สาระในตอนที่ ๗ นี้ ผมตีความจากหนังสือ Developmental Evaluation Exemplars : Principles and Use(2018) Edited by Michael Quinn Patton, Kate McKegg, and Nan Wehipeihana บทที่ 15 The Developmental Evaluation Mindset : Eight Guiding Principles เขียนโดย Michael Quinn Patton
นี่คือบทสังเคราะห์ทำความเข้าใจ DE ในมุมมองทั้งเชิงทฤษฎี และเชิงปฏิบัติ
ชุดความคิด แนวยึดหลักการ (principles-based mindset)
เมื่อสังเคราะห์หลักการชี้นำทั้ง ๘ ของ DE เข้าด้วยกัน จะได้ว่า เป็นการประเมินแนวยึดหลักการ (principles-based approach) ไม่ยึดมั่นในวิธีการ เครื่องมือ หรือเทคนิค ใดๆ ไม่มีสูตรสำเร็จ หรือวิธีการมาตรฐานใดๆ ทั้งสิ้น
หลักการเป็นสิ่งชี้นำอย่างกว้างๆ เมื่อนำไปใช้ต้องตีความ และปรับใช้ให้เหมาะต่อบริบทและสถานการณ์
การประเมินแนว DE จึงตรงกันข้ามกับการประเมินแนวทำตามมาตรฐาน ที่ต้องมีสูตรสำเร็จ และดำเนินการตามนั้นอย่างเข้มงวด
หลักการแปดประการที่ใช้สำหรับ DE ที่ M. Q. Patton ตกผลึกออกมาได้แก่
นัก DE ต้องรู้จักหลักการทั้ง ๘ ประการนี้ อย่างเชื่อมโยงผสมผสานกัน ให้เกิดการเสริมพลังกัน กล่าวคือ แต่ละหลักการไม่ได้อยู่อย่างแยกตัว แต่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน
หลักการที่ ๑ เป้าหมายอยู่ที่การพัฒนา
ทำหน้าที่ช่วยทีมพัฒนานวัตกรรม โดยชี้ให้เห็นสิ่งที่ก่อตัวขึ้น ว่าเป็นนวัตกรรม หรือการปรับปรุง หรือการเปลี่ยนเชิงระบบ และความหมาย หรือสิ่งที่จะเกิดตามมา คืออะไร
หลักการที่ ๑ เน้นที่เป้าหมายอันทรงคุณค่า (purpose) โดยเป้าหมายอันทรงคุณค่าของทีม DE คือ สนับสนุนการพัฒนานวัตกรรม ผ่านการสร้างความกระจ่าง แจ้งข้อมูล และสนับสนุน ทีมพัฒนานวัตกรรม ด้วยการทำความเข้าใจธรรมชาติ (nature) และ รูปแบบ (pattern) ของพัฒนาการ รวมทั้งความหมายต่อการดำเนินการ และผลที่เกิดตามมา ของรูปแบบ นั้นๆ
เขาสรุปว่า สามารถแบ่ง DE ออกได้เป็น ๕ ชนิด คือ (๑) ประเมินการพัฒนาวิธีใหม่ในการแก้ปัญหา (๒) ให้ข้อมูลแก่กระบวนการปรับปรุงโปรแกรมการพัฒนาให้เหมาะต่อบริบทใหม่ (๓) ปรับปรุงหลักการที่ใช้ได้ดีเพื่อนำไปใช้ในบริบทใหม่ (๔) สนับสนุนการเปลี่ยนระบบใหญ่ รวมทั้งการเปลี่ยนข้ามระบบ ยกระดับผลกระทบ (๕) พัฒนาการตอบสนองอย่างเร็วในสถานการณ์วิกฤติ
รายละเอียดของ DE ห้าชนิดแสดงในตาราง
ประเด็นของการพัฒนาตามแต่ละชนิดของ DE | ธรรมชาติของนวัตกรรม | บทบาท/คุณค่า ของ DE | หลักการสำคัญ |
