ต้มกะทิหอยกลม เรือจม และเกาะแตน


เวลาน้ำทะเลลงเต็มที่ มันก็จะถึงเวลาที่ผมเฝ้ารอคอย

หากมองจากชายหาดบ้านท้องกรูด ตำบลตลิ่งงามของเกาะสมุย ออกไปนั้น เราจะมองเห็นเกาะแตนอยู่ด้านหน้า 

พวกผู้ใหญ่ผู้เฒ่าบอกผมว่า เกาะแตนคือเกาะที่ไม่มีหมาอยู่สักตัว ไม่มีใครรู้ว่าทำไม ผมไม่เคยขึ้นไปเดินเล่นบนเกาะแตนนี้หรอก เพราะหากพูดถึงเรื่องทะเลและเรือ ก็มักจะได้ยินเสียงปฏิเสธจากแม่อย่างแข็งขัน 

น่าแปลก 

แปลกที่แม่เป็นลูกของไต๋ก๋งด้วยซ้ำ แต่แม่กลับเป็นคนที่กลัวทะเล แม่ไม่ได้กลัวน้ำ แต่แม่กลัวการจมน้ำเสียมากกว่าใคร

ในชีวิตแม่มีการสูญเสียทางเรือครั้งหนึ่งที่อยู่ในความทรงจำ

วันที่ ๖ สิงหาคม ปี พ.ศ.๒๕๑๙ 

ช่วงเวลาที่ผมกำลังเป็นเด็กวัยซน เรือโดยสาร “พันธุ์ธนูทอง” ซึ่งเป็นเรือนอน ๒ ชั้น ได้ออกจากท่าเรือบ้านดอนราวห้าทุ่มเหมือนทุกคืน 

เรือโดยสารที่มีระวางบรรทุกทั้งคนและสินค้าเพื่อขนส่งไปยังเกาะสมุย บางลำไปถึงเกาะพงัน บางลำไปไกลจนถึงเกาะเต่า แต่ในคืนนั้น พันธุ์ธนูทองคือลำที่ต้องไปสมุย 

ในบรรดาผู้โดยสารทั้งหมดนั้น มีทวดของผม “ทวดแดง” ท่านเป็นตาของแม่ และมีหลวงปู่แดง ได้โดยสารในเรือลำนั้นออกมาจากท่าเรือด้วยกัน

หลวงปู่แดงคือเกจิภิกษุรูปสำคัญของชาวสมุย แม่เล่าว่า มีคนเคยเห็นหลวงปู่แดงเดินบิณฑบาตจากวัดแหลมสอ ซึ่งเป็นแหลมยื่นออกไปในทะเลหันเข้าหาเกาะแตน ท่านเดินเหยียบน้ำทะเลลัดจากวัดมาถึงหน้าหาดท้องกรูด “ท่านเดินบนน้ำได้” แม่บอก

ผมเชื่อว่าแม่ไม่เคยเห็นการเดินบนน้ำของท่านหรอก และผมก็เชื่ออีกว่า แม่ ยายและทวดของผม ล้วนเชื่อถึงเรื่องเล่านั้นว่ามันคือเรื่องจริง ผมไม่ได้เรียกความเชื่อนี้ว่า “งมงาย” แต่มันคือ “ศรัทธา” 

ค่ำมืดดึกดื่นไร้แสงจันทร์ในคืนนั้น เลิศไพบูลย์ ๕ ถูกระวางด้วยสินค้าอย่างมากมายจนเพียบลำเรือ มันถูกคนรุ่นหลังหรือคนที่รอดชีวิตวิจารณ์ตรงกัน ว่ามันบรรทุกเกินพิกัดระวาง

มีเพียงแสงไฟจากประภาคาร ดวงดาวบนท้องฟ้า เข็มทิศข้างพังงาเรือ และความชำนาญของนายท้ายเรือเท่านั้นที่ทำให้มันแล่นฝ่าความมืดออกไปได้อย่างทรนง

หลวงปู่แดงท่านได้อาศัยในส่วนของที่นอนบนชั้นสอง ซึ่งมีห้องส่วนตัว มิได้ปะปนอลเวงไปกับฆราวาสทั้งหลาย ท่านได้สั่งลูกศิษย์ว่า ท่านจะลงกลอนประตู ห้ามใครรบกวน ห้ามใครพยายามที่จะเปิดประตู ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดๆขึ้น นั่นเหมือนท่านจะได้หยั่งรู้แล้วว่า ชะตาชีวิตของตัวท่านเองและผู้โดยสารส่วนหนึ่งต้องละสังขารจากไป

