หลังจากชีวิตบริจาคหนังสือไปเนืองๆ จนแทบไม่เหลือ แต่อุปนิสัยก็หาใหม่มาเรื่อย ได้มาก็แจกไป 10 กว่าปีที่ผ่านมาการอ่านลดลง เน้นการปฏิบัติดูจิตดูใจ การอ่านจึงอาจเป็นเพียงการรีวิวเพื่อตรวจสอบความเข้าใจในสิ่งที่ผุดขึ้นว่าให้ความหมายตรงกันไหม
เมื่อวานลอง Note ความคิดไว้ว่า
ถ้ามีหนังสือ 1 หมื่นเล่ม
อ่านวันละ 1 เล่ม ประมาณ 27 ปี 4 เดือนถึงจะอ่านจบเป็นอย่างต่ำ
ตอนนี้อายุ 46 ปี
แสดงว่าประมาณอายุ 73 ปีอ่านหมด
แม่เจ้าอ่านจนแก่เฒ่าเลยล่ะ
แต่ดูลักษณะหนังสือแล้วเป็นไปไม่ได้เลยที่จะอ่านจบวันละหนึ่งเล่ม
วันนี้แอบได้มาอีก 5 เล่ม
ยังไม่รวมที่ดองไว้อีก
คงต้องเร่งแล้วล่ะ
หรือเช้านี้สะท้อนคิดในตนเองว่า
การกลับมาสัมผัส “หนังสือ” ดีดีมากมายอีกครั้ง
ทำให้ฉันเกิดการตื่นรู้ปลุกพลังด้านในให้พุ่งไปข้างหน้าด้วยสภาวะ ที่เรียกว่า Inspiration นั่นสะท้อนได้ว่า Passion ที่นอนเนื่องอยู่ในจิต ไม่เคยหยุดทำงาน
ตัวรู้ผุดขึ้นมาว่า
“ทุกวันนี้คนอ่านน้อยลง วิถีการอ่านเปลี่ยนไป แล้วเราจะสามารถส่งเสริมอุปนิสัยการอ่านให้แฝงฝังในดวงจิตเป็นนิสัยอันยาวนานให้ผู้คนได้อย่างไร”
หลายๆเดือนที่ผ่านมา
เกิดปิ๊งแว้ปขึ้นมาว่า “การอ่าน” อย่างเดียวน่าจะไม่ได้ผลดีเท่ากับ “อ่านและเขียน” เพราะการเขียน คือ การทำ Self-Reflection ขณะที่อ่านจิตจะเป็นสมาธิ และเมื่ออ่านจบลงมือเขียนสะท้อนสิ่งที่ได้เรียนรู้ จะช่วยให้เกิดการจัดระบบโครงสร้างทางปัญญาชัดขึ้นว่า “เกิดการเรียนรู้อะไร หรือตัวรู้อะไรบ้างจากการอ่านนั้น” หรืออาจผุดเกิดเป็น New Knowledge หรือ New Mindset ในกระบวนการเรียนรู้นี้ได้
ฝึกฝนบ่อยๆ จิตจะจดจำ
ทักษะด้านในจะเกิดขึ้น การฝึกฝนในตนเองจะเป็นแบบเนียนในวิถีไม่แยกส่วน “สมาธิ-ปัญญา” โอกาสเกิดขึ้นทุกขณะจิต
#SelfReflection
28-06-62
พี่เกษียณแล้ว มาเลือกหนังสือมากองรวมกันเพื่อเตรียมอ่าน ปรากฏว่ายังไม่ได้อ่านผ่านมา 1 ปี ยังอ่านแต่งานวิจัยให้น้องๆและนักศึกษาเช่นเดิม
ดูเพลินครับ ;)…