เรื่องสติว่าไปแล้ว ตอนนี้จะมาว่าถึง ปัญญา/ตัณหา/อุปาทาน/อวิชชา ในเด็ก
ปัญญาก็มีอยู่แล้วตั้งแต่เด็กแรกเกิด เช่นการรู้จักพลิกตัวหันหัวออกมาให้ถูกทางปากช่องคลอด รู้จักดูดนมจากเต้าของแม่ จะจัดเป็นปัญญาแรกเริ่มก็ว่าได้ หรือจะว่าเป็นสัญชาติญาณแรกเกิดก็แล้วแต่..การเดินตั้งไข่จากท่าคลานต้องถือว่าเป็นสติผสมปัญญา เพราะต้องมีสติในการประคองไข่ และปัญญาก็ต้องคิดพร้อมกันไปว่า จะเดินอย่างไรดีหนอที่จะไม่ล้ม ก็ต้องใช้ปัญญาลองผิดลองถูกกันไป เด็กมีปัญญามากกว่าจึงเดินได้ไวกว่า เด็กบางคนมีปัญญารู้จักร้องไห้เสียงดังเพื่อฟ้องแม่ว่าตนต้องการอะไรสักอย่าง เช่นหิวนม หรือว้าเหว่ หรืออึแตกรดผ้าอ้อมแล้ว
ตัณหาคือความอยาก ก็มีพร้อมในตัวเด็กทารกเช่นอยากให้แม่อุ้มพาเดิน พร้อมตบตูดเบาๆ ถ้าไม่เช่นนั้นก็ใช้ปัญญาร้องไห้เรียกร้องความสนใจอยู่นั่นแหละ
อุปาทาน (ความยึดมั่น) เป็นเจตสิกที่สำคัญมาก เช่นยึดมั่นในความเป็นเจ้าของของเด็กเล่น (หวงของเล่น) มีเด็กคนอื่นมาเล่นด้วยก็ร้องไห้ ขอเอาคืนมาให้เป็น “ของเล่นของกู” แต่เพียงคนเดียว เด็กบางรายเป็นโรคติดผ้าอ้อม (security blanket) ต้องได้ผ้าอ้อมผืนนี้สีนี้กลิ่นนี้ เอามากอดเพื่อให้รู้สึกว่ามั่นคง (จึงได้ชื่อว่า security)
ความยึดมั่นนี่แหละอาจก่อให้เกิดสงครามโลกยังได้ คือยึดมั่นว่า นี่คือประเทศของกู/ประเทศของมึง ดังนั้นในการสอนเด็กนั้นที่สำคัญสุดคือสอนให้ละความยึดมั่นเพื่อเป็นพื้นฐานให้พัฒนาชีวิตให้สูงยิ่งขึ้นไปเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่..อุปาทานที่เห็นได้ง่ายในเด็กทารกอีกประการคือการติดคนอุ้ม ถ้าเปลี่ยนคนอุ้มจะร้องไห้โฮเลย สังขารก็มีในทารก เช่นหัวเราะเมื่อได้รับการหยอกล้อต่างๆ
อวิชชา (ความไม่รู้..โดยเฉพาะไม่รู้ในอริยสัจจ์๔) ก็มีอยู่เต็มไปหมดในตัวเด็กทารก เพราะไม่ได้คาบคัมภีร์มาแต่แรกคลอด ถ้าเด็กทารกเกิดมาไม่มีอวิชชาก็แสดงว่าบรรลุธรรมตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ อาจยกเว้นเจ้าชายสิทธัตถะที่เกิดมาก็เดินได้ ๗ ก้าว นัยว่าเพื่อสอดส่องดูให้เห็นโพชฌงค์ ๗ ซึ่งเป็นปัจจัยต่อการบรรลุนิพพาน (ถามว่าถ้ามีปัญญาญาณสูงส่งปานนั้น ทำไมต้องรอถึง ๒๙ ปีก่อนออกบวชเพื่อค้นหาความจริงชีวิต )
จึงเห็นได้ว่า ขันธ์๑๐ มีความจำเป็นไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถอธิบายสิ่งต่างๆได้มากหลาย เช่นหมาคอกเดียวกัน ทำไมบางตัวเป็นหมาเชื่อง บางตัวก็ดุร้าย ลูกคนก็เช่นเดียวกันโดยเฉพาะลูกแฝด แม้จะเป็นแฝดแบบไข่ใบเดียวที่มีสรีระรูปร่างหน้าตาเหมือนกันทุกประการแต่กลับมีนิสัยต่างกัน อธิบายได้ว่าเพราะระดับสติปัญญาตัณหาอุปาทานและอวิชชาต่างกันมาตั้งแต่แรกเกิดนั่นเอง
---คนถางทาง..๑๓มีค.๖๓
ไม่มีความเห็น