๑ พัฒนาวิธีการใหม่ ใช้กับปัญหาสำคัญ | สร้างวิธีการใหม่ ที่มีนวภาพ (originality) | ทำความชัดเจนเรื่ององค์ประกอบของนวัตกรรม ตรวจสอบสัมฤทธิผล, ผลที่ไม่คาดคิด, และสิ่งที่ผุดบังเกิด ในกระบวนการนวัตกรรม |
|
๒ ปรับปรุงพัฒนาต่อเนื่อง | ปรับปรุงวิธีการ แนวทาง หรือโปรแกรม ที่มีอยู่แล้ว ให้เหมาะสมต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป หรือต่อความรู้ใหม่ หรือต่อลูกค้าใหม่ | ทำความชัดเจนต่อธรรมชาติของนวัตกรรมเชิงปรับปรุง ส่วนใดทำต่อ ส่วนใดต้องเปลี่ยน ปฏิสัมพันธ์ของส่วนคงที่กับส่วนเปลี่ยนเป็นอย่างไร ช่วยขับเคลื่อน double-loop learning |
|
๓ ยกระดับผลกระทบ โดยปรับหลักการและวิธีดำเนินการนวัตกรรม ในบริบทใหม่ | นำนวัตกรรมที่ใช้การได้ดีแล้ว ไปปรับใช้ในบริบทใหม่ หรือขยายบริบท เท่ากับเป็นการสร้างนวัตกรรมในบริบทใหม่ | ทำความชัดเจนว่าบริบทที่แตกต่างกันมีผลต่อการสร้างนวัตกรรมเชิงปรับปรุงอย่างไร มีการแชร์ธรรมชาติ, ความรุนแรง, และผลที่ตามมาจากการปรับปรุง จากบริบทหนึ่งไปยังบริบทหนึ่ง อย่างกว้างขวาง |
|
๔ สร้างการเปลี่ยนแปลงในระบบ หรือข้ามระบบ | สร้างนวัตกรรมผ่านการเปลี่ยนแปลงปฏิสัมพันธ์ โลกทัศน์ และขอบเขต ภายในระบบ หรือข้ามระบบ | ติดตาม, mapping, และตีความการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ ทั้งภายในระบบและข้ามระบบ สนับสนุนการปรับตัวเพื่อให้เอื้อต่อการเกิดนวัตกรรม เมื่อพบว่าเริ่มมีการปรับตัวเชิงระบบ |
|
๕ พัฒนาการตอบ สนองอย่างเร็ว ในสถานการณ์วิกฤติ | “สร้างไปใช้ไป” ปรับปรุงนวัตกรรมเพื่อใช้งานในวิกฤติทางการเมือง, สังคม, และเศรษฐกิจ | ติดตาม, ทำเอกสาร, และให้ real-time feedback เกี่ยวกับความท้าทายที่ผุดบังเกิด, ความต้องการเร่งด่วน, การเคลื่อนตัวของทรัพยากร, และ alignment ของการดำเนินการในสถานการณ์ที่สับสนผันผวน |
|
หลักการที่ ๒ ดำเนินกิจกรรมการประเมินอย่างเข้มงวดจริงจัง
ตั้งคำถามซอกแซก (probing questions) ร่วมกิจกรรมด้วยบทบาทและความคิดเชิงประเมิน ตั้งคำถามต่อสมมติฐาน ใช้ตรรกะเชิงประเมิน ใช้วิธีการที่เหมาะสม และยึดมั่นอยู่กับข้อเท็จจริง โดยเก็บข้อมูลจริงจัง นำมาตีความ และรายงาน
DE ดำเนินการบนฐานข้อมูลหลักฐาน (empirically driven) ดังนั้นจึงต้องมีการเก็บข้อมูลด้วยวิธีการที่น่าเชื่อถือ หากไม่มีการเก็บข้อมูล, ตีความ, และรายงาน ไม่ถือว่าเป็น DE และไม่ถือว่าเป็นการประเมินแบบอื่นๆ ด้วย คือในการประเมินต้องมีการเก็บข้อมูลด้วยวิธีการที่ให้ความแม่นยำ และตรงประเด็น
