วันนี้ผมว่ายน้ำเสร็จ ก็ขับรถออกมาทางซอยทานสัมฤทธิ์ ไม่ลืมที่จะแวะซื้อสับปะรดข้างทางร้านขาประจำไปทานเช่นเคย
มองซ้าย ขวา หน้า หลัง แล้วค่อยๆจอดรถเทียบไหล่ทาง จอดเสร็จ ก็ได้ยินเสียง
"โครม" นึกในใจ "เอาอีกแล้วรึนี่ วันก่อนก็ถอยรถไปชนเสา แผลยังไม่ลบหาย แต่คราวนี้เราไม่น่าจะเป็นคนขับไปชนหรอก"
มองไปทางต้นเสียงด้านข้ายข้างรถ เห็นคุณยายคนหนึ่ง อายุน่าจะเฉียดๆ 80 กำลังยักแย่ยักยัน จูงรถเครื่อง 3 ล้อ ที่ผู้อาวุโสมักชอบขับไปจ่ายตลาดกัน
สำนึกแรกที่ทำคือ รีบเปิดประตูรถลงไปช่วยคุณยายประคองรถให้เข้าที่ แล้วยกมือไหว้แกพร้อมกล่าวคำขอโทษอย่างนอบน้อม
สายตาคุณยายที่มองผมเมื่ิอก้าวแรกที่ลงจากรถดูถมึงทึง พร้อมที่จะเอาเรื่อง ด้วยแกคงคิดว่าผมขับรถไปชนแก แต่พอเห็นกิริยานอบน้อม เข้าช่วยเหลือ ยกมือไหว้ ขอโทษขอโพย โดยไม่ต้องไปคิดว่าใครผิดใครถูก อารมณ์แกก็เย็นลง ยิ้มให้ผม ผมจึงกล่าวต่อ
"อาวุโสด้วยกันตาก็ไม่ค่อยดี ขอโทษนะครับคุณยาย" แกยิ้มและเลิกแว่นขึ้นดู
"อายุเท่าไรแล้วล่ะ" แกถามขึ้นมา
"70 แล้วครับ" ผมตอบ แกหัวเราะหึๆ
"แก่ด้วยกันจริงๆ ไม่เป็นไร ไม่มีอะไรเสียหายหรอก"
ก่อนจากกัน ผมยกมือไหว้แกอีกครั้ง พร้อมบอกคุณยายว่า "ขับช้าๆนะครับ" แกหันมายิ้มให้อีกครั้งก่อนขับรถค่อยๆคลานออกไปจนลับตา
พอแกจากไป แม่ค้าขายสับปะรดก็หัวเราะ บอกว่า "แกถอยรถวิ่งไปชนเอง"
ที่อยากเอาบทเรียนนี้มาเล่าแลกเปลี่ยนกัน ก็เพราะเหตุการณ์บนท้องถนนเช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ บางรายก็ลงมาโต้เถียงกัน ด้วยฤทธิ์โทสะ ต่างโทษกันว่าอีกฝ่ายผิด บางคู่ถึงขั้นชกต่อย ตบตี และยิงกันตายก็มีมาแล้ว
คำขอโทษเพียงคำเดียว และการยิ้มให้กัน ทำไมจึงหลุดออกจากปากและทำกันยากจัง หรือกลัวว่า ถ้าขอโทษแล้วจะเป็นหลักฐานว่าเราผิด ยอมรับผิด
เรื่องผิดหรือถูกเป็นเรื่องพิจารณากันทีหลัง ต้องดูหลักฐานประจักษ์พยานกันต่อ เมื่อผ่านเหตุการณ์ช่วงแรกไปแล้ว
จึงอยากบอกคนหนุ่มคนสาว วัยฉกรรจ์ทั้งหลายว่า บ้านเมืองเรานับวันแต่จะมีผู้สูงอายุมากขึ้น และการขับรถก็เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้สมองผู้อาวุโสตื่นตัวในทุกส่วนตามที่หมอแนะนำ ดังนั้นเรื่องเล่านี้น่าจะเป็นข้อคิดข้อเตือนใจได้บ้างนะครับ
ไม่มีความเห็น