการพึ่งพาระหว่างคนกับธรรมชาติ ระบบพึ่งพิงของคนในชุมชนที่ต้องดูแลกัน รวมถึงการยึดโยงให้เห็นถึงความเป็นคนกับมิติที่เหนือธรรมชาติ จะโดยเรื่องผีบรรพบุรุษ หรือแม้แต่อื่นๆ ก็เถอะ ผมว่ามีนัยสำคัญอย่างน่าสนใจ
จะว่าไปแล้ว “ฮาบพนาสูง” มิได้ทำหน้าที่เพียงบันทึกความเป็นอดีตกาลของคำอีสานที่สาปสูญ หรือคำอีสานร่วมสมัยที่ยังปรากฏใช้อยู่ในทุกวันนี้เท่านั้น หากแต่ในบางห้วงตอนได้สะท้อนภาพความเป็นสังคมอีสานที่เปลี่ยนผ่านตามกลไกทางสังคม การเมือง เศรษฐกิจ หรืออื่นๆ อยู่ในที ประหนึ่งการยืนหยัดตัวตนการเป็นวรรณกรรมสะท้อนสังคม (Literature reflecting society) ที่ฉายให้เห็นถึงสภาพสังคมไปในตัวอย่างเสร็จสรรพอาทิ ระบบการคมนาคมที่ฉาบปนด้วยการค้าขายและการไปมาหาสู่ของผู้คนในยุคที่ยังต้องสัญจรด้วยเรือผ่านท้องน้ำ ดังว่า
พ่อตอบ “เฮือกะแซง”
ลำใหญ่แฮงออกแกว่งวัง
ค้าขายได้สตังค์
พอมีรถ เฮือบ่มี
(กะแซง : หน้า 23)
หรือในอีกบทที่สื่อถึงระบบเศรษฐกิจใหม่ของนายทุน ที่คืบคลานเข้าขึงยึดชุมชนผ่านวิถีโครงสร้างในครัวเรือน ดังที่ปรากฏใน “แด่นแด้” ที่หมายถึงความยากแค้นอัตคัด
เมื่อคราวครั้งฝนแล้งพ่อยังเด็ก
มีพวกเจ๊กจากจังหวัดมาประสม
เป็นลูกเขยตาสายหลานยายชม
ได้ขุดถมดิน “แด่นแด้” แก่ขายกิน
เมื่อร่ำรวยจากขายดินและขุดสระ
จึงมานะจะทำโรงโม่หิน
ปรากฏเหล็กหล่นทับงับใส่ดิน
เหลือทรัพย์สินให้ตาสายค้าขายพอ
(แด่นแด้ : หน้า 40)
ถึงตรงนี้ ผมก็ยังยืนยันผ่านมุมมองของผมว่า “ฮาบพนาสูง” คือหนังสือกวีนิพนธ์ที่มีหลายสถานะ บางห้วงอารมณ์ ผมรู้สึกกำลังอ่านพจนานุกรม หรือไม่ก็สารานุกรม รวมถึงสารคดี และหนังสือภาษาศาสตร์ก็ไม่ผิด
การอ่านแต่ละครั้งแต่ละบท มิได้รู้แค่ว่ามีคำศัพท์อีสานที่ “ใหม่-เก่า” หรือแม้แต่คำศัพท์ที่ “สูญหาย” ไปแล้วเท่านั้น ตรงกันข้าม กลับฉายให้เห็นภาพอันเป็นเรื่องราวชีวิตผู้คนในสังคมอีสานไปพร้อมๆ กัน
และที่สำคัญคือการได้เห็นอดีตกาลของตัวเองไปโดยปริยาย –
ด้วยความที่ผมไม่ใช่นักเขียน หรือนักอ่าน จึงไม่อาจหาญตีตราประทับค่าว่า “ฮาบพนาสูง” คือวรรณกรรมอันทรงค่าวิเศษเหนือกวีนิพนธ์ใดๆ กระนั้นก็กล้าพอที่จะยืนยันในฐานะคนอ่านธรรมดาคนหนึ่งว่า กวีนิพนธ์เล่มนี้ ช่วยทำให้ผมได้อยู่กับตัวเองอย่างมีสติ เดินช้าลง และหันกลับไปเพ่งพินิจรอยเท้าและความทรงจำของตัวเอง ณ บ้านเกิดของตนเองอย่างมหัศจรรย์
แน่นอนครับ - ชีวิตคนเราล้วนมีหลากหลายวิธีในการที่จะทบทวนชีวิตอันเป็น “วัน-วัย” ของตนเอง
สำหรับผมแล้ว หนึ่งในวิธีอันหลากหลายนั้น ผมเลือกที่จะท่องผ่านการ “อ่านหนังสือ” และ “ฮาบพนาสูง” ก็เป็นเหมือนพาหนะอันแสนวิเศษที่พาผมกลับไปยังวันและวัยที่ว่านั้นอย่างรื่นรมย์
ไว้มีโอกาสจะมาเล่าต่อละกัน ครับ -
นักอ่าน นักวิเคราะห์ตัวจริง เสียงจริง ;)…
มักเด้ครับ
ผมยืนยันว่า - การทบทวนชีวิตผ่านเรื่องราวในอดีต มิใช่การจ่อมจม – จองจำ - หรือกักขังตัวเองไว้กับอดีตเลยสักนิด และยืนยันว่า ไม่ใช่การมองโลกในแง่ร้ายว่า “ปัจจุบันหม่นมัวชวนจากลา” ตรงกันข้ามกลับหมายถึง “การเทใจรำลึกอดีต เพื่อเสริมพลังบวกให้กับชีวิต”
สวัสดีครับ อ.วัส Wasawat Deemarn
ขอบคุณคำชมอันเป็นปนะหนึ่งน้ำทิพย์ชะโลมใจกลางฤดูอันร้อนแล้งนะครับ 5555 ถึงกระนั้นก็ยังยืนยันว่าตัวเองเป็นนักอ่านมือใหม่ เป็น “นักอ่านเอาความ” แบบงูๆ ปลาๆ ครับ
สำคัญคือ สุขใจที่ได้อ่านครับ หากแต่ช่วงนี้ สารภาพว่าไม่สงบนิ่งพอที่จะอ่านหนังสือจบเล่มจริงๆ ครับ
รู้สึกเช่นนั้นจริงๆ ครับ คุณ ตะวัน (อาจารย์นอด)
ที่เขียนเช่นนั้น เพราะตระหนักเสมอมาว่า เราต่างมีอดีตและเติบโตมาจากอดีต การทบทวนอดีตอย่างมีสติ ย่อมทำให้ชีวิตเราได้ค้นพบชุดความรู้ที่จะทำให้วันนี้และพรุ่งนี้ของชีวิตมีพลัง ครับ