ลงโทษนักเรียน นักศึกษาอย่างไร จึงจะไม่ถูกผู้ปกครองฟ้องร้องเอาความผิด


การลงโทษนักเรียนนักศึกษาที่จะพ้นผิดหรือจะไม่ถูกผู้ปกครองฟ้องร้องความผิด ครูต้องลงโทษตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการลงโทษนักเรียนนักศึกษา และประการสำคัญ ค้อ ไม่ลงโทษเกินกว่าเหตุ ลงโทษด้วยจิตเมตตา ปรารถนาจะให้เป็นคนดีต่อไป

https://www.facebook.com/RutanThaiPBS/videos/1843800235949363/

ลงโทษนักเรียน นักศึกษาอย่างไร
จึงจะไม่ถูกผู้ปกครองฟ้องร้องเอาความผิด

ดร.ถวิล อรัญเวศ

ทุกวันนี้มักจะมีข่าวจากวิทยุโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์กรณีที่ครูลงโทษนักเรียนเกินกว่าเหตุจนผู้ปกครองร้องเรียนผ่านสื่อต่างๆ เพื่อฟ้องร้องเอาความผิดกับครู จึงอยากจะนำเรื่องการลงโทษนักเรียนมาเล่าสู่กันฟัง เพื่อเป็นการทำ PLC เรื่องนี้ หรืออย่างน้อยก็จะทำให้ครูเราได้ระมัดระวังสำหรับที่จะลงโทษนักเรียน ต้องลงโทษให้ถูกต้องกับระเบียบที่ได้เปลี่ยนแปลงไป

การลงโทษนักเรียนนั้น มีจุดประสงค์หลักเพื่อให้นักเรียนที่ถูกครูลงโทษต้องเข็ดหลาบหริอหลาบจำ และไม่ทำพฤติกรรมเช่นนั้นอีกต่อไป โดยต้องการให้มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปในทางที่ถูกต้องดีงาม

แนวคิดการลงโทษเป็นความจำเป็นในการสร้างคนให้มีคุณภาพ ถึงกับมีคำกล่าวว่า

“รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี” และเมื่อเอ่ยถึงคำว่า “ไม้เรียว”เชื่อว่าเราคงจะเคยผ่านการอบรมบ่มเพาะจากโรงเรียน หรือสถาบันการศึกษามาอย่างเข้มข้นคงได้เคยสัมผัสและรู้จักรสชาติของไม้เรียวแล้วบ้างโดยเฉพาะคนรุ่นก่อนๆ

ถ้ามองย้อนกลับไปถึงนัยของการทำโทษนักเรียนนักศึกษาในอดีต ดูเหมือนจะถูกทำโทษด้วยไม้เรียวกันเป็นประจำจนเป็นเรื่องปกติและเมื่อมีงานเลี้ยงรุ่นของบรรดาศิษย์เก่าของโรงเรียนต่างๆ ที่มารวมตัวกันต่างนำเรื่องการโดนไม้เรียวหรือการทำโทษต่างๆ เช่น
เดินเป็ด ขนมจีบ สองเกลียวบิดพุง
คาบไม้บรรทัด ขว้างด้วยแปลงลบกระดาน
วิ่งรอบสนาม ให้ล้างส้วม ให้ทำงานหนักอื่น ๆ และที่หนักมากที่สุดคือ การเฆี่ยนตีหน้าเสาธง หรือ
หน้าชั้นเรียน

เรื่องการลงโทษและถูกทำโทษด้วยวิธีแปลกๆ นี้เมื่อเวลาผ่านไป ได้ถูกนำมาพูดกันอย่างสนุกสนาน ยิ่งถ้าครูคนไหนดุหรือทำโทษบ่อยมากๆ ก็จะเป็นที่จดจำของบรรดาลูกศิษย์ ซึ่งอาจเป็นทั้งที่รักและที่เกลียดชังด้วยก็มีการทำโทษด้วยการใช้ไม้เรียวเฆี่ยน ตี หรือ การทำโทษด้วยวิธีการต่าง ๆ ที่เกิดเป็นความบอบช้ำไม่เฉพาะด้านร่างกายเท่านั้นยังส่งผลต่อด้านจิตใจของนักเรียนและผู้ปกครองอีกด้วย