พ้นสองยามไม่นาน ทุกชีวิตกำลังหลับไหล แสงในเรือถูกหรี่ลง เรือได้ฝ่าดงคลื่นตามปกติมาจนถึงร่องน้ำบริเวณหัวเกาะปราบ และเพียงชั่วเวลาหายใจเข้าออกหัวเรือได้ชนกับพื้นทะเลที่เขาเรียกว่าสันของร่องน้ำ มันทำให้เรือตะแคงและเอียงตัวตัว

“เรือจม” เสียงผู้คนเอะอะโวยวาย

ข้าวของ สินค้า และผู้คนล้วนเอียงไหลไปตามการเอียงของลำเรือ ห้องที่เป็นส่วนที่หลวงปู่แดงนอนอยู่นั้นเป็นด้านที่จมลงไปในน้ำ เรือไม่ได้จมลงทั้งลำเพราะความตื้นของพื้นท้องทะเลอ่าวไทย แต่ด้วยความมืด และความสับสน มันทำให้คนโดยสารจำนวนหนึ่งไหลลงไป ตกเรือ ดำผุดดำว่าย มีการสูญเสียเกิดขึ้นจำนวนหนึ่ง

หลวงปู่แดงมรณภาพติดอยู่ในห้องโดยสารที่ท่านคงกำหนดไว้แล้ว ทวดแดงของผมได้รับการช่วยเหลือจากเรือที่ได้รับการร้องขอละแวกใกล้เคียงและเรือของทางราชการ แต่ทวดแดงได้เสียขีวิตลงที่โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานีในอีกสามวันต่อมา

ผมไม่ค่อยจะแน่ใจนัก ว่าแม่กลัวทะเลเพราะเหตุนี้หรือเหตุไหน แต่การที่จะนั่งเรือหางยาวออกจากหาดท้องกรูดเพื่อไปยังเกาะแตนที่อยู่แสนใกล้นั้นมันคือ “ข้อห้าม” 

แต่ท้ายทึ่สุดผมก็ได้ไปนะ นั่นก็เมื่อโตแล้ว เรียนหมอแล้ว แต่ยังไม่ได้เมีย

ในวันนั้นพี่เขยได้นำเรือสปีดโบ๊ทออกไปเพื่อดำน้ำเล่นในละแวกเกาะแตน ผมได้ดำน้ำแบบสน๊อกเกิ้ลดูปลา ดูปะการัง ดูการแทงปลาของพวกพี่ๆ ได้แวะขึ้นไปนั่งพักบนหาดทรายเล็กๆแห่งหนึ่งเพื่อย่างปลาและกินข้าวมื้อเที่ยง

ผมจำได้ว่า พี่เขยได้เดินไปขุดทรายบริเวณหน้าหาด 

“ทำอะไร” ผมถาม

“หาน้ำกิน” เขาบอก

“ตลกแล้ว ขุดทรายห่างจากน้ำทะเลไม่ถึงสามฟุต จะมีน้ำจืดกินได้ไง” ผมรู้สึกว่าพี่ๆโง่

“นี่ไง ได้น้ำแล้ว แป๊ะลองกินดู” และคราวนั้น ผมกลับกลายเป็นตัวตลกในทีม เพราะน้ำที่ดื่มนั่นจืดสนิท ผมตะลึงตึงตึง “มันเป็นไปได้อย่างไร” คำอุทานหลุดปาก

“ตาน้ำมันไหลลงมาจากเขา มันแรงพอที่จะดันน้ำทะเลออกไปได้ไง” พี่เขยอธิบาย

นั่นคือเกาะแตนในความทรงจำ เกาะที่ไม่มีหมาอยู่เลยสักตัว 

...............

ชาวท้องกรูดจะรู้เวลาน้ำขึ้นน้ำลงโดยการดูดวงจันทร์ ดวงดาว ไม่ต้องใช้แอพพลิเคชั่นอย่างผม

พื้นท้องทะเลและชายหาดปนโคลนแบบนี้มันคือแหล่งอาหารอันอุดม 

ปูม้า สาหร่ายข้อ ปลา วาย (มันคือหมึกยักษ์ตัวเล็กๆ) หอยเม่น และหอย

เมื่อได้หอยกลมมาสัก ๒ ตัว เขาก็จะเอามันมากำไว้ในมือ เอาเปลือกหอยทั้ง ๒ ตัว มาสีกันให้เกิดเสียง “กรึ๊ดๆๆๆ” ตาจ้องลงไปบนผืนทรายโคลน เห็นฟองอากาศปุดขึ้นมาและทรายเคลื่อนตัว นั่นคือหอยกลมอีกตัวกำลังอ้าเปิดฝา 

“นั่นไง ได้มาอีกตัว” ผมหลับตาแล้วมองเห็นเด็กชายแป๊ะกำลังก้มลงเก็บหอยขึ้นมาตามคำบอกของพี่ๆ

พี่บางคนเก่งกว่านั้น พวกเค้าใช้วิธีเดินแล้วใช้นิ้วหัวแม่ตีนกดลงไปในผืนทราย สายตาก็จับจ้องลงบนทรายบริเวณรอบๆ เห็นปากฝาหอยอ้าออกมาเมื่อไหร่ ก็ได้เมื่อนั้น

เช้าวันนั้นได้หอยกลมมาตะกร้าเขื่อง

ล้างหอยให้สะอาด เขย่าให้มันคายทรายออกมา

ก่อไฟตั้งหม้อใส่กะทิลงไป

“ใช้ส่วนหัวหรือส่วนหางกะทิ” ผมถามพี่

“ใช้ส่วนกลาง” เธอตอบเร็วนัก

“ห๊ะ” ผมอุทาน

“ก็ส่วนกลางไง ไม่มีหัวไม่มีหาง นี่ใช้กะทิกล่องจ๊ะ” ออ ผมลืมไป นี่อยู่บนบกไม่ใช่สมุยสักหน่อย ใครจะมาคั้นหาน้ำกะทิกันอยู่

“ตั้งแต่กะทิเริ่มอุ่นไม่ทันแตกมัน ทุบหอมแดงใส่ลงไป ใส่กะปิหยิบมือ เกลือ และมะละกอ จากนั้นก็ใส่หอยกลมลงไป” เธอสาธยาย

“ใส่มะละกอทำไมเหรอ” ผมยังคงสงสัย เพราะดูว่ามันไม่น่าจะเข้ากันสักเท่าไหร่

“ใส่มะละกอลงไป จะได้เอามากินไง เค้าไม่กินเปลือกหอยกัน” ดูเอาเถิด คนตระกูลนี้เค้าคงเป็นแบบนี้กันทุกคน

“ล้อเล่น..เค้าใส่มะละกอลงไป เพราะมันจะได้รสหวานโดยไม่ต้องเติมน้ำตาลลงไปไง” ออ เข้าใจแล้ว

ผมบรรจงตักน้ำกะทิขึ้นมาโดยปราศจากเนื้อหอยหรือกระทั่งมะละกอ เป่าให้ไอความร้อนมันฟุ้งออกไปสักหน่อย

“พรูดดดดด” ยาวๆประหนึ่งชาวญี่ปุ่นซดราเมน

“ชื่นนนนนนใจ” ผมครางออกมาดังๆ แค่เพียงเท่านี้ คนปรุงก็คงดีใจ

..................

การไปเกาะแตนวันนั้นพิสูจน์เรื่องไม่มีหมาไม่ได้ เพราะขึ้นไปเหยียบเกาะแตนแค่ชายหาดปิดขนาดเล็กๆ และดื่มน้ำอะเมซิ่งจืดสนิทริมชายหาด

ตอนนี้เกาะแตนคงเจริญขึ้นมาก น่าจะมีรีสอร์ทผุดขึ้นมามากมาย กระนั้นผมก็ยังไม่ได้ไปเกาะแตนอีกเลย

หากใครสักคนเคยเจอหมาบนเกาะแตน ก็ได้โปรดมาเล่าให้ฟังหน่อยเถิด

ธนพันธ์ ชูบุญเด็กท้องกรูด

๑๕ เมย ๖๒

หมายเลขบันทึก: 661288เขียนเมื่อ 22 เมษายน 2019 22:28 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 เมษายน 2019 22:28 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท