หนังสือ A World-Class Education : Learning from International Models of Excellence and Innovation (2012) (1) เขียนโดย Vivien Stewart แนะนำ ๕ ประเทศ สำหรับเป็นแบบอย่างการพัฒนาระบบการศึกษาที่ดี คือ สิงคโปร์ แคนาดา ฟินแลนด์ เซี่ยงไฮ้ (จีน) และออสเตรเลีย ในบันทึกนี้จะเล่าเรื่องการศึกษาของจีน โดยตีความจากหนังสือดังกล่าว หน้า ๖๔ – ๗๒
จากซากปรักหักพังสู่อันดับหนึ่งของโลก
ผลพวงจากยุคปฏิวัติวัฒนธรรม (ค.ศ. 1966 – 1976) ระบบการศึกษาถูกทำลาย ต้องฟื้นขึ้นใหม่ แต่จีนก็เรียนรู้เร็ว ใน PISA 2009 จีนเข้ารับการทดสอบเป็นครั้งแรก โดยส่งเฉพาะมณฑลที่การศึกษาก้าวหน้าที่สุดเข้ารับการประเมิน คือมณฑลเซี่ยงไฮ้ (ประชากร ๕๐ ล้าน) ผลคือโลกตลึง เพราะจีนได้อันดับหนึ่งของโลก ในการทดสอบทั้ง ๓ วิชา คือ การอ่าน วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์
คำถามคือ จีนทำอย่างไร จึงพลิกฟื้นระบบการศึกษาขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งของโลกได้ภายในเวลาเพียง ๒๐ ปีกว่าๆ
คำตอบคือ มุ่งปฏิรูปชั้นเรียน เพื่อสร้างพลเมืองยุคใหม่ ยุคศตวรรษที่ ๒๑ ซึ่งมีตัวอย่างดีๆ ในโลกมากมาย เอามาดำเนินการในบริบทจีน (มณฑลเซี่ยงไฮ้) หัวใจไม่ใช่หลักการหรือความรู้ แต่เป็นการประยุกต์หลักการหรือความรู้ให้เกิดผลที่นักเรียน ย้ำว่า เป้าหมายต้องเป็นผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียน
จุดแข็งของจีนคือวัฒนธรรมให้คุณค่าต่อการเรียน เชื่อว่าการศึกษาจะช่วยยกระดับฐานะในสังคม
การปฏิรูปการศึกษาเริ่มจากการออกกฎหมายการศึกษาภาคบังคับ ๙ ปี ในปี ค.ศ. 1988 ซึ่งหมายความว่าบังคับจนจบมัธยมต้น แต่ด้วยความกระหายการศึกษาของคนจีน การศึกษาระดับมัธยมปลายก็ขยายตัวเอง โดยไม่ต้องบังคับ การศึกษาระดับมัธยมปลายนี้ มีทั้งสายอาชีวะ และสายวิชาการคู่กัน เพื่อสนองการขยายตัวของภาคการผลิต
ขณะนี้ ระบบการศึกษาของจีนใหญ่ที่สุดในโลก มีนักเรียนระดับประถมและมัธยม ๒๐๐ ล้านคน คิดเป็นร้อยละ ๒๐ ของโลก ในขณะที่จีดีพีของจีนเป็นเพียงร้อยละ ๑๐ ของโลก การขยายตัวของการศึกษาจีนรวดเร็วทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ
การปฏิรูปหลักสูตรเริ่มในปี 2001 หลังจากศึกษาตัวอย่างของกว่า ๓๐ ประเทศทั่วโลก โดยเริ่มดำเนินการเชิงทดลองในบางมณฑล แล้วจึงขยายไปทั่วประเทศในปี 2007 หลักสูตรใหม่เน้นเรียนจากการปฏิบัติ ซึ่งเป็นการเรียนรู้สหวิทยาการ หรือบูรณาการวิชา เปลี่ยนจากเดิมที่เน้นเรียนเป็นรายวิชา เรียนจากการท่องจำตามที่ครูสอน และการสอบก็เปลี่ยนไป จากสอบความรู้ เป็นสอบความสร้างสรรค์ และการประยุกต์ใช้ความรู้ในการแก้ปัญหา
การศึกษาดั้งเดิมของจีนเน้นที่คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ วิชาบังคับระดับมัธยมคือ ชีววิทยา เคมี ฟิสิกส์ พีชคณิต และเรขาคณิต ในหลักสูตรใหม่เพิ่มการเน้นด้านศิลปะ และมนุษยศาสตร์ และเน้นเรียนจากการปฏิบัติ
ในปี 2001 โรงเรียนทั่วประเทศเริ่มสอนภาษาอังกฤษตั้งแต่ชั้น ป. ๓ เพื่อเตรียมพลเมืองจีนให้เป็นพลเมืองโลกด้วย
การริเริ่มปฏิรูปการศึกษา ดำเนินการโดยกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งหมายความว่า เป็นการขับเคลื่อนจากส่วนกลาง แต่ในปัจจุบัน มีการกระจายอำนาจตัดสินใจเรื่องหลักสูตรไปที่ท้องถิ่น เพื่อให้หลักสูตรสอดคล้องกับบริบทของท้องถิ่น
ยุทธวิธีของเซี่ยงไฮ้
นครเซี่ยงไฮ้เป็นศูนย์กลางความทันสมัย ศูนย์กลางธุรกิจ และศูนย์กลางความเป็นนานาชาติ ของจีน แต่มณฑลเซี่ยงไฮ้มีส่วนที่เป็นชนบทด้วย จีนใช้มณฑลเซี่ยงไฮ้เป็นกองหน้าในการปฏิรูปการศึกษา โดยเปิดหลักสูตรการศึกษาในโรงเรียนให้กว้างขึ้น โดยเปิดวิชาเลือกจำนวนมาก และจัดกิจกรรมนอกหลักสูตรให้นักเรียนได้ฝึกเรียนรู้จากตั้งคำถาม ตามด้วยการปฏิบัติเพื่อการเรียนรู้ของตน เช่น กิจกรรมวิทยาศาสตร์ การละคร ชมรมผู้ประกอบการ
มีมาตรการลดความเครียดในการเรียนแบบแข่งขัน โดยดำเนินการยกเลิกโรงเรียนสำหรับเด็กเก่งที่แย่งกันสอบแข่งขันเข้าเรียน (ในชั้น ม. ต้น และ ม. ปลาย) และตั้งอยู่ในเมือง ทดแทนด้วยโรงเรียนคุณภาพสูงที่กระจายอยู่ในพื้นที่ มีการยกระดับคุณภาพโรงเรียน โดยมาตรการ “จับคู่” โรงเรียนคุณภาพสูงกับโรงเรียนอ่อน โรงเรียนในเมืองกับโรงเรียนในชนบท
มีมาตรการกระจายครูสอนเก่ง (master teacher) ไปทั่วทั้งมณฑล จัดวิธีการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในมณฑลเสียใหม่ ทดแทนการสอบระดับประเทศ (ที่สุดโหด) โดยปรับการสอบให้เน้นทดสอบทักษะแก้ปัญหา และทดสอบความรู้แนวกว้าง
ผมขอเพิ่มเติมเคล็ดลับของเซี่ยงไฮ้ในการยกระดับคุณภาพการศึกษาของมณฑล โดยการทำงานร่วมกันเป็นทีมของครู ช่วยกันเข้าสังเกตการณ์ชั้นเรียน และให้ feedback แก่กันและกัน โดยมีรายละเอียดในเอกสาร Chinese Lessons : Shanghai’s Rise to the Top of PISA League Tables (2) เรื่องยุทธศาสตร์จัดเครื่องมือ feedback แก่ครูนี้ Bill Gates เคยพูด Ted Talk เสนอใช้เงิน ๕ พันล้านเหรียญ ซื้อกล้องวิดีทัศน์ขนาดเล็กติดหน้าห้องเรียนเพื่อถ่ายบรรยากาศพฤติกรรมการเรียนของนักเรียนเป็น feedback แก่ครู (๓) ซึ่งผมตีความว่า เป็นการใช้นักเรียนเป็น โค้ช แก่ครู
ปัจจัยหลักสู่ความสำเร็จของจีน
ปัจจัยหลักสู่ความสำเร็จในการพัฒนาการศึกษาของจีน มี ๕ ประการคือ
เส้นทางสู่การเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้
ในปี ค.ศ. 2010 นายกรัฐมนตรี หู จิ่น เทา ประกาศแผนปฏิรูปและพัฒนาการศึกษาระยะปานกลางและระยะยาว ถึง ค.ศ. 2020 หลังการเตรียมยกร่างผ่านการปรึกษาหารืออย่างกว้างขวาง รวมทั้งเปิดรับฟังความเห็นสาธารณะผ่านอินเทอร์เน็ต ที่มีคนให้ความเห็นหลายล้านความเห็น แผนดังกล่าวสรุปได้ดังนี้
ความท้าทายด้านการศึกษาของจีน
ความท้าทายหลักๆ มี ๓ ประการคือ
ข้อเรียนรู้ต่อวงการศึกษาไทย
นี่คือการตีความของผมเอง ไม่ได้ระบุในหนังสือแต่อย่างใด
ความสำเร็จในการปฏิรูปการศึกษาของจีนทั่วประเทศ ยังเป็นความท้าทาย แต่จีนก็ทำได้สำเร็จในหลายด้าน โดยยุทธศาสตร์สำคัญคือเลือกดำเนินการนำร่อง แล้วเรียนรู้จากการดำเนินการนั้น เพื่อหาทางขยายผลไปทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว หลักการสำคัญคือสร้างตัวอย่างความสำเร็จ เป็นตัวแบบให้เรียนรู้ ใช้ส่วนที่ทำได้ดีหรือสำเร็จเป็นพลังให้ส่วนที่เหลือดำเนินการได้ผลตามเป้าหมายด้วย ผมตีความว่าเป็นการใช้พลังของ จิตวิทยาเชิงบวก (positive psychology) ในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงที่ยากและซับซ้อน
แนวทางเลือกดำเนินการนำร่องในบางพื้นที่ เป็นแนวทางที่ประเทศไทยกำลังใช้อยู่ในขณะนี้ คือการดำเนินการพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ข้อเรียนรู้จากจีนในการทำให้การดำเนินการพัฒนานำร่องประสบความสำเร็จ โดยมีการเปลี่ยนแปลงวิธีการและกติกาที่ล้าหลัง ก่อการเรียนรู้สำหรับนำเอาไปปรับใช้ทั่วประเทศ จึงมีความหมายมากสำหรับไทย
ขอขอบคุณ นพ. สุภกร บัวสาย ผู้จัดการ กสศ. ที่กรุณาส่งหนังสือเล่มนี้มาให้
วิจารณ์ พานิช
๔ ม..ค. ๖๒ ปรับปรุง ๖ ม.ค. ๖๒
ไม่มีความเห็น