จึงมีคำถามตามมาว่า ครูควรลงโทษแบบไหน ถึงจะเรียกว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสม

คำตอบที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดก็คือ ครูควรมีจิตสำนึกของความเป็นครูอันเป็นแนวคิดพื้นฐานที่ครูควรตระหนัก เพราะหากมีการทำโทษด้วยจิตสำนึกดังกล่าวถึงแม้ว่าจะออกมาในรูปแบบของการเฆี่ยนตี แต่ก็ด้วยความมุ่งหมายที่ต้องการให้ผู้เรียนเข็ดหลาบ หรือหลาบจำไม่ต้องการให้มีพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์เช่นนั้นอีก นักเรียนหรือผู้ปกครองอาจจะยอมรับได้ ยกเว้นการเฆี่ยนตีเกินกว่าเหตุ ใช้อารมณ์โกรธ หรือมีอารมณ์โกรธมาจากเรื่องอื่นแต่มาลงกับนักเรียนก็คงจะไม่เหมาะสม

ปัจจุบันจิตสำนึกของครู (บางคน) อาจจะขาดหายไปจึงเกิดกรณีเป็นข่าวในเรื่องการทำโทษนักเรียนหรือนักศึกษาจนเกินกว่าเหตุ และเมื่อพิจารณาแล้วการทำโทษในบางครั้งแทบจะไม่มีเยื่อใยความผูกพันระหว่างความเป็นครูกับศิษย์ให้เห็นเลย

ฉะนั้น จึงเป็นปัญหาตามมา และทำให้มีการร้องเรียนครูถึงกับต้องถูกลงโทษทางวินัย หรือให้ย้ายครูคนนั้นออกจากโรงเรียนก็มี

ลงโทษนักเรียนอย่างไรจึงจะไม่ถูก
ผู้ปกครองฟ้องร้องความผิด

ในความรู้สึกในใจของผู้ปกครองหลายคน คงจะมีความคิดที่ว่า

“ถึงจะห่วงแสนห่วง
สักเพียงใด
ก็วางใจ
เมื่อได้มาอยู่
กับคุณครู”



การลงโทษนักเรียนนักศึกษาที่จะพ้นผิดหรือจะไม่ถูกผู้ปกครองฟ้องร้องเอาความผิด ครูต้องลงโทษตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการลงโทษนักเรียนนักศึกษา และประการสำคัญคือ ไม่ลงโทษเกินกว่าเหตุ ลงโทษด้วยจิตเมตตา ปรารถนาจะให้เป็นคนดีต่อไป

ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการลงโทษนักเรียนและนักศึกษา พ.ศ. 2548

วิธีการลงโทษ สาระสำคัญดังนี้

ข้อ 4. …“การลงโทษ” หมายความว่า
การลงโทษนักเรียนหรือนักศึกษาที่กระทำความผิด โดยมีความมุ่งหมายเพื่อการอบรมสั่งสอน

ข้อ 5 โทษที่จะลงโทษแก่นักเรียนหรือนักศึกษาที่กระทำความผิด มี 4 สถาน ดังนี้

1. ว่ากล่าวตักเตือน
2. ทำทัณฑ์บน
3. ตัดคะแนนความประพฤติ
4. ทำกิจกรรมเพื่อให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

ข้อ 6 ห้ามลงโทษนักเรียนและนักศึกษาด้วยวิธีรุนแรง หรือแบบกลั่นแกล้ง หรือลงโทษด้วยความโกรธหรือด้วยความพยาบาท โดยให้คำนึงถึงอายุของนักเรียนหรือนักศึกษา และความร้ายแรงของพฤติการณ์ประกอบการลงโทษด้วย
การลงโทษนักเรียนหรือนักศึกษาให้เป็นไปเพื่อเจตนาที่จะแก้นิสัยและความประพฤติไม่ดีของนักเรียนหรือนักศึกษาให้รู้สำนึกในความผิดและกลับมาประพฤติตนตนในทางที่ดีต่อไป โดยให้ผู้บริหารโรงเรียน หรือผู้ที่ผู้บริหารโรงเรียนมอบหมายเป็นผู้มีอำนาจในการลงโทษ นักเรียนนักศึกษา