DE เป็นการประเมินแบบจริงจังเข้มงวด ไม่ใช่เป็นการประเมินแบบผิวเผิน แต่ความเข้มงวดจริงจังนั้นไม่ได้ขึ้นกับวิธีการแบบใดแบบหนึ่งอย่างเคร่งครัด สามารถเลือกวิธีการให้เหมาะสมต่อสถานการณ์ได้ และที่สำคัญยิ่งกว่าคือ ความเข้มงวดจริงจังไม่ได้ขึ้นกับวิธีการเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นกับกระบวนการประเมินตลอดเส้นทาง คือตั้งแต่การคิดกรอบสมมติฐาน, การค้นหา, ตรวจสอบ, และวิเคราะห์ข้อมูล การร่วมกันตีความหาความหมายของข้อค้นพบ การตั้งคำถาม, ทดสอบ, ตรวจสอบซ้ำ ต่อผลที่ได้ และต่อข้อสรุป ความเข้มงวดจริงจังอยู่ที่การทำงานร่วมกับทีมปฏิบัติงานนวัตกรรมในขั้นตอนข้างต้น โดยใช้วิธีคิดเชิงประเมินหลากหลายแบบ ได้แก่ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ, คิดสร้างสรรค์, คิดเชิงออกแบบ, คิดเชิงอนุมาน (inferential), คิดเชิงยุทธศาสตร์, และคิดเชิงปฏิบัติ
คิดเชิงประเมินอย่างเข้มงวดจริงจัง หมายความว่า มีเป้าหมายเชิงคุณค่าชัดเจน มีความชัดเจนว่ากำลังทำเพื่อใคร เพื่อใช้งานอะไร ซึ่งจะนำไปสู่การจัดลำดับความสำคัญของคำถาม, การออกแบบ, การเลือกวิธีการที่เหมาะสม รวมทั้งการเลือกวิธีประมวลข้อมูล และยังรวมไปถึงความตระหนักต่อเรื่องคุณค่า, จริยธรรม, ความเข้าใจบริบท, และความเข้าใจจุดแข็งและจุดอ่อนของการประเมิน
ความเข้มงวดจริงจังของการประเมินแบบ DE จึงมีหลายมิติ มิติสำคัญที่สุดคือความเข้มงวดจริงจังทางปัญญา โดยต้องระมัดระวังไม่ตกหลุมความเข้มงวดตายตัวของการวิจัย ที่เขาเรียกว่า research rigor mortis ซึ่งแปลตรงตัวได้ว่า ความแข็งทื่อดั่งศพของการวิจัย
สรุปได้ว่า ความน่าเชื่อถือ และคุณประโยชน์ของ DE ขึ้นอยู่กับความเข้มงวดจริงจังของการคิดเชิงประเมิน ผสมกับการมีวิธีการประเมินที่เหมาะสมและดำเนินการอย่างเข้มงวดจริงจัง
โปรดสังเกตว่า หลักการที่ ๑ เน้น การพัฒนา (development) และหลักการที่ ๒ เน้นการประเมิน (evaluation) สองหลักการแรกจึงเป็นแกนของชื่อ DE
หลักการที่ ๓ มุ่งการนำไปใช้ประโยชน์
พุ่งเป้าตลอดการประเมินไปที่การใช้ประโยชน์โดยกลุ่มผู้ใช้ อำนวยกระบวนการประเมินเพื่อการใช้ประโยชน์อย่างแท้จริง
DE เป็นการประเมินชนิดหนึ่งในกลุ่ม “การประเมินที่เน้นการใช้ประโยชน์” (utilization-focused evaluation) ดังนั้นจึงต้องกำหนดไว้ตั้งแต่ต้นว่า เป้าหมายหลักของการใช้ประโชน์ (intended use) คืออะไร และใครบ้างเป็นกลุ่มผู้ใช้ประโยชน์หลัก (primary intended users)
เพื่อให้นักประเมินแบบ DE สามารถส่งมอบผลได้อย่างมีคุณภาพ นักประเมินต้องทำความรู้จักกลุ่มผู้ใช้ประโยชน์หลักของโครงการเป็นอย่างดี ในลักษณะ “รู้เขา” อย่างลึก เพราะจะต้องทำงานร่วมกันภายใต้สภาพที่อาจจะลุ่มๆ ดอนๆ ต้องรับฟังกัน ต้องอดทนกัน ต้องรู้ใจกัน เพื่อฟันฝ่าสภาพความซับซ้อน และการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่คาดฝันร่วมกันได้
หลักการที่ ๔ เน้นที่นวัตกรรม
ดำเนินการชี้แจงว่ากระบวนการและผลการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวข้องกับนวัตกรรม และการปรับตัวอย่างไร
ทีม DE ทำหน้าที่เก็บข้อมูล, จัดทำเอกสาร, ตีความ, และให้ข้อมูลป้อนกลับ เกี่ยวกับกระบวนการและผลลัพธ์ของนวัตกรรม
นวัตกรรม (innovation) และการปรับตัว (adaptation) เป็นคำหลวมๆ ที่ต่างคนต่างก็ตีความไม่เหมือนกัน นักประเมินแนว DE จึงควรหาโอกาสทำความเข้าใจในกลุ่มผู้เกี่ยวข้อง ว่าแต่ละคนตีความคำว่านวัตกรรมอย่างไร เพื่อให้เมื่อทำงานร่วมกันไปเรื่อยๆ และต้องทำงานตีความเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบใคร่ครวญสะท้อนคิดร่วมกัน จะได้เข้าใจความหมายของแต่ละคน
นวัตกรรมอาจอยู่ในรูปของกิจกรรมริเริ่มใหม่, โปรแกรม, โครงการ, นโยบาย, ความร่วมมือ, และการดำเนินการ สิ่งที่เรียกว่านวัตกรรมสังคมไม่ได้อยู่ที่รูปแบบ หรือโครงสร้าง แต่อยู่ที่ความแตกต่างจากสภาพปัจจุบัน ว่ามากน้อยเพียงใด และธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างไร เช่นหากนโยบายเปลี่ยนจาก top-down เป็น bottom-up ถือว่าเกิดนวัตกรรมด้านนโยบาย
ปัญหายากยิ่ง (wicked problems) เป็นโอกาสสร้างนวัตกรรมในการแก้ปัญหา เพราะเป็นปัญหาที่ยุ่งยากซับซ้อนมาก จึงต้องการการดำเนินการแก้ไขผ่าน learning loops เป็นเปลาะๆ และเป็นโอกาสของ DE หัวใจคือต้องเอาใจใส่บริบท และตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
สรุปได้ว่า พื้นที่ที่นวัตกรรมกำลังจะเกิดขึ้น หรืออย่างน้อยมีความพยายามทำให้เกิด เป็นพื้นที่แห่งโอกาสของ DE
หลักการที่ ๕ ใช้โลกทัศน์ของความซับซ้อน
ทำความเข้าใจ และตีความ DE ผ่านมุมมองของความซับซ้อน (complexity) และดำเนินการประเมินตามนั้น ซึ่งหมายความว่าเป็นการทำงานบนยอดคลื่นของความซับซ้อน ใช้ความเป็นจริงและพลวัตของความซับซ้อนชี้นำยุทธศาสตร์พัฒนานวัตกรรม, การปรับตัว, และการเปลี่ยนระบบ ใช้ตีความสิ่งที่พัฒนาขึ้น ใช้ปรับปรุงการออกแบบการประเมิน และใช้วิเคราะห์ข้อค้นพบสิ่งที่ผุดบังเกิด
ตามหลักการของความซับซ้อน ทุกขั้นตอนของ DE จะต้องปรับไปตามสถานการณ์ของโครงการพัฒนานวัตกรรม เมื่อนวัตกรรมค่อยๆ เผยตัวขึ้น ขั้นตอนดังกล่าวของ DE ได้แก่ แผน จุดมุ่งหมาย และเป้าหมาย
