เช้าวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๖๒ ผมออกไปเดินออกกำลังกายพร้อมกับฟังวิทยุจุฬา เอฟเอ็ม ๑๐๑.๕ มีข่าวครูในภาคอีสานหลายจังหวัด ชุมนุมเรียกร้องไม่ให้ยุบโรงเรียนขนาดเล็ก เพราะตนเองสอบเป็นผู้บริหารโรงเรียนได้ รอมานาน และอ้างว่านักเรียนเสียผลประโยชน์ ซึ่งฟังได้ที่ (๑)
ทำให้ผมเขียนบันทึกนี้
ตามที่ผมได้ยินมา การยุบโรงเรียนขนาดเล็กเป็นมาตรการพัฒนาระบบการศึกษา เพื่อประโยชน์ของนักเรียน ให้ได้เรียนอย่างมีคุณภาพ เกิดผลลัพธ์การเรียนรู้ระดับสูง โดยที่ไม่ได้ยุบ หรือควบรวม แบบสุ่มสี่สุ่มห้า มีการคิดไตร่ตรองภายใต้หลักการที่รอบคอบ
เป็นตัวอย่างของกระบวนการทางการเมือง ที่จะต้องพัฒนาระบบต่างๆ ให้มี EQE – Equity, Quality, Efficiency ซึ่งในระบบการศึกษา ประเทศไทยต้องการการพัฒนาทั้งสามประเด็นอย่างยิ่ง ปล่อยไว้อย่างเดิมไม่ได้แล้ว เพราะปัจจุบันนี้ระบบการศึกษาที่อ่อนแอ เป็นตัวบ่อนทำลายคุณภาพของพลเมืองในอนาคต
เป็นกรณีที่เกิดขึ้นจริง ตามรายงาน World Development Report 2018 (๒) ที่บอกว่ามีปัจจัยดึงดูดความสนใจทางนโยบายออกไปจากปัจจัยหลักทางการศึกษา คือ learning จะเห็นว่าตามในข่าว ผู้เรียกร้องไม่ได้พูดโยงไปถึง learning แต่พูดถึงผลประโยชน์ของตนเองเป็นหลัก
ผมจึงขอเสนอว่า สังคมไทยต้องการงานวิจัยระบบการศึกษา และสื่อสารกับสังคมอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง ชี้ให้ประชาชนทั่วไปเห็น (โดยมีหลักฐานจากผลงานวิจัย) ว่ามีประเด็นสำคัญอะไรบ้างที่ต้องทำ เพื่อฟื้นคุณภาพการศึกษาไทยให้ได้
เพื่อให้คนไทยมีสายตายาว มองภาพเชิงระบบเป็น ไม่ตกอยู่ใต้แรงกดดันเพื่อผลประโยชน์ส่วนบุคคลหรือส่วนกลุ่ม สังเวยด้วยผลประโยชน์ระยะยาวของสังคม
ที่จริงขณะนี้ เราก็มีผลงานวิจัยเรื่องนี้อยู่บ้าง น่าจะนำมาสื่อสารต่อสังคมไทยให้เข้าใจผลบวกผลลบ และวิธีการจัดการโรงเรียนขนาดเล็กอย่างสมเหตุสมผล โดยผมได้ส่งอีเมล์เสนอแนะผู้เกี่ยวข้องแล้ว
วิจารณ์ พานิช
๑๙ ส..ค. ๖๒
ไม่มีความเห็น