อาอึ้มถูกส่งตัวมาแต่งงานที่เมืองไทย
อาอึ้ม(หมายถึงป้า) บ้านอยู่ตรงข้ามกับผู้เขียนบันทึก เล่าให้ฟังว่า
ตอนอายุได้ 15 ปี ถูกส่งให้มาเมืองไทยโดยมีคนรู้จักพามา มาตามความเห็นชอบของผู้ใหญ่ที่ต้องการให้มาแต่งงานกับอาแป๊ะ(สามี) ที่เมืองไทย อาแป๊ะเป็นคนดี เคยมีภรรยามาแล้ว แต่ภรรยาเสียชีวิตหลังจากคลอดลูกชายได้ไม่นาน
อาอึ้มมาอยู่กับอาแป๊ะที่ศรีย่าน ซึ่งอาศัยอยู่กับครอบครัวคนรู้จักกัน อาแป๊ะเป็นคนมีฝีมือเรื่องทำอาหาร นอกจากอาอึ้มจะดูแลลูกชายอาแป๊ะแล้ว อาแป๊ะยังทำกุนเชียงให้ไปขายที่ตลาดศรีย่าน ตอนนั้นอาอึ้มยังพูดและฟังภาษาไทยไม่ค่อยได้ และไม่เคยค้าขายมาก่อน เลยขายไม่ค่อยเป็น
ชีวิตตอนนั้นลำบากมาก หากินค่อนข้างยาก ครอบครัวที่อาศัยอยู่เป็นคนดีมากให้การช่วยเหลือทุกอย่าง ช่วยเลี้ยงดูลูกให้ยามที่ไม่อยู่บ้าน
ที่ศรีย่านอาอึ้มได้ลูกสาวหนึ่งคน ลูกชายหนึ่งคน รวมเป็น 3 คน
อาแป๊ะตัดสินใจย้ายมาแก่งคอย ตามคำชวนของญาติที่มาอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว
มาถึงที่นี่ก็เริ่มจากอาชีพรับจ้างทั่วไป อาอึ้มต้องช่วยอาแป๊ะทำงาน เคยแบกน้ำแข็งมาส่งร้านค้า น้ำแข็งตอนนั้นเป็นก้อนใหญ่ แล้วมาเลื่อยเป็นมือเล็กๆ หนึ่งก้อนใหญ่เลื่อยได้ประมาณ 5ื มือเล็ก น้ำแข็งจะถูกหุ้มห่อด้วยถุงกระสอบข้าวสารที่ทอจากปอกระเจา ทบอีกชั้นด้วยขี้เลื้อยไม้ ทำเป็นชั้นๆป้องกันไม่ให้ละลาย หนักมากเวลาขน
เมื่อมีเงินเก็บเป็นทุนได้ อาแป๊ะเริ่มทำธุรกิจตนเอง โดยการหาบของไปแลกเปลี่ยนสินค้ากับชาวบ้านที่อยู่ตามตำบลที่ไกลออกไป หรือชาวบ้านที่อยู่ด้านหลังเขา ที่ไม่สะดวกที่จะออกมาตลาดเหมือนชาวบ้านที่อยู่ริมน้ำที่มากับเรือได้
ในหาบจะมี ขนม ของเล่นเด็ก เสื้อผ้า น้ำตาล น้ำปลา วุ้นเส้นและของใช้อื่นๆ เดินข้ามเขาตัดเข้าไปยังหมู่บ้าน เชิญชวนให้ชาวบ้านมาแลกเปลี่ยนสินค้ากัน
สินค้าที่ชาวบ้านนำมาแลกจะเป็นของในไร่ เช่น ข้าว ข้าวโพด ละหุ่ง ผลไม้ และของป่าอื่นๆ
การแลกเปลี่ยนสินค้าเป็นไปตามความพอใจที่ตกลงกันเอง แล้วนำสินค้าที่ได้มาขายต่อที่ตลาดแก่งคอย
ทำได้ไม่นานตลาดแก่งคอยก็ถูกไฟไห้มเผาผลาญหมดในสงครามโลกครั้งที่ 2
ตลาดใหม่เริ่มเกิดขึ้นมาแทน มีทหารมาประจำการอยู่ที่นี่จำนวนมากมาย อาแป๊ะมองเห็นโอกาสหาอาชีพใหม่
อาแป๊ะเริ่มชีวิตใหม่โดยเปิดร้านขายอาหารไทย ต้มยำ ต้มเปื่อย ต้มแซบ ลาบเลือดและอื่นๆ เรียนรู้การทำอาหารเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจากลูกค้าที่มากินอาหารแนะนำให้
ชีวิตกำลังดูจะดีขึ้น แต่น่าเสียดายที่ไม่นานต่อมาอาแป๊ะต้องเสียชีวิตลงด้วยถูกงูพิษกัดตาย
ต่อมาอีกไม่นานลูกชายคนเล็กก็เสียชีวิตตามด้วยอาการไข้สูงตัวร้อนจัด ตอนนั้นยังไม่มีหมอรักษา ไม่มีสุขศาลาและอนามัย
อาอึ้มต้องรับหน้าที่ทำแทนทุกอย่าง อาหารขายดี แต่เก็บเงินไม่ค่อยได้ เพราะลูกค้าที่มากินส่วนใหญ่เป็นทหารและชาวบ้านต่างถิ่นที่เดินทางมา มีการโต้เถียงกันระหว่างกินอาหาร บางครั้งถึงกับล้มโต๊ะให้กระจัดกระจาย แล้วถือโอกาสเดินจากไปโดยไม่จ่ายเงินค่าอาหาร เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นบ่อยจนดูเหมือนว่าตั้งใจให้เกิดเพื่อไม่ต้องจ่ายเงิน
ผู้บันทึกจำได้ว่า
ตอนเด็กๆจะเห็นคนตีกันที่ร้านอาอึ้มประจำ
ผู้บันทึกชอบเอาหัวมัน หัวเผือก เม็ดขนุน เม็ดมะขาม มะกรูด มาอบไว้ใต้เตาถ่านที่ร้านอาหารอาอึ้ม ทิ้งไว้นานพอควรให้สุกแล้วเอามากินกัน
มะกรูดเอามาสระผม สมัยนั้นใช้แต่มะกรูดแทนยาสระผมโดยนำมาเผาก่อน
อีกสิ่งหนึ่งที่ผู้บันทึกจำได้ ตอนนั้นยังเด็กมาก ชอบมานั่งเล่นใต้โต๊ะอาหารลูกค้า เล่นคนเดียวตามจินตนาการเด็กๆ เห็นกระดาษสีแดงสวยๆหล่นอยู่ใต้โต๊ะ ก็นำมาพับเล่น พับได้สวยพอแล้วก็วิ่งเอากลับมาให้แม่ (ผู้บันทึก) ดู แม่ตกใจมากซักว่าเอามาจากไหน เป็นแบงก์ร้อย อาอึ้มบอกว่าน่าจะเป็นของลูกค้าทำหล่นไว้ เมื่อไม่มีเจ้าของมาถามคืน ก็ตกลงกันว่าจะเอาไปทำบุญแทน
อาอึ้มเหนื่อยจากการทำอาหารขาย ที่เกิดการโต้เถียงกันขึ้นบ่อยๆของลูกค้าแล้วเดินออกไปโดยไม่จ่ายเงิน ด้วยเห็นว่าอาอึ้มเป็นผู้หญิงและเป็นคนจีนด้วย (คนจีนจะมีความกลัวทหาร)
อาอึ้มเลิกขายอาหารเปลี่ยนมาขายเสื้อผ้าสำเร็จรูปแทน โดยมีลูกสาวโตพอที่จะช่วยค้าขายได้และเรียนการตัดเย็บเสื้อผ้าพร้อมกับรับจ้างตัดเย็บเสื้อผ้าให้ลูกค้า
อาอื้มเคยนั่งรถไฟไปซื้อของที่กรุงเทพฯขากลับนั่งรถไฟผิดขบวนเพราะอ่านหนังสือไทยไม่ออก รถไฟแยกจากภาชี ไปสายเหนือ โชคดีที่คนนั่งข้างมาด้วยเป็นคนบ้านหมอ แนะนำให้
อาอื้มลงบ้านหมอ ช่วยเป็นธุระให้จนขึ้นรถสายเหนือมาลงภาชี และยังฝากคนตัดตั๋วช่วยเป็นธุระต่อ จนมาถึงแก่งคอยเช้าวันรุ่งขึ้น อาอื้มบอกผู้บันทึกว่าคิดถึงคนที่อยู่บ้านหมอมาก ถ้าเขาได้ช่วยก็คงหาทางกลับไม่ถูก
ชีวิตอาอึ้มเริ่มสบายขึ้น มีเวลาว่างก็จะสวดมนต์ไห้วพระ ทั้งที่อ่านหนังสือไม่ออก แต่ใช้วิธีจำเอาเป็นหลัก จำจนสวดได้คล่องและสวดตลอดทั้งวันเมื่อมีเวลาว่าง
อาอึ้มได้พบกับความสุขในบั้นปลายของชีวิตได้ลูกสะใภ้ดีคอยดูแลในยามแก่เฒ่า
สำหรับผู้บันทึก..
อาอึ้มเป็นคนซื่อและใจดีมากชอบสวดมนต์ไห้วพระ ลูกสาวอาอึ้มอายุแก่กว่าผูับันทึก 1 รอบปี ครอบครัวเราทั้งสองสนิทกันมากและยังติดต่อกันตลอด โดยเริ่มจาก
รุ่นแรก รุ่นพ่อแม่ที่เป็นชาวจีนโพ้นทะเล
รุ่นสอง รุ่นลูกสาวอาอึ้มกับผู้เขียนบันทึก
รุ่นสาม รุ่นลูกของเราทั้งคู่
เราติดต่อกันมา 3 รุ่นแล้า ไปมาหาสู่กันตลอดและหวังว่าจะมีรุ่นต่อๆไปสืบทอดต่ออีก
สุนีย์ สุวรรณตระกูล ผู้บันทึก
ไม่มีความเห็น