ในระบบที่ซับซ้อนและเป็นพลวัต ตัวแปรจำนวนมากและหลากหลายมีปฏิสัมพันธ์กันในสภาพที่ไม่แน่นอนและคาดเดาไม่ได้ นำไปสู่ผลที่ไม่ดำเนินเป็นเส้นตรง มีความปั่นป่วนผันผวน และการผุดบังเกิด ทำให้มีความไม่แน่นอนว่าจะเกิดผลอะไร การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในหลายมิติและหลายทิศทาง ความเห็นที่ต่างกัน หรืออาจถึงขนาดขัดแย้งกัน ของผู้เกี่ยวข้อง ว่าควรดำเนินการอย่างไรต่อ อาจเพิ่มความยุ่งยากปั่นป่วน และความไม่แน่นอน ยิ่งขึ้น
แต่ในท่ามกลางสภาพดังกล่าว อาจมีเค้ารางของ “สิ่งผุดบังเกิด” (emergence) ให้เห็น โดยทีม DE ต้องหมั่นสังเกต และมีทักษะในการสังเกตเห็น
หลักการที่ ๖ คิดกระบวนระบบ (systems thinking)
ใช้การคิดกระบวนระบบตลอดการทำงาน เอาใจใส่ปฏิสัมพันธ์, มุมมอง, ขอบเขต, และประเด็นอื่นๆ ของระบบสังคม รวมทั้งบริบท ที่กำลังมีการพัฒนานวัตกรรม และกำลังดำเนินการ DE
หลักความซับซ้อน กับหลักการคิดกระบวนระบบ เป็นหลักการพื้นฐานของ DE ที่ช่วยให้นักประเมินแนว DE ใช้ทำความเข้าใจพลวัตของการพัฒนานวัตกรรม
การคิดกระบวนระบบช่วยให้แนวทางทำความเข้าใจปัจจัยเกี่ยวข้องในหลากหลายมิติ เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยเหล่านั้น รวมทั้งเข้าใจปฏิสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นบนเส้นทางของกระบวนการพัฒนานวัตกรรม ช่วยให้นักพัฒนานวัตกรรมและนักประเมินแนว DE ร่วมกันคิด เพื่อร่วมกันทำความเข้าใจในมิติที่ลึก ว่าการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบกำลังเกิดขึ้นหรือไม่ อย่างไร มากเพียงใด และไปในทิศทางใด
การคิดกระบวนระบบช่วยเปิดโลกทัศน์ของผู้คนให้กว้างขึ้น ไม่ตกเป็นเหยื่อของ “ความจริงที่ถูกจำกัดขอบเขต” (nested reality)
สรุปได้ว่า การคิดกระบวนระบบมีความจำเป็นอย่างขาดเสียมิได้ เพื่อใช้วางกรอบ ออกแบบ และหาข้อสรุป ในกิจกรรม DE
หลักการที่ ๗ ร่วมสร้าง (co-creation)
ร่วมกันพัฒนานวัตกรรมและการประเมิน ในลักษณะที่ถักทอเข้าด้วยกัน, พึ่งพาต่อกันและกัน, ทำซ้ำแล้วซ้ำอีก, และร่วมสร้าง ซึ่งหมายความว่า การประเมินกลายเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสร้างการเปลี่ยนแปลง
ทีม DE ทำงานสร้างความตระหนัก บันทึก รายงาน และสะท้อนคิดในเส้นทางการทำงานพัฒนานวัตกรรม จนในที่สุดทีมประเมินกลายเป็นส่วนหนึ่งของทีมปฏิบัติงานสร้างนวัตกรรม คือทำให้เกิดความร่วมมือในการทำงานของทีมปฏิบัติงานพัฒนานวัตกรรม กับทีมประเมินประดุจเป็นเนื้อเดียวกัน ในสภาพนั้น ทีมประเมินเชิง DE ทำหน้าที่เอื้อให้เกิดการคิดเชิงประเมิน, มีการให้ feedback โดยมีข้อมูลประกอบ และ ณ เวลาที่เหมาะสม, และมีกระบวนการตีความหาความหมาย เพื่อนำไปใช้ในการสร้างนวัตกรรม และการปรับตัว
ทีมประเมินและทีมปฏิบัติงานยังร่วมกันคิดหลักการ, ออกแบบ, และทดสอบวิธีดำเนินการใหม่ สำหรับหนุนกระบวนการปรับตัว การเปลี่ยนแปลง และนวัตกรรม
ความร่วมมือไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะในกลุ่มผู้ปฏิบัติงานสร้างนวัตกรรม และทีมประเมินเท่านั้น ยังมีผู้เกี่ยวข้องจากหลากหลายบทบาททำหน้าที่ผู้ “ร่วมสร้าง” ด้วย ได้แก่ ผู้สนับสนุนทุน ผู้สนับสนุนในชุมชน และอื่นๆ
เพื่อให้เกิดการ “ร่วมสร้าง” อย่างมีพลัง หลักการที่ใช้ชี้ทิศทางการทำงานของทีมดำเนินการ กับหลักการของทีมประเมินแนว DE ต้องสอดคล้องกัน ไปในทิศทางเดียวกัน หรือสอดรับกัน
สรุปว่า เมื่อมีการใช้ DE อย่างเต็มที่ DE จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของนวัตกรรม
หลักการที่ ๘ ให้ข้อมูลป้อนกลับเหมาะแก่กาล
ให้ feedback ณ เวลาเหมาะสมต่อการปรับตัว เมื่อความต้องการ ข้อค้นพบ และความเข้าใจชัดแจ้ง โผล่ออกมา ไม่ใช่ให้ตามเวลาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
นี้คือเรื่องของการกระทำที่ “เหมาะต่อกาละ” (timeliness) ซึ่งหมายความว่าเหมาะต่อธรรมชาติของนวัตกรรมที่กำลังพัฒนา และตรงความต้องการของกลุ่มผู้ใช้หลัก (primary intended users) ความเหมาะต่อกาละมาจากผลการวิเคราะห์สถานการณ์ และการต่อรอง ไม่ได้มาจากกำหนดการตายตัว เพราะในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนนี้ ร่องรอยของนวัตกรรมอาจโผล่ออกมาอย่างรวดเร็วก็ได้ อย่างช้าๆ ก็ได้ คือโผล่ออกมาในจังหวะที่ไม่สม่ำเสมอ และอาจเกิดซ้ำได้
หลักการสำคัญคือ ในสถานการณ์ที่มีความซับซ้อนและปรับตัวอยู่ตลอดเวลานั้น ผลการประเมินดำรงอยู่เป็นระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น การให้ข้อมูลป้อนกลับจึงต้องทันกาล เพื่อให้ผู้ใช้นำไปใช้ประโยชน์
บูรณาการหลักการชี้นำ
การประเมินแนว DE ต้องใช้หลักการทั้ง ๘ นี้ ทุกหลักการ โดยต้องใช้อย่างมีไหวพริบ รู้จริตของผู้เกี่ยวข้อง เช่น ผู้ร่วมงานบางคนอาจเกลียดคำว่า complexity ก็ไม่ต้องเอ่ยคำนั้น แต่เอ่ยคำว่า การผุดบังเกิด (emergence), การปรับตัว (adaptation), หรือ สภาพที่ไม่เป็นเส้นตรง (nonlinearity) แทน คือต้องใช้หลักการแบบไม่ติดคำศัพท์ ใช้ความหมายของหลักการเป็นหลัก
วิจารณ์ พานิช
๑๓ ส.ค. ๖๓
ไม่มีความเห็น