ในการประชุมคณะอนุกรรมการของสภามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ในเรื่องการประเมินผู้บริหารสูงสุด คืออธิการบดี ตกลงกันว่าจะแยกการประเมินเพื่อต่างเป้าหมายออกจากกัน คือ (๑) ประเมินเพื่อพัฒนา (๒) ประเมินเพื่อให้ความดีความชอบประจำปี
โชคดีที่ในคณะอนุกรรมการนี้มีผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาบุคลากรจากนิด้าอยู่ด้วย ท่านให้ความเห็นว่า ไม่ว่าการประเมินเพื่อเป้าหมายใดในสองแบบ ต่างก็ต้องการให้ส่งผลสุดท้ายไปยังความเจริญก้าวหน้าขององค์กรทั้งสิ้น
ท่านบอกว่า (และผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง) ว่า การประเมินผลงานเพื่อความดีความชอบที่การขึ้นเงินเดือนอย่างที่ใช้กันอยู่ในวงราชการและกึ่งราชการ มีข้อจำกัดมากในด้านการสร้างแรงจูงใจ (motivation) ต่อผู้บริหาร จึงมีระบบการตอบแทนความดีความชอบตามผลงานเป็นรายปี ที่ไม่ผูกพันกับเงินเดือน และเนื่องจากผลงานของผู้ปฏิบัติงานมักไม่ใช่แค่ทำคนเดียว มักต้องทำงานเป็นทีม จึงควรพิจารณาให้การตอบแทนความดีความชอบรายปีในลักษณะคล้ายโบนัสเป็นทีมด้วย
ระบบโบนัสนี้มีข้อดีที่ไม่ผูกมัดภาระทางการเงินระยะยาว ต่างจากการขึ้นเงินเดือน
มีการหารือกันว่า ภารกิจของผู้บริหารมหาวิทยาลัยในยุคที่จะต้อง transform มหาวิทยาลัยอย่างรุนแรง และต้องเร็วด้วย อธิการบดีต้องไม่ใช่แค่บริหารตามโครงสร้างและกระบวนการทำงานแบบเดิมๆ แต่ต้องสร้างระบบใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิมด้วย ถ้าไม่ระวัง การประเมินจะอยู่บนฐานของโครงสร้างและกระบวนการทำงานแบบเดิม การประเมินอธิการบดีจึงกลายเป็นกลไกขัดขวางการเปลี่ยนแปลงไป โดยไม่รู้ตัว
จึงตกลงกันว่า การประเมินอธิการบดีจะให้น้ำหนักที่การบริหารสองด้าน คือบริหารการเปลี่ยนแปลง กับบริหารงาน ในสัดส่วนที่หากให้ผมตัดสิน ผมให้ ๗๐ : ๓๐ แต่จะให้ ๕๐ : ๕๐ ไปก่อนก็ได้
การประเมินผลงานการบริหารการเปลี่ยนแปลงน่าจะใช้เครื่องมือ OKR (Objective + Key Results) เอาข้อมูลผลงานและกระบวนการที่ใช้มาเสวนากันระหว่างอธิการบดีกับทีมประเมิน ทุกๆ ๓ เดือน แล้วรายงานสภามหาวิทยาลัย
วิจารณ์ พานิช
๑๑ ก.ย. ๖๒
ไม่มีความเห็น