“คืนปีเสือ และเรื่องเล่าของสัตว์อื่น ๆ” นับเป็นผลงานชิ้นที่สอง ของ จเด็จ กำจรเดช ในฐานะนักเขียนดับเบิ้ลซีไรต์คนที่ 5 ของเมืองไทย โดยเนื้อหาของหนังสือได้มีการหยิบยกเรื่องราวของสัตว์และคนมาผูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ในฐานะภาพแทนของความเป็นสัตว์ตัวในตัวคน และคนในสัตว์แต่ละตัว โดยที่เรื่องสั้นตอนต่าง ๆ ได้ชักชวนให้เราย้อนกลับไปทำความเข้าใจในเรื่องของสภาวะของการซ้อนทับกันในบริบทดังกล่าว อีกทั้งผู้เขียนได้ท้าทายขนบการเขียนเรื่องสั้นแบบเดิม ทั้งการเล่าเรื่อง การผูกโครงเรื่อง จำนวนตัวละคร และขนาดความยาวของเรื่อง รวมถึงการสร้างสัญญะโดยใช้สัตว์สื่อความหมาย รวมถึงมีการยั่วล้อสังคม ไม่ว่าจะเป็นวิถีชีวิต วิธีคิด และค่านิยมบางประการของสังคม
“ข่าวว่านกจะมา” หนึ่งในสิบเรื่องของหนังสือรวมเรื่องสั้น“คืนปีเสือ และเรื่องเล่าของสัตว์อื่น ๆ” ความน่าสนใจของเรื่องอยู่ที่การยั่วล้อ เสียดสีสังคม การเล่าเรื่อง และการเดินทางของตัวละครไปยังสถานที่ต่าง ๆ ทั้งในไทยและประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้เกิดมุมมองใหม่ ๆ ต่อชีวิตและสังคม โดยเป็นเรื่องราวของผู้รับเหมาก่อสร้างที่ภรรยาหนีหายไปเป็นเวลาสามเดือน โยงใยไปสู่ประวัติศาสตร์เขมรแดงและการกลายเป็นนก
ผู้เขียนใช้วิธีการเล่าเรื่องผ่านมุมมองของตัวละคร “ผม” ซึ่งอดีตเคยเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง และผันตัวมาเป็นนักเขียนหนังสือส่งเสริมกำลังใจ เพื่อสร้างพลังและแรงบันดาลใจในการมีชีวิต วันหนึ่งมีตำรวจมาขอพบเนื่องจากเขาตกเป็นผู้ต้องสงสัยจากการหายตัวไปของภรรยา หากพูดให้ถูกคืออดีตภรรยา เพราะทั้งคู่ได้หย่าร้างกันไปนานแล้ว เธอหายตัวไปเมื่อ “ผม” กลับมาบ้านหลังออกไปครบหนึ่งปี สาเหตุของการหายตัวไปของเธอเนื่องมาจากข้อตกลงที่ทั้งสองทำร่วมกัน แลกเปลี่ยนการใช้ชีวิต ให้เธอออกไปใช้ชีวิตข้างนอก สัมผัสกับความเป็นอิสระที่เธอสมควรได้รับ และให้ “ผม” เข้ามาอยู่ในบ้านกับลูก บ้านที่เขาเป็นผู้ออกแบบและลงมือสร้างด้วยตนเอง หลังจากเธอตอบตกลงรับข้อเสนอในครั้งนั้น ทั้งสองก็ขาดการติดต่อกัน ผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งเดือนเธอก็ส่งข่าวผ่านอินสตาแกรมโดยใช้ชื่อแอคเคาท์ว่า “นกอพยพ” โพสต์รูปสถานที่ต่าง ๆ ที่ “ผม” เคยเดินทางไป เธอโพสต์รูปลงอย่างต่อเนื่องเสมือนเธอกลายเป็นนกบินไปทั่วทุกมุมโลกในเวลาอันรวดเร็ว นกตามคำปรารถนาที่เธอเขียนลงบนหนังสือ และบอกกับ “ผม” ว่าเธอจะกลับมาพร้อมกับนกอพยพ ให้เขาต่อเติมบ้านไว้รอ ซึ่งท้ายเรื่องผู้เขียนได้แสดงให้เห็นว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องที่ “ผม” ฟังจากการบอกเล่าของคนอื่นมาทั้งที่เรื่องเหล่านั้นเป็นของตน
