เราสร้างการมีส่วนร่วมกันแบบไหน?
“การมีส่วนร่วม” เป็นคำที่ใหญ่มาก หลายฝ่ายก็ใช้กันอุตลุต กลายเป็นแฟชั่นไปก็มี แทนที่จะหันมาทำความเข้าใจคำๆนี้จริงๆ อันนี้ถ้าเราไม่หยุดทบทวนซะบ้าง มันก็ทำให้เราเป็นคนหยาบๆ คือนึกจะใช้คำอะไรก็ใช้ไปโดยขาดความชัดเจนในเรื่องนั้น อันนี้ก็เป็นความประมาทที่จะส่งผลข้างเคียงตามมา
ก่อนอื่นต้องเข้าใจเจตจำนงของคำๆนี้ ผมเข้าใจว่าเป็นคำที่เกิดขึ้นในยุคสมัยไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา เป็นคำที่เกิดในยุคที่คนแสวงหาประชาธิปไตย เพราะตระหนักดีว่าระบอบเผด็จการมันไปต่อไม่ได้ ก็เลยมีคำว่า “ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม” สำทับต่อท้ายเข้าไปอีกทีให้หนักแน่นขึ้นว่า เฮ้ย ไม่ใช่มุ่งประชาธิปไตยแบบตัวแทนหรือผู้แทนนะ เราต้องเน้นที่การมีส่วนร่วมของประชาชนอันเป็นหัวใจ อันนี้เป็นที่มาที่ไปของคำ คือ มุ่งป้องกันและแก้ไขการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จของผู้นำ หรือแม้แต่คนที่เป็นตัวแทน
เวลาใช้คำว่า “การมีส่วนร่วม” จึงต้องระวังอย่าไปติดกับผู้นำ ผู้ที่เป็นตัวแทน แต่จะเลี่ยงอย่างไร ระวังอย่างเรา เราก็หนีไม่พ้นโครงสร้างกลไกผู้แทนเหล่านั้น ข้อดีมันก็มีนะครับ คือ สะดวก ง่าย รวดเร็ว คุยกับคนไม่ต้องเยอะ แต่อย่างว่า ข้อด้อยมันก็มี หนึ่ง ถ้าผู้นำไม่เอาด้วยก็แย่ หรือเจอประเภทเขี้ยวลากดินก็ต้องต่อรองกันหลายยก แต่ที่แน่ๆ ผู้นำไม่มีทางรู้ทุกเรื่อง ต่อให้เป็นตัวแทนในเรื่องนั้นๆมานานเท่าไรก็ตาม ก็มีด้านมีมุมที่ไม่รู้ หรือหลงคิดว่ารู้ แบบ “กูแน่” อันนี้เยอะ เป็นธรรมดา
เวลาผมลงภาคสนามผมเลยให้น้ำหนักกับการมีส่วนร่วมทั้งสองแบบ คือ แบบกลุ่มผู้นำ กับแบบชาวบ้านทั่วไป เพื่อ cross check กัน ถ้ายังไม่แน่ใจก็หาข้อมูลจากที่อื่นมาเสริม อาจจะเป็นมุมมองจากคนภายนอก จากหนังสือ ตำรา ต่างๆ วิเคราะห์สังเคราะห์ประกอบกันเป็นชุดความรู้เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ
พักหลังมานี่ อาจจะด้วยอายุที่เยอะขึ้น ก็จะหาช่วง Slow down วางใจให้สงบ เพื่อใคร่ครวญ สอบทานการเรียนรู้และความคิดตัวเองว่าเจือด้วยอคติชุดใดบ้าง กิเลสชนิดไหนบ้าง ก็ยังไม่ถึงกับบรรลุอะไร แค่เริ่มต้นฝึกและทำชีวิตกับการงานอย่างรู้เท่าทัน เห็นนอกแล้วเห็นในที่สัมพันธ์กันได้บ้าง ก็ถือว่าเป็นความสนุก เป็นเสน่ห์ที่ได้เรียนรู้อยู่ภายในลึกๆ
กลับมาที่การมีส่วนร่วม ที่เป็นคำใหญ่ เอาล่ะ เราเห็นการมีส่วนร่วมในสองรูปแบบใหญ่แล้ว คือ ร่วมทางตรงผ่านตัวแทน โดยเฉพาะในเวทีประชุมต่างๆ และร่วมอีกแบบเป็นร่วมทางตรง เช่น พูดคุยทำ focus group , คุยในวงน้ำชา ในร้านตัดผม , คุยผ่านไลน์ , Facebook หรือแม้แต่การตั้งวงนินทา เหล่านี้คือรูปแบบของการมีส่วนร่วมทั้งสิ้น ถ้าเรารู้จักใช้ รู้จักทำ KM จะจัดการความรู้ตรงนี้ได้มาก
นอกจากนี้ ทั้งสองรูปแบบยังมีระดับการมีส่วนร่วมที่ตื้น-ลึกต่างกันไป จากประสบการณ์ของผมนี่ แบ่งลวกๆออกเป็น ร่วมในระดับห่างๆ คือตัวเสนอแต่ตัวเองไม่ทำนะ หรือระดับกลางๆ คือ ร่วมแบบเป็นหุ้นส่วน เสนอความเห็นด้วยและร่วมทำด้วย หรือระดับลึก คือ ร่วมเป็นกัลยาณมิตร อันนี้จะลึกกว่าเพราะมีมิตรภาพ ความพออกพอใจที่ได้ร่วมมือกัน มีมิติชีวิตเข้าไปเกี่ยวด้วย และมีลักษณะอาสาเข้ามาช่วยแบบผู้นำที่มีใจรับใช้ (Service Leader) ไม่ใช่มีแต่พันธกิจงานอย่างสองระดับแรก
เวลาจัดเวทีการมีส่วนร่วมก็ดี การใช้ชีวิตประจำก็ดี หรือการสื่อสารออนไลน์อยู่ในขณะนี้ก็ดี ถ้าใคร่ครวญดูดีๆ เราจะพบมิติของการมีส่วนร่วมเหล่านี้อยู่ตลอด และปัจจัยความสำเร็จในการสร้างการมีส่วนร่วมนั้นไม่ใช่การขยายจำนวนผู้มีส่วนร่วมแบบ Supporter/Follower หากแต่เป็นการหนุนเสริมหรือโค้ชคนขึ้นมาเป็น Service Leader ซึ่งถึงจะมีไม่มาก แต่จะเป็นแม่เหล็กสำคัญที่สร้างการเปลี่ยนแปลงได้มากกว่าสองช่องแรก
อันนี้เป็นแนวคิดจากประสบการณ์ของผมนะครับ ไม่ได้บอกว่ามันจะถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ เพียงแต่อยากจะนำเสนอและโน้ตเอาไว้ เพื่อให้เห็นร่องรอยการเรียนรู้ ที่อาจจะมีใครสนใจและร่วมก่อการก่อเกื้อไปด้วยกัน
มีโอกาสคราวหน้าจะมาโพสต์เรื่อง Approach หรือวิธีในการสร้างการมีส่วนร่วม ซึ่งสำคัญไม่น้อยกว่าเนื้อหาและรูปแบบครับ
ไม่มีความเห็น