จากประสบการณ์การเป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัยมาอย่างโชกโชนในช่วงเวลากว่าสี่สิบปี ผมตกผลึกว่าในสมัยก่อน สภามหาวิทยาลัยถูกใช้เป็นตรายาง ให้ลงมติรับรองเรื่องที่ฝ่ายบริหารเสนอเข้ามา นานๆ ครั้งจึงจะไม่เห็นชอบ เดี๋ยวนี้การใช้เป็นตรายางก็ยังคงอยู่ แต่มีวิธีใช้แบบอื่นๆ เพิ่มหรือเสริมขึ้น
เวลานี้ กรรมการสภามหาวิทยาลัยต้องเข้าไปร่วมในกระบวนการกำกับดูแลมากขึ้น นอกเหนือจากการเข้าประชุมสภามหาวิทยาลัยเดือนละครั้ง หรือสองเดือนครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ที่เป็นบุคคลภายนอก และมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญต่างด้านกัน จะต้องเป็นอนุกรรมการด้านต่างๆ เช่นด้านการเงิน ด้านการตรวจสอบ ด้านความเสี่ยง ด้านวิชาการ เป็นต้น เพื่อนำเอาความเชี่ยวชาญของกรรมการฯ มาช่วยให้คำแนะนำแก่ผู้ปฏิบัติงาน
จึงขึ้นกับว่า ในคณะอนุกรรมการเหล่านี้ ฝ่ายบริหารมหาวิทยาลัยชงเรื่องทำนองไหนเข้าสู่ที่ประชุม ฝ่ายบริหารที่อ่อนแอจะชงเรื่องงานประจำมาให้ ในขณะที่ฝ่ายบริหารที่เก่งจะชงเรื่องเชิงพัฒนา ที่มีความเสี่ยงสูง หรือตัดสินใจยาก หรือต้องการมุมมองหลายๆ มุม
ไม่นับบางมหาวิทยาลัยฝ่ายบริหารหาทางตั้งกรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นพวกพ้อง ขอกันได้ หรือมีผลประโยชน์ร่วมกัน ในกรณีเช่นนั้นมหาวิทยาลัยนั้นก็จะเดินปในทางเสื่อม
ผมเคยพบในมหาวิทยาลัยชั้นนำ ที่ผู้บริหารระดับคณะพยายามหาพวกตอนสรรหากรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อดันพรรคพวกของตนเข้าไปเป็น เพื่อถางทางให้ตนเองขึ้นสู่อำนาจ โชคดีที่ในมหาวิทาลัยแบบนั้น คนในมหาวิทยาลัยรู้ทันกัน
วิจารณ์ พานิช
๑๕ ส.ค. ๖๓
ไม่มีความเห็น