ผู้เขียนใช้วิธีการเปิดเรื่องโดยสอดแทรกเรื่องราวประวัติศาสตร์เกาะกง ซึ่งแต่เดิมเป็นของไทย แต่ปัจจุบันเป็นจังหวัดเกาะกงของประเทศกัมพูชา เมื่อเกาะกงได้กลายเป็นของฝรั่งเศส ชาวไทยจำนวนมากได้อพยพไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ในระแวกใกล้เคียง เนื่องจากไม่ต้องการอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส ต่อมาเมื่อรัฐบาลฝรั่งเศสมอบอิสรภาพให้แก่ประเทศกัมพูชา เกาะกงจึงเปลี่ยนผ่านมาอยู่ภายใต้การปกครองของประเทศกัมพูชาโดยสมบูรณ์ ซึ่งคนไทยที่ตกค้างอยู่ในเกาะกงจะเรียกตัวเองว่า “คนไทยเกาะกง”
เมื่อครั้งเขมรแดงเข้ายึดอำนาจ ได้กวาดต้อนประชาชนกัมพูชาทั้งหมดจากกรุงพนมเปญและเมืองสำคัญอื่น ๆ รวมถึงชาวไทยเกาะกง มาบังคับให้ทำการเกษตรและใช้แรงงานร่วมกันในพื้นที่ชนบท เพื่อจำแนกประชาชนที่ถือว่าเป็น “ศัตรูทางชนชั้น” ไม่ว่าจะเป็น ทหาร ข้าราชการ เชื้อพระวงศ์ ผู้มีการศึกษา หรือผู้มีวิชาชีพเฉพาะในด้านต่าง ๆ ออกมาเพื่อขจัดทิ้ง จากเหตุการณ์ในครั้งนั้นส่งผลให้ประชาชนเสียชีวิตจากการถูกสังหาร ถูกบังคับใช้แรงงาน และความอดอยากเป็นจำนวนมาก ถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพและความเป็นอิสระที่พวกเขาสมควรได้รับ ซึ่งผู้เขียนได้บรรยายให้เห็นถึงประชาชนที่พยายามหลบหนีจากการถูกกดขี่ข่มเหงจากผู้ที่มีอำนาจ อพยพหนีกระจายตัวไปยังประเทศต่าง ๆ โดยใช้สัญลักษณ์ “กาดำ” เป็นภาพแทนของทหารเขมรแดง และ “นกนางแอ่น” เป็นภาพแทนของประชาชนในเกาะกง ซึ่งเหตุที่ผู้เขียนเลือกใช้กาดำเป็นภาพแทนของทหารเขมรแดงนั้นอาจเป็นไปได้ว่ากาดำคือสัญลักษณ์แทนความชั่วร้ายเหมือนทหารเขมรแดงที่สังหารผู้คนไปหลายล้านชีวิต และโดยธรรมชาติของนกนางแอ่นจะเป็นนกที่สามารถบินอยู่บนท้องฟ้าได้เป็นเวลานาน และจะหยุดบินเมื่อกลับถึงบ้านของมัน เสมือนกับประชาชนที่อพยพย้ายถิ่นฐานจากแผ่นดินเกิดที่เต็มไปด้วยการนองเลือดของผู้บริสุทธิ์ เพื่อหวังว่าวันหนึ่งพวกเขาจะมีบ้าน บ้านที่ทำให้พวกเขารู้สึกอิสระและปลอดภัย ดังที่ผู้เขียนได้กล่าวว่า “นกอยากมีบ้านแทนรังบ้างแล้ว” (จเด็จ กำจรเดช,2563:71) ซึ่งจะนำไปสู่ในส่วนของการดำเนินเรื่องต่อไป