ข้อ 7. การว่ากล่าวตักเตือน ใช้ในกรณีนักเรียนหรือนักศึกษากระทำความผิดไม่ร้ายแรง


ข้อ 8. การทำทัณฑ์บนใช้ในกรณีนักเรียนหรือนักศึกษาที่ประพฤติตนไม่เหมาะสมกับสภาพนักเรียนหรือนักศึกษาตามกฎกระทรวงว่าด้วยความประพฤตินักเรียนและนักศึกษา หรือกรณีทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงและเกียรติศักดิ์ของสถานศึกษาหรือฝ่าฝืนระเบียบของสถานศึกษา หรือได้รับโทษว่ากล่าวตักเตือนแล้ว แต่ยังไม่เข็ดหลาบ
การทำทัณฑ์บนให้ทำเป็นหนังสือ และเชิญบิดามารดาหรือผู้ปกครองมาบันทึกรับทราบความผิดและรับรองการทำทัณฑ์บน ไว้ด้วย

ข้อ 9. การตัดคะแนนความประพฤติ ให้เป็นไปตามระเบียบปฏิบัติว่าด้วยการตัดคะแนนความประพฤตินักเรียนและนักศึกษาของแต่ละสถานศึกษากำหนดและให้ทำบันทึกข้อมูลไว้เป็นหลักฐาน

ข้อ 10 การทำกิจกรรมเพื่อให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมใช้ในกรณีที่นักเรียนและนักศึกษากระทำความผิดที่สมควรต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
การจัดกิจกรรมให้เป็นไปตามแนวทางที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด ซึ่งก่อนหน้าปี 2542 กระทรวงศึกษาธิการมีระเบียบลงโทษนักเรียนที่อนุญาตให้ครูใช้ไม้เรียวตีนักเรียนได้แต่พอหลังจากปี 2542 มีระเบียบลงโทษนักเรียน ห้ามลงโทษนักเรียนโดยการตี และล่าสุดจากระเบียบข้างต้นโดยปรับปรุงระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วย เรื่องการลงโทษนักเรียนและนักศึกษา ประกาศ ณ วันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2548 กำหนดบทลงโทษไว้อย่างชัดเจน คือ

ว่ากล่าวตักเตือน
ทำทัณฑ์บน
ตัดคะแนนความประพฤติ และ
ทำกิจกรรมเพื่อปรับพฤติกรรม
เท่านั้น

นั่นหมายความว่าครูไม่ควรลงโทษนักเรียนและนักศึกษาด้วยวิธีการอื่นๆ นอกเหนือจาก 4 มาตรการนี้

การลงโทษนักเรียนและนักศึกษาที่เหมาะสม
การลงโทษควรเป็นวิธีการสุดท้ายสำหรับครู/อาจารย์ที่จะพึงกระทำต่อผู้เรียน และการทำโทษต้องอยู่บนเจตนาของความต้องการแก้ไขพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเท่านั้น การทำการบ้านผิด ตอบคำถามผิด หรือมีการเรียนที่ล่าช้า ไม่สมควรได้รับการลงโทษด้วยวิธีการที่รุนแรงมาก

ครู อาจารย์หลายท่าน ได้แสนอความเห็นไว้ว่าในอดีตการทำการบ้านผิด ตอบคำถามผิด หรือการเรียนที่ล่าช้า จะถูกทำโทษจากครู/อาจารย์อย่างรุนแรงด้วยการเฆี่ยน ตี หรือทำร้ายร่างกายด้วยวิธีการต่าง ๆ
การลงโทษที่เหมาะสมในยุคปัจจุบันจึงควรละเว้นการทำร้ายร่างการและจิตใจ วิธีการต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการทำร้ายร่างกายอย่างสิ้นเชิง ความผิดต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอันเป็นผลจากกระบวนการเรียนการสอนนั้นต้องได้รับการแก้ไขด้วยกระบวนการเรียนการสอนและการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เหมาะสม
ถ้านักเรียนหรือนักศึกษาทำความผิดที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนและสมควรต้องได้รับการลงโทษครู/อาจารย์ควรหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบในการแก้ไขพฤติกรรมด้วยการทำร้าย ร่างกายหรือจิตใจ ด้วยประการทั้งปวง เช่น การลงโทษด้วยการเฆี่ยน ตี หรือด่าว่าด้วยถ้อยคำที่กระทบความรู้สึกทางจิตใจอย่างรุนแรง

ครู/อาจารย์ควรให้ผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงดำเนินการจะดีกว่า เช่น พ่อแม่ ผู้ปกครอง หรือเจ้าหน้าที่บ้านเมืองจากหน่วยงานที่รับผิดชอบในการแก้ไขความประพฤติของ เยาวชน หรือคนในสังคม ซึ่งเจ้าหน้าที่เหล่านั้นเป็นผู้มีความรู้ความเข้าใจและมีความชำนาญในกระบวนการและวิธีการลงโทษตามลักษณะของพฤติกรรมที่ควรได้รับการลงโทษ เพราะครู/อาจารย์ไม่ได้รับการฝึกอบรมหรือได้รับการสั่งสอน มาให้เป็นผู้พิจารณาโทษและลงโทษผู้เรียนอย่างเป็นระบบ
การตัดสินลงโทษของครูจึงอาจจะมีความผิดพลาดได้ง่าย หากครูมีสภาพจิตใจที่ไม่ปกติแล้วมาระบายออกใช้อารมณ์กับนักเรียน หรือใช้ความรู้สึกของตนเองตัดสินเป็นสำคัญ ยิ่งถ้าครูเป็นผู้เกี่ยวข้องและมีส่วนกับการการทำผิดของผู้เรียนด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ความเป็นธรรมและความชอบธรรมลดลงมาก ครูควรหมดหน้าที่ลงโทษผู้เรียนด้วยการทำร้ายร่างกายและจิตใจของผู้เรียนจะเป็นสิ่งที่ดีมาก


สรุป


การลงโทษนักเรียน ก็เพื่ออบรมสั่งสอนหรือเพื่อให้นักเรียนที่ถูกครูลงโทษเข็ดหลาบ ไม่ทำพฤติกรรมเช่นนั้นอีกต่อไป มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปในทางที่ถูกต้องดีงามตามที่สังคมกำหนดเป็นความจำเป็นในการสร้างคนให้มีคุณภาพ ครูควรจะลงโทษตามแนวทางระเบียบว่าด้วยการลงโทษนักเรียนที่ได้ปรับปรุงแก้ไขฉบับปัจจุบัน ปี 2548 โดยโทษที่จะลงโทษแก่นักเรียนหรือนักศึกษาที่กระทำความผิด มี 4 สถาน คือว่ากล่าวตักเตือน ทำทัณฑ์บน ตัดคะแนนความประพฤติ ทำกิจกรรมเพื่อให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ห้ามลงโทษนักเรียนและนักศึกษาด้วยวิธีรุนแรงหรือแบบกลั่นแกล้ง หรือลงโทษด้วยความโกรธ หรือด้วยความพยาบาท โดยให้คำนึงถึงอายุของนักเรียนหรือนักศึกษาและความร้ายแรงของพฤติการณ์ประกอบการลงโทษด้วย การลงโทษนักเรียนหรือนักศึกษาให้เป็นไปเพื่อเจตนาที่จะแก้นิสัยและความประพฤติไม่ดีของนักเรียนหรือนักศึกษาให้รู้สำนึกในความผิด และกลับมาประพฤติตนในทางที่ดีต่อไป
ให้ผู้บริหารโรงเรียนหรือผู้อำนวยการสถานศึกษา หรือผู้ที่ผู้บริหารโรงเรียนหรือผู้อำนวยการสถานศึกษามอบหมายเป็นผู้มีอำนาจในการลงโทษนักเรียน นักศึกษา การว่ากล่าวตักเตือน ใช้ในกรณีนักเรียนหรือนักศึกษากระทำความผิดไม่ร้ายแรง การทำทัณฑ์บน ใช้ในกรณีนักเรียนหรือนักศึกษาที่ประพฤติตนไม่เหมาะสมกับสภาพนักเรียนหรือนักศึกษาตามกฎกระทรวงว่าด้วยความประพฤตินักเรียนและนักศึกษา หรือกรณีทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงและเกียรติศักดิ์ของสถานศึกษาหรือฝ่าฝืนระเบียบของสถานศึกษา หรือได้รับโทษว่ากล่าวตักเตือนแล้ว แต่ยังไม่เข็ดหลาบ การทำทัณฑ์บน ให้ทำเป็นหนังสือและเชิญบิดามารดาหรือผู้ปกครองมาบันทึกรับทราบความผิดและรับรองการทำทัณฑ์บนไว้ด้วย การตัดคะแนนความประพฤติ ให้เป็นไปตามระเบียบปฏิบัติว่าด้วยการตัดคะแนนความประพฤตินักเรียนและนักศึกษาของแต่ละสถานศึกษากำหนดและให้ทำบันทึกข้อมูลไว้เป็นหลักฐาน ส่วนการทำกิจกรรมเพื่อให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ใช้ในกรณีที่นักเรียนและนักศึกษากระทำความผิดที่สมควรต้องปรับเปลี่ยน พฤติกรรม การจัดกิจกรรมให้เป็นไปตามแนวทางที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด ก่อนปี 2542 กระทรวงศึกษาธิการมีระเบียบลงโทษนักเรียน ที่อนุญาตให้ครูใช้ไม้เรียวเฆี่ยนตีนักเรียนได้ (ไม่เกิน 6 ที ที่ก้น) หลังจากปี 2542 เป็นต้นมา ได้มีระเบียบลงโทษนักเรียน ห้ามลงโทษนักเรียนโดยการตี และล่าสุด ระทรวงศึกษาธิการได้ออกระเบียบการลงโทษนักเรียนและนักศึกษา ประกาศ ณ วันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2548 กำหนดบทลงโทษไว้อย่างชัดเจน คือ ว่ากล่าวตักเตือน ทำทัณฑ์บน ตัดคะแนนความประพฤติ และทำกิจกรรมเพื่อปรับพฤติกรรมเท่านั้น นั่นหมายความว่าครูไม่ควรลงโทษนักเรียนและนักศึกษา ด้วยวิธีการอื่นๆ นอกเหนือจาก 4 มาตรการนี้ เพราะไม่เช่นนั้น อาจจะได้รับโทษหรือถูกฟ่องร้องกรณีลงโทษไม่ถูกระเบียบได้ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับโรงเรียนและผู้ปกครองว่าจะสร้างความเข้าอกเข้าใจกันได้เพียงไร จึงจะหาทางออกที่ดีงามได้ แต่ถ้าการลงโทษที่กระทำโดยยึดตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการที่แก้ไขเป็นปัจจุบันก็จะทำให้ผู้ปกครอง ไม่สามารถฟ้องร้องความผิดกับครูได้ หรือกรณีได้สร้างความเข้าใจอันดีงามระหว่างนักเรียนและผู้ปกครองแล้ว ผู้ปกครองอาจจะไม่ฟ้องร้องเอาผิดกับผู้บริหารและครูได้เพราะลงโทษด้วยเมตตาจิตหวังจะให้เป็นพลเมืองดีในสังคมต่อไป

---------------------

หมายเลขบันทึก: 667764เขียนเมื่อ 7 กันยายน 2019 01:51 น. ()แก้ไขเมื่อ 7 กันยายน 2019 01:56 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท