สามวันนี้มีการจัดงาน mini-UKM ครั้งที่ ๒๐ ที่ วิทยาลัยการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยนครพนม ผมอาสามาร่วมโดยร่วมทางมากับทีมประกันคุณภาพของมหาวิทยาลัย ตั้งใจจะเอา Good Practice (GP) ที่เราได้ถอดบทเรียนไว้ มาแลกเปลี่ยนกับอาจารย์ผู้สอนมหาวิทยาลัยอื่น เพื่อประโยชน์ต่อไป
การออกแบบกิจกรรม mini-UKM ครั้งนี้คล้ายกระบวนการปีที่แล้ว ยังกำหนดที่ ๔ ประเด็นแลกเปลี่ยน แต่มีการเพิ่มกิจกรรมในช่วงบ่ายของวันแรกเพื่อเน้นให้ผู้มาร่วมรู้จัก KM รู้จักลักษณะและวิธีการค้นหา Best Pracetice (BP) ก่อนจะเปิดงานในวันที่สองและค้นหา BP ต่อไป
GP และ BP ต่างกันอย่างไร
ศาสตราจารย์ นพ.วุฒิชัย ธนาพงศธร เน้นย้ำให้เห็นความตกต่างระหว่าง GP และ BP ผมจับความได้ดังต่อไปนี้ครับ
ท่านเริ่มด้วยการให้สมาชิกทุกท่านเขียนตอบคำถาม ๔ คำถาม ต่อไปนี้ ลงในกระดาษ A4
Best Practice คืออะไร
ทำไมต้องค้นหา Best Practice
ท่านจะค้นหาประเด็น Best Practice เรื่องใด
การค้นหา BP ทำได้อย่างไร
ท่านบรรยายสรุปเฉลย ผมจับใจความได้ว่า
BP คือแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ หรือ แนวปฏิบัติที่ดีที่สุด ... เน้นย้ำคำว่า "ดีที่สุด" ไม่ใช่แนวปฏิบัติที่ได้ผลจากบุคคลคนเดียว BP ต้องมีองค์ประกอบ ๓ อย่างได้แก่
เป็น GP คือ แนวปฏิบัติที่ได้ผลของบุคคลผู้ปฏิบัติ
เป็น GP ที่เกิดจากกระบวนการจัดการความรู้ หรือ KM
เป็น GP ที่ดีที่สุดที่ผ่านการ Benchmark เปรียบเทียบกับ GP ในประเด็นเป้าหมายหัวปลาเดียวกัน
เหตุที่ต้องค้นหา BP เพราะนั่นเป็นวิธีที่จะพัฒนางานให้ประสบผลสำเร็จที่สุด
ต้องค้นหา BP เรื่องใด ... อันนี้ท่านไม่ได้เฉลย ... ผมตอบว่า ต้องค้นหา BP ในเรื่องที่ตนเองประสบผลสำเร็จที่สุด ภูมิใจที่สุด นั่นเอง
การค้นหา BP จะต้องทำอย่างไร .... ก็ต้องทำ ๓ ขั้นต่อไปนี้
ลงมือทำงานด้วยวิจารณญาณและการปฏิบัติที่แยบยล จนประสบผลสำเร็จจนเกิดความภาคภูมิใจ เกิดผลประจักษ์ต่อตนเองและคนอื่น
จัดการความรู้เกี่ยวกับประสบการณ์ความสำเร็จของตนเองและคนที่เกี่ยวข้อง หรือของทีมงานหรือองค์กร จะได้ GP
นำ GP ไปนำเสนอและแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้ปฏิบัติอื่น ๆ ที่มีเป้าหมายและประเด็นเดียวกัน แล้วร่วมกันเปรียบเทียบว่า วิธีใด GP อันไหนที่ให้ผลดีที่สุด ... GP นั้น ก็คือ BP
ผมวาดรูปด้านล่างเพื่อสรุปความคิดรวบยอด (Conceptographic) เกี่ยวกับเรื่องนี้
ศ.นพ.วุฒิชัย เน้นว่า เราไม่สามารถจะ Benchmark ข้ามประเด็นกันได้ เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ครับ ในกลุ่มย่อยที่ผมเป็นสมาชิก มี GP ที่ไม่อาจจะ Benchmark ได้จริง ๆ
แลกเปลี่ยนเรียนรู้กลุ่มย่อย
ขอบันทึกไว้ในความทรงจำ ประสบการณ์ GP ที่แต่ละท่านนำมาแบ่งปันไว้ในกลุ่ม ดังนี้ จากซ้าย ไปขวา
ท่านที่ ๑ อาจารย์หนุ่มสุดหล่อ ปรับวิธีการสอนของท่าน โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้สร้างความสนใจให้นักศึกษายุคใหม่อย่างได้ผล เช่น แอฟพลิเคชั่น Zipgrade, Kahoot, Plicker, ฯลฯ
ท่านที่ ๓ มี GP ที่นำเอา "การมีส่วนร่วม" มาใช้พัฒนางานในกองส่งเสริมการบริการ จนงานก็ได้ผล คนก็เป็นสุขสามัคคีกัน
ท่านที่ ๔ มีความสำเร็จกับ GP ที่ต้องใช้ความเสียสละ ทำงานหนัก รับภาระของเพื่อนอาจารย์ ทั้งประสานงานและทำงานเหมือนที่ปรึกษากับทั้งนักศึกษา ผู้ปกครอง จนหลักสูตรที่ท่านทำหน้าที่เป็นประธาน ผ่านวิกฤตที่ต้องปิดไป จากนักศึกษาที่หล่น หลุดหาย เป็นคงจำนวนอยู่ได้ และเพิ่มจำนวนได้ทุก ๆ ปี
ท่านที่ ๕ มีชื่อเสียงในกลุ่มเพื่อนอาจารย์ด้วยกัน ว่า ประสบความสำเร็จเรื่องการเจรจาต่อรอง หากเมื่อใดจะมีการเจรจาต่อรอง ต้องให้ท่านเป็นตัวแทน จะชนะเสมอ ท่านให้เคล็ดลับเป็นหลักการ ๓ ประการ ได้แก่
รู้เขา รู้เรา คือ ต้องรู้ว่า อะไรมีค่าสำหรับเรา สำหรับเขา อะไรมีคุณค่ามากน้อยเท่าไหร่ในมุมองเขาและของเรา
ทั้งสองฝ่ายต้องได้ประโยชน์ คือ WIN WIN
ต้องมั่นใจเสมอ มั่นใจว่าฉันทำได้
ท่านที่ ๖ มี GP ในการเปลี่ยนเจตคติของนักศึกษาพยาบาล ที่ร้อยละ ๙๐ ตั้งใจมาเรียนเพราะด้วยความแค่ว่าจะไม่ตกงาน ท่านใช้วิธีการสอนผ่านการทำงานจริง และให้สะท้อนการเรียนรู้ แล้ว Coaching ด้วยคำถามตอบและสนทนา กับนักศึกษารายบุคคล จนปรับเปลี่ยนเจตคติได้จำนวนหลาย ๆ คน
ท่านที่ ๗ คนขวาสุด มี GP ของความเพียร จากที่ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้างานด้านที่ตนเองไม่ได้เรียนมา ไม่มีความชำนาญ อาจารย์เรียนรู้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง จนผ่านปีไป สามารถสอนงานให้เจ้าหน้าที่ได้ทั้งหมด จนได้รับการยอมรับ
เนื่องจาก ศ.นพ.วุฒิชัย ท่านบอกว่า แลกเปลี่ยนวันนี้ เพื่อให้ทุกคนเห็นกระบวนการค้นหา BP ร่วมกัน ผมจึงยังไม่ได้แบ่งปันเรื่องการสอนแบบครูเมืออาชีพที่เตรียมมา หยิบเอาเรื่องการบูรณาการการปฏิบัติธรรมกับการทำงาน แลกเปลี่ยนเรื่องการฝึก "ดูจิต" ตามแนวทางหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช ด้วยหวังว่าสิ่งที่ดี ๆ นี้จะส่งต่อไปให้ผู้อื่นได้ลองฝึกต่อไป
การบูรณาการงานกับการปฏิบัติธรรม
ผมเริ่มแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของตน ด้วยประโยคป้องกันตนเอง ทำนองว่า จริง ๆ ผมก็ยังฝึกฝนไปไม่ถึงไหน แต่เห็นว่าสิ่งนี้ดีและมั่นใจว่ามาถูกทาง จึงอยากจะนำมาแลกเปลี่ยนเป็นแนวทางสำหรับท่านที่สนใจ ทดลองดู
คนเรา ประกอบด้วย กาย จิต และ เจตสิก
จิตทำหน้าที่ "รู้" และ "คิด"
เจตสิก คือสิ่งที่เกิดประกอบกับจิต เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดอาการต่าง ๆ อารมณ์ต่าง ๆ ที่จิตรู้ได้
สิ่งที่เราฝึกคือการ "ดูจิต" คือ การรู้กาย รู้ใจ ด้วยใจที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง
คือดูสภาวะธรรม หรืออารมณ์ที่เกิดกับจิตของตนเอง ระหว่างการทำงาน และการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น
ความโกรธเกิดขึ้น รู้ว่าโกรธ ความอิจฉาเกิด รู้ว่าอิจฉา ความอยากได้เกิดขึ้น รู้ว่าอยากได้ ความอยากพูดเกิดขึ้น รู้ว่าอยากพูด ฯลฯ
ฯลฯ
ดูว่า ใจชอบ หรือ ไม่ชอบ สภาวะธรรมนั้น
เป้าหมายคือ การดูให้เห็นการเกิดดับของสภาวะธรรม (ดูเพื่อเห็นไตรลักษณ์ วิปัสนา)
ความยากของการ "ดูจิต" สำหรับผม นอกจากความฟุ้งซ่านแล้ว คือ การเข้าไปแทรกแซงจิต โดยใช้การคิดบวกหรือกดข่มใจให้ดูดี เป็นคนดี ... อย่างไรก็ดี ถึงวันนี้ ผมเองก็ประจักษ์ถึงผลดีของการพัฒนาจิตใจตนเองในระดับหนึ่ง มั่นใจว่านี่ล่ะแนวทางและเป้าหมายในการพัฒนาจิตใจตนเอง
จบด้วยการย้ำว่า ผมแลกเปลี่ยนเรื่องการ ดูจิตตนเองนะครับ ไม่ได้ ดูจิตคนอื่น เพราะผมดูไม่เป็น.... ขอบคุณครับ