การดำเนินเรื่องแสดงให้เห็นชีวิตคู่ของสามีภรรยาที่ไม่ค่อยจะลงรอยกันเท่าไรนัก จนทั้งคู่ได้ตัดสินใจหย่าร้างกัน สิทธิในการปกครองดูแลลูกจึงตกเป็นของฝ่ายหญิงตามสัญญาที่ตกลงกันไว้ในใบหย่า ว่าเธอจะได้บ้าน ส่วน “ผม” ได้รถ เมื่อเป็นเช่นนี้ลูกจึงตกอยู่ในการดูแลของเธอ และเขาเพียงหาเงินมาช่วยส่งเสียเลี้ยงดูเท่านั้น แสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ของ “ผม” กับภรรยา ที่ไม่เข้าใจกันในหลาย ๆ เรื่อง จนนำไปสู่การหย่าร้างกัน เหตุการณ์ต่าง ๆ ในเรื่องดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่ง “ผม” กลับมาบ้านหลังจากหายไปครบหนึ่งปี เพื่อขอให้ได้อยู่กับลูก และขอให้เธอออกจากโถงถ้ำที่เรียกว่าบ้านไปใช้ชีวิตข้างนอก ได้รับรู้ว่าการที่เขาจากไปนั้นไม่ได้สุขสบาย ทิ้งให้เธอต้องดูแลลูกคนเดียวอย่างที่เธอคิด รวมถึงความโหยหาเมื่อต้องห่างไกลจากลูก
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วตั้งแต่ต้นว่าผู้เขียนได้สอดแทรกเรื่องราวประวัติศาสตร์ สะท้อนให้สภาพเห็นสังคมที่ถูกกีดกันจากอำนาจรัฐ แสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งอื่น ๆ ภายในเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ คือฝ่ายที่มีอำนาจกับประชาชนจนนำไปสู่การอพยพย้ายถิ่น เนื่องมาจากการถูกลดรอนสิทธิ การถูกกดขี่ ข่มเหงจากรัฐบาลในยุคสมัยเขมรแดงเข้ายึดอำนาจ รวมถึงการอพยพของชาวโรฮิงญาที่รัฐบาลไม่ยอมรับเป็นพลเมืองของตน ส่งผลให้ชาวโรฮิงญากลายเป็นบุคคลไร้รัฐ รวมถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวางที่เกิดขึ้นกับชาวโรฮิงญา รวมทั้งการสังหารอย่างมิชอบด้วยกฎหมาย
ผู้เขียนใช้สัญลักษณ์ของนกเป็นภาพแทนของความเป็นอิสระ การโบยบินโดยขาดแรงยึดเหนี่ยว ซึ่งสอดคล้องกับตัวละครของ “ผม” กับ ภรรยา ที่ออกเดินทางไปยังเมืองต่าง ๆ ดังในเรื่องที่ผู้เขียนได้สร้างให้ภรรยากลายเป็นนก นกที่บินออกจากโถงถ้ำที่เรียกว่าบ้าน ตามคำปรารถนาที่เธอเขียนไว้ในหนังสือเสริมสร้างกำลังใจ ความเป็นอิสระที่เธอสมควรจะได้รับหลังจากที่เธอต้องอยู่บ้านดูแลลูก คำว่าอิสรภาพดังได้กล่าวนี้อาจสามารถเชื่อมโยงไปยังเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่ผู้เขียนได้สอดแทรกไว้ตลอดทั้งเรื่อง ดังจะกล่าวในส่วนของประชาชนคนไทยในเกาะกง หลังจากที่ต้องตกอยู่ภายใต้การปกครองของประเทศกัมพูชา จึงต้องการอพยพย้ายเข้ามาอยู่ในประเทศดังเดิม ซึ่งจะต้องยื่นขอสัญชาติไทย ถือบัตรประชาชน เพราะจะทำให้พวกเขาได้รับสิทธิ ความคุ้มครอง รวมถึงการเข้ารับสวัสดิการต่าง ๆ ของรัฐในฐานะประชาชนคนไทย แต่เนื่องจากกลุ่มคนเหล่านั้นถือสัญชาติกัมพูชา จึงต้องมีการตรวจสอบเอกสารการยืนยันตัวตนว่าเป็นคนไทยที่พลัดถิ่นอย่างเคร่งครัด และต้องรอเวลาอีกหลายปีพวกเขาเหล่านั้นจึงมีสิทธิในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในฐานะพลเมืองของประเทศไทย ดังนั้น อาจเป็นไปได้ว่านกที่เป็นสัญลักษณ์แทนความอิสระนั้นอาจเป็นภาพแทนของประชาชนที่เฝ้ารอวันที่รัฐมอบสัญชาติไทยให้กับพวกเขา สิทธิเสรีภาพที่พวกเขาสมควรจะได้รับ ซึ่งไม่อาจทราบได้เลยว่าวันนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่ ซึ่งสอดคล้องกับชื่อเรื่อง “ข่าวว่านกจะมา”
นอกจากนี้ ยังมีการพูดเสียดสีสะท้อนให้เห็นความเป็นจริงของสังคม ไม่ว่าจะเป็นสังคมครอบครัว และการอยู่ร่วมกันของเพื่อนมนุษย์ จะเห็นว่าตัวละคร “ผม” ให้ความสำคัญกับเรื่องการตกแต่งต่อเติมบ้านมาก จนเขาหลงลืมไปว่าองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของบ้านนั้นคือ ครอบครัว ซึ่งมีพ่อ แม่ ลูก อยู่ร่วมกันอย่างอบอุ่น ทั้งหมดคือส่วนที่จะทำให้บ้านสมบูรณ์ แต่ไม่ใช่กับครอบครัวของเขาในตอนนี้ที่ต่างฝ่ายต่างแยกกันอยู่ แสดงให้เห็นว่าครอบครัวในสังคมไทยนั้นไม่ได้สมบูรณ์แบบทุกครอบครัว ตามที่ทุกคนมักเข้าใจว่าครอบครัวเป็นที่มอบความสุข มอบความรักความอบอุ่นให้กันและกัน แต่ยังมีอีกหลายครอบครัวที่มีปัญหา การไม่เข้าใจกันต่าง ๆ อีกมากมาย ซึ่งในนั้นก็มีครอบครัวของ “ผม” รวมอยู่ด้วย นอกจากนั้นแล้วยังสะท้อนการอยู่ร่วมกันในสังคมของมนุษย์ ที่มักล่วงรู้เรื่องราวของบุคคลอื่นมากกว่าเจ้าของเรื่อง และนำมาเล่าต่อ ๆ กัน ซึ่งไม่อาจทราบได้แน่ชัดว่าเป็นเรื่องจริงเท็จมากน้อยเพียงใด ดังข้อความ “เป็นแบบนี้แหละ ผมต้องฟังเรื่องของตัวเองจากคนอื่น พวกนั้นรู้เรื่องของเราดีกว่าตัวเราอีก” (จเด็จ กำจเดช.2563:138) รวมถึงการหลงเชื่อคำบอกเล่าของคนอื่นโดยไม่ค้นคว้าหาข้อเท็จจริง จนนำไปสู่การเข้าใจผิด “ทำไมเมียคุณหนีไป อ้อโทษที ผมฟังเรื่องจากคนอื่นว่าคุณหย่ากันแล้ว คุณนอกใจใช่ไหม” (จเด็จ กำจเดช,2563:97)
ผู้เขียนใช้วิธีการปิดเรื่องโดยแสดงให้เห็นว่าเรื่องทั้งหมดที่ผู้เขียนได้เล่าผ่านมุมมองของตัวละคร “ผม” อาจไม่ใช่เรื่องจริง เพราะผู้เขียนได้เฉลยในตอนท้ายซึ่งมีข้อความว่า “ที่ผมพูดมาทั้งหมดนี่ก็ฟังเขามาเหมือนกัน”(จเด็จ กำจรเดช,2563:138) ทำให้ได้รู้ว่าเรื่องทั้งหมดที่กล่าวนั้นเป็นเรื่องที่เล่าต่อ ๆ กันมา และแม้ว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้จะเป็นเรื่องของ “ผม” แต่เขาก็อาศัยการจดจำจากการบอกเล่าจากปากคนอื่น รวมถึงเขาก็มีอายุถึงร้อยสิบสองปีอาจทำให้หลงลืมเรื่องราวไปบางส่วน ดังที่กล่าวข้างต้นแสดงให้เห็นว่าเรื่องนี้ยังขาดความสมจริง เพราะเราไม่สามารถรู้แน่ชัดว่าเรื่องทั้งหมดที่ “ผม” เล่ามานั้นมีความเป็นจริงมากน้อยเพียงใด ด้วยความหลงลืมเพราะมีอายุนับร้อยปี ในชีวิตจริงนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลยหากจะจดจำเรื่องราวของเรื่องเล่าได้ทั้งหมด เว้นแต่ว่าจะพูดเสริมเติมแต่งเรื่องให้เป็นไปตามความคิดของเขาเอง
ดังนั้น แก่นเรื่องหรือแนวคิดสำคัญของเรื่องนี้อาจกล่าวได้ว่า ผู้เขียนต้องการเตือนสติ อย่าหลงเชื่อคนง่าย โดยไม่ค้นคว้าหาข้อเท็จจริงของข้อมูลและไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนเสียก่อน ดังจะเห็นในทุกย่อหน้าที่ผู้เขียนมักขึ้นต้นด้วยคำว่า “เขาว่า”ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการฟังเรื่องที่มักจะเล่ากันปากต่อปาก หากผู้รับสารไม่คิดพิจารณาหาข้อเท็จจริงอาจทำให้เกิดการเข้าใจผิด จนนำมาซึ่งปัญหาต่าง ๆ ได้
วรรณกรรมหรืองานเขียนเรื่องต่าง ๆ จะขาดผู้ดำเนินเรื่องอย่างตัวละครเป็นไปเสียไม่ได้ ตัวละครหลักซึ่งถือว่ามีบทบาทสำคัญในการดำเนินเรื่องแน่นอนว่าต้องเป็นตัวละคร “ผม” ดังกล่าวไปแล้วในข้างต้น และจัดว่าเป็นตัวละครประเภทหลายลักษณะ เพราะมีลักษณะนิสัยทั้งด้านดีและด้านไม่ดี จะเห็นได้ว่า “ผม” ทะเลาะกับภรรยาบ่อยครั้งเรื่องความหึงหวง ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติของชีวิตคู่จนนำไปสู่การหย่าร้าง อีกทั้งยังปิดบังเรื่องที่ถูกไล่ออกจากงาน โกหกภรรยาว่าออกไปทำงาน แต่กลับจอดรถนอนในปั๊ม แม้ว่าการกระทำดังกล่าวจะเป็นเรื่องที่ผิด แต่นั่นกลับทำให้ “ผม” ได้ทบทวนสิ่งที่เคยคิดเอาไว้ และเริ่มเขียนในสิ่งที่คิด จนนำไปสู่ประเด็นการแก้ไขข้อบกพร่อง โดยเริ่มจากการค้นพบข้อบกพร่องของตนเอง โดยเชื่อว่านั่นคือข้อบกพร่องของมนุษย์คนอื่นด้วย เขาคิดวิธีที่จะทำให้พ้นข้อบกพร่องในครั้งนี้ รวมทั้งวิธีเอาตัวรอดจากความหดหู่ที่เกิดจากความล้มเหลวในชีวิต หนังสือที่เขาเขียนกลายเป็นหนังสือที่ช่วยเสริมสร้างกำลังใจ เสริมสร้างพลังแรงใจให้กับกลุ่มคนที่สิ้นหวัง ล้มเหลว ให้พวกเขาเหล่านั้นผ่านพ้นวิกฤติปัญหาต่าง ๆ ของชีวิตไปได้ ซึ่งจากการเขียนหนังสือครั้งนี้ทำให้เขากลายเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียง และอาศัยประสบการณ์ของตนสร้างสรรค์งานเขียนประเภทเสริมสร้างกำลังใจอีกหลายเล่ม แสดงให้เห็นว่าตัวละคร “ผม” นั้น เป็นตัวละครที่เข้าใจปัญหาชีวิตจากประสบการณ์ที่เขาเคยประสบพบเจอ และสามารถมองเห็นถึงข้อบกพร่องของปัญหาจนนำมาสู่การแก้ไขปัญหานั้น ๆ ได้
“ผม” มีความสนใจและให้ความสำคัญกับเรื่องบ้าน จากการที่เขาเป็นผู้ออกแบบและสร้างบ้านหลังนั้นด้วยตนเอง หลังจากกลับมาอยู่บ้านเขาก็พยายามทำความสะอาด ซ่อมแซม ต่อเติมบ้านให้กลับมาอยู่ในสภาพดังเดิม เพื่อรอการกลับมาของภรรยาที่ไม่อาจบอกได้แน่ชัดว่าเธอจะกลับมาจริง ๆ หรือไม่ นอกจากนี้ ผู้เขียนยังสร้างให้ตัวละครออกเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ ทั้งในไทยและประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งการเดินทางในครั้งนี้ได้สอดแทรกไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ได้ เห็นถึงความเป็นมาของแต่ละท้องที่ พบปะกับผู้คนต่าง ๆ มากมาย เหมือนกับเขากลายเป็นผู้อพยพที่พลัดถิ่นไปยังดินแดนต่าง ๆ ที่ผู้เขียนได้กล่าวถึงการอพยพของประชาชนในตอนต้นเรื่อง และถึงแม้ว่าเขาจะเดินทางไปสถานที่ไหน อยู่ไกลสักเพียงใดแต่ในท้ายที่สุดเขาก็กลับมาอยู่บ้าน บ้านที่มีลูก บ้านที่เขาจากไปนับปี “ผม” จึงเป็นตัวละครที่มีชีวิตจิตใจเหมือนคนทั่วไป เพราะมีอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดเปลี่ยนแปลงไปเหตุการณ์และสภาพแวดล้อม
เมื่อพิจารณาโครงเรื่อง แก่นเรื่อง และตัวละครแล้ว เห็นได้ว่ามีความสอดคล้องกลมกลืนกันตลอดทั้งเรื่อง ผู้เขียนได้สอดแทรกเรื่องราวประวัติศาสตร์ไว้ตลอดเรื่อง และมีการแฝงสัญญะได้อย่างแยบยล อีกทั้งใช้ท่วงทำนอง สำนวนภาษาที่ง่าย ทำให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจเนื้อเรื่องได้ง่าย และกลวิธีการเล่าเรื่องเป็นการเล่าผ่านมุมมองของตัวละคร ทำให้ผู้อ่านสามารถเข้าถึงอารมณ์ ความรู้สึก และคล้อยไปกับตัวละคร รวมถึงการสะท้อนสังคมของมนุษย์ที่ผู้เขียนได้แฝงไว้ในเรื่อง ดังนั้น “คืนปีเสือ และเรื่องเล่าของสัตว์อื่น ๆ” จึงถือว่าเป็นเรื่องที่มีคุณค่าให้ข้อคิดต่าง ๆ มากมาย รวมถึงความรู้ทางประวัติศาสตร์ เสมือนผู้อ่านได้ร่วมเดินทางไปกับละคร จึงเป็นอีกเรื่องที่นักอ่านไม่ควรพลาด
บทวิจารณ์โดย สิรินทร์
รายการอ้างอิง
จเด็จ กำจรเดช. (2563). คืนปีเสือ และเรื่องเล่าของสัตว์อื่น ๆ.
ฐานิดา บุญวรรโณ. (2555). ใครคือคนไทยพลัดถิ่นเชื้อสายไทยจากเกาะกง.
สืบค้นเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2563. จาก https://prachatai.com/journal/2012/02/39041
ไม่มีความเห็น