นี่คือคำถามที่ผุดขึ้นในใจผมเมื่ออ่านเอกสารประกอบการประชุมสภาวิทยาเขตหาดใหญ่ ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ที่จะประชุมในวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ โดยที่สภามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กำหนดให้มีสภาวิทยาเขต ช่วยทำหน้าที่แทนสภาใหญ่ด้านการดูแลกลั่นกรองเรื่องงานวิชาการ ซึ่งเรื่องที่นำมาเข้าที่ประชุมเกือบทั้งหมดเป็นเรื่องหลักสูตร และส่วนใหญ่เป็นเรื่องการปรับปรุงหลักสูตรเมื่อดำเนินการมาครบ ๕ ปี ตามที่ สกอ. กำหนด
ผมมีข้อสังเกตจากเอกสารว่า วิญญาณของการเตรียมเอกสารเป็นวิญญาณพิธีกรรม ไม่ใช่วิญญาณยุทธศาสตร์คุณภาพบัณฑิต และการใช้หลักสูตรเป็นเครื่องมือหรือกลไกสร้างวิชาการแห่งศตวรรษที่ ๒๑ ผมไม่เห็นประเด็น “ประโยชน์ต่อนักศึกษา” แฝงอยู่ในเอกสาร ไม่เห็นนวัตกรรมการศึกษาแห่งศตวรรษที่ ๒๑ แฝงอยู่ เห็นแต่การปฏิบัติตามข้อกำหนดของ สกอ.
หรือผมตาถั่วก็ไม่ทราบ
หลักสูตรระดับปริญญาเอก หลักสูตรปรับปรุง (วาระที่ ๖.๑) ที่เอามาเสนอขออนุมัติ มีลักษณะปรับปรุงแบบเสริมสวย ไม่ได้ปรับปรุงในระดับยุทธศาสตร์ของการพัฒนาวิชาการแห่งอนาคต ผมตีความว่า การปรับปรุงนี้อยู่บนฐานของความเชี่ยวชาญวิชาการของคณาจารย์ ไม่ได้นำเอาความต้องการของประเทศในปัจจุบันและอนาคตเข้ามาเป็นปัจจัยขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเลย ใจผมอยากจะไม่อนุมัติ ให้กลับไปคิดใหม่โดยเอาความต้องการของประเทศเป็นตัวตั้ง ผมเขียนบันทึกช่วงนี้บนเครื่องบินระหว่างเดินทางไปประชุม แล้วจะได้เห็นว่าทางฝ่ายบริหารและฝ่ายวิชาการเขาคิดอย่างไร
พอดีที่ในวาระการประชุมหมวดการนำเสนอเชิงนโยบาย เป็นเรื่อง PSU Education 4.0 เป็นหัวข้อที่ sexy มาก จึงเกิดคำถามในใจผมว่า ฝ่ายบริหารจะมี management platform เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงการจัดการหลักสูตรต่างๆ ทั้งระดับปริญญาตรี โท เอก อย่างไร หากเอาหลักสูตรระดับปริญญาเอก หลักสูตรปรับปรุง ดังกล่าว เป็นตัวตั้ง จะมีการจัดการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง เปลี่ยนอะไรก่อนหลัง
ประโยชน์ที่นักศึกษาจะได้รับ ในสายตาของผม ที่เป็นหัวใจสำคัญที่สุดคือ เขาเข้าสู่การทำงานได้อย่างมั่นใจ ทำงานได้ผลเป็นที่พอใจของนายจ้าง (หากไปทำงานเป็นลูกจ้าง) และสามารถพัฒนาตนเองอยู่บนยอดคลื่นของการเปลี่ยนแปลงในศาสตร์นั้นๆ และศาสตร์ที่เกี่ยวข้องได้ เชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงของงานที่ยอดคลื่นยิ่งสูงกว่า และถาโถมยิ่งกว่า ได้ แปลความว่า นักศึกษาจะได้รับการฝึกให้ทำงานในกระแสการเปลี่ยนแปลงที่ไม่แน่นอนได้
ในหลักสูตรดังกล่าว ผมไม่เห็นภาพความร่วมมือกับ EP (Engagement Partners) ในด้านการผลิตบัณฑิต และด้านการวิจัยเพื่อวิทยานิพนธ์เลย ทั้งๆ ที่ศาสตร์นั้นเป็นศาสตร์ที่ขาดแคลนกำลังคนที่มีความสามารถสูงอย่างยิ่ง และประเทศต้องการกำลังคนในสาขานี้อย่างมากมาย มีคนบอกผมว่า ในเวลา ๒๐ ปี ประเทศไทยจะต้องการกำลังคนในสาขานี้หลายแสนคน (แต่เป็นระดับปริญญาตรี หรือต่ำกว่า เป็นส่วนใหญ่)
ผมมีความเห็นว่า สำหรับหลักสูตรในศาสตร์ที่มีพลวัตสูงมาก และเป็นความเป็นความตายของประเทศอย่างยิ่ง ฝ่ายบริหารของมหาวิทยาลัยควรมีการจัดการแบบพิเศษ เน้นใช้เป็นหัวขบวนของการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ วัฒนธรรม และ working platform ให้สอดคล้องกับสภาพของศตวรรษที่ ๒๑ สอดคล้องกับหลักการ Higher Education 4.0 เพื่อทำหน้าที่เป็นพลังขับเคลื่อนประเทศสู่ Thailand 4.0
บันทึกหลังการประชุม
ในการประชุม มีการอภิปรายกันมากในเรื่องการเปลