พ่อหรือเปล่า ที่ทำเราเสียใจ


ต้นส้มแสนรัก

ทัศนคติเชิงเปรียบเทียบพฤติกรรมตัวละครระหว่าง พ่อของเซเซ่และ  ลุงโปรตุก้าจากวรรณกรรมเรื่องต้นส้มแสนรัก

        ต้นส้มแสนรัก  วรรณกรรมเยาวชนที่เขียนโดย โจเซ่ วาสคอนเซลอส นักเขียนชาวบราซิล เขียนขึ้นในปี ค.ศ. ๑๙๘ เล่าถึงเรื่องราวของ เซเซ่ เด็กชายชาวบราซิล วัย ๕ ขวบ เด็กที่จินตนาการและมีความสามารถในการเรียน เซเว่อ่านหนังสือออกในขณะที่เด็กวัยเดียวกันยังอ่านไม่ได้ เซเซ่เกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะค่อนข้างยากจนและมีพี่น้องหลายคน พ่อของเขาตกงานจึงครอบครัวประสบปัญหาอย่างหนัก แม่ต้องต้องกลายมาเป็นเสาหลัก ต้องอดทนทำงานคนเดียวและหนักขึ้น ทำให้ต้องย้ายบ้าน และได้พบกับ “มิงกินโย” ต้นส้มซึ่งกลายเป็นเพื่อนรักของเซเซ่ และกลายเป็นแหล่งปรับทุกข์ของเขาด้วยเช่นกัน

          ด้วยความเป็นเด็กจะมีความซุกซนตามปกติ ทำให้หลายครั้งคนในครอบครัวมองว่าเซเซ่เป็นเด็กเกเร ซุกซน และเมื่อยามทุกข์ใจเซเซ่มักจะมาระบาย พูดคุย กับมิงกินโยอยู่เสมอ กระทั่งต่อมาเซเซ่ได้พบกับ “โปรตุก้า” ชายสูงวัยผู้เข้าทำให้ชีวิตของเซเซ่ดูมีความหมาย ทั้งสองเจอกันด้วยเหตุการณ์ที่มีแต่ความโกรธแค้น และได้เป็นคนที่ผูกพันธ์ฉันพ่อลูก ต่อมาไม่นานอุบัติเหตุก็พรากโปรตุก้าไปจากเซเซ่  เซเซ่รู้สึกว่าโลกของเขามืดดับลง มีเพียงความเสียใจจากกการสูญเสีย ทำให้เซเซ่ต้องเรียนรู้ว่าชีวิตยังต้องดำเนินต่อไปถึงบางครั้งจะเจ็บปวด

          เซเซ่ เป็นเพียงเด็กชายคนหนึ่ง ซึ่งยังต้องการคนดูแลให้คำแนะนำสั่งสอน ตัวละครชายทั้งคู่ที่มีอิทธิพลอย่างมากสำหรับเขาคือ “พ่อและลุงโปรตุก้า” บุคคลทั้งสองมีทั้งจุดร่วมและจุดต่างที่ส่งผลต่อเซเซ่ จุดร่วมกันที่ทั้งสองมีคือ พวกเขาเคยทำร้ายเซเซ่ด้วยการทุบตีเมื่อเซเซ่ทำในสิ่งที่เขาไม่พอใจสำหรับพ่อคือการที่เซเซ่ร้องเพลงที่เป็นคำหยาบ (ตบตีอย่างรุนแรง) และโปรตุก้าคือเมื่อเซเซ่พยายามเกาะท้ายรถของเขา (ตีเพื่อสั่งสอน) ถึงสุดท้ายทั้งคู่จะปฏิบัติต่อเซเซ่ไปในทางที่ดี แต่เซเซ่ก็มีปมปัญหาที่ที่อยู่ภายในใจไปแล้ว

          ฐานะทางครอบครัวที่กำลังแย่ลงไปทุกที ทำให้ในวันคริสมาสต์จึงไร้ของขวัญใด ๆ ด้วยความเป็นเด็กทำให้เซเซ่เผลอหลุดปากออกไปว่า

“ มีพ่อจนๆ นี่มันแย่จริงๆ ...นะ ” (หน้า ๗๑)

เมื่อเซเซ่ได้รู้ว่าคำพูดของเซเซ่ทำให้พ่อเสียใจและเป็นทุกข์ เซเซ่จึงพยายามแบ่งเบาภาระครอบครัว ทั้งช่วยเลี้ยงน้องชายและหารายได้พิเศษ

          เซเซ่ออกไปทำงาน ขัดรองเท้าให้ผู้คน พบเจอคนรวยที่ยัดเงินให้เขาเพราะสงสาร ทั้งที่เขาปกป้องตัวเองเต็มที่แล้วว่าตนเองไม่ได้ไร้ศักดิ์ศรี และไม่ใช่เด็กข้างถนนอย่างที่คนอื่นกล่าวหากัน เขาทำทุกวิถีทางจนกระทั่งได้เงินไปซื้อบุหรี่ไปให้พ่อของเขา และนั่นเป็นเหตุการณ์แรก ที่ทำให้เขาเริ่มต้นกล่าวคำว่า “ขอโทษ”

          โปรตุก้าดูจะเป็นคนที่มีฐานะดีกว่าพ่อของเซเซ่ เพราะเขามีงานทำและมีรถยนต์ขับ จุดนี้เป็นประเด็นนำพาเขากับเซเซ่มาสนิทสนมกัน เขาเอ็นดูในความเฉลียวฉลาดของเซเซ่ โปรตุก้าสอนเซเซ่ในเรื่องต่าง ๆมากมาย คอยช่วยให้กำลังใจจนทั้งสองเกิดมิตรภาพจากคนที่ต่างวัยกัน ลุงโปรตุก้าทำให้เซเซ่พัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น เข้าใจในความเป็นเด็กของเซเซ่ ตัวอย่างคำสอนของ โปรตุก้าที่แสดงให้เห็นความรักที่มีต่อเซเซ่

“เราเปลี่ยนแปลงชีวิตแค่พลิกฝ่ามือง่าย ๆ แบบนั้นไม่ได้หรอก ฉันพรากเธอจากพ่อแม่ไม่ได้ ถึงฉันจะอยากทำสิ่งนั้นมากเพียงใดก็ตาม ฉันไม่มีสิทธิ์” (หน้า ๒๐๕)

“การเก็บรักษาความคิด ฝันให้นานที่สุด เท่าที่จะทำได้เป็นสิ่งที่ดีที่สุด” (หน้า ๑๙๕)

ด้วยความประมาททำให้เขาจบชีวิตด้วยอุบัติเหตุรถชนกับรถไฟ ซึ่งในขณะนั้นความสัมพันธ์ของโปรตุก้าและเซเซ่มีมากพอที่จะทำให้เซเซ่ได้รับผลจากเหตุการณ์นี้

          ผู้เขียนอาจต้องการสื่อให้เห็นถึงความรุนแรงในความครัว ว่าส่วนหนึ่งอาจมาจากปัญหาความยากจน และส่งผลต่อพฤติกรรมคนในครอบครัว ด้วยฐานะที่แตกต่างของพ่อและลุงโปรตุก้า อาจส่งผลทำให้เซเซ่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการแสดงออกพฤติกรรมเหล่านั้น

          ถึงต่อมาครอบครัวของเซเซ่ก็ได้รับข่าวดีเพราะพ่อได้งานทำแล้ว แต่เซเซ่ก็ไม่ได้ยินดีกับเรื่องนี้ เซเซ่ก็ยังคงคิดถึงเรื่องราวของโปรตุก้า แม้ว่าพ่อจะทำดีกับเขาเพียงใด แต่ก็ไม่สามารถทดแทนความรู้สึกที่เสียไปได้ แม้ว่าเขาจะรู้สึกเสียใจกับครอบครัวและการที่ต้นส้มจะถูกโค่นลง ความรู้สึกแย่ๆเหล่านั้นก็ไม่อาจเทียบได้กับการสูญเสียโปตุก้า และความสุขเล็กๆ ในฝันของเขาไปได้เลย เพราะในช่วงเวลาที่แย่ที่สุดเซเซ่เคยผ่านมันมาได้ด้วยการช่วยเหลือของโปรตุก้า

“อย่าร้องไห้เลยลูก ยังมีเรื่องให้ต้องเสียน้ำตาอีกมากในชีวิตข้างหน้าของลูก” (หน้า ๖๕)

คำที่ย่าเคยสอนในตอนต้นเรื่อง แนวทางของคำตอบในตอนท้าย ทั้งพ่อของเซเซ่และโปรตุก้าต่างเคยเป็นคนที่ดุร้าย เพราะมีอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคน ขึ้นอยู่กับว่าจะการแสดงออก เผยตัวตนมากน้อยเพียงใด ความดื้อซนมีอยู่ในตัวเด็กทุกคน ทำเพื่อพยายามเรียกร้องความสนใจและต้องการให้คนคอยเอาใจใส่ และเข้าใจชีวิต นิสัยของเขา ได้รับฟังคำพูดของเขา ถ้าหากจะวัดว่านิสัยของเด็กคนนี้เป็นอย่างไร โดยที่ไม่ได้ทำความรู้จักหรือใส่ใจเขา การตัดสินคนอื่นจากการมองด้วยตา ถือว่าเป็นการกล่าวหาที่ร้ายแรง และอาจทำให้เด็กคนหนึ่งหมดอนาคตในการเริ่มต้นเป็นคนดี และเราควรรู้จักยอมรับความเป็นจริง ยอมรับในสิ่งที่ตนเองเป็น ควบคุมอารมณ์ของตนเอง และใส่ใจคนรอบข้างเสียบ้าง ส่วนเซเซ่นั้น เขาจากไปด้วยการระบายความเศร้าที่ไม่สามารถเอาสิ่งใดกลับคืนมาได้

“เขาโค่นมันทิ้งลงแล้วฮะพ่อ ตั้งอาทิตย์กว่ามาแล้วต้นส้มของผม...” (หน้า ๒๔๕)

หมายเลขบันทึก: 687798เขียนเมื่อ 19 ธันวาคม 2020 19:32 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 ธันวาคม 2020 19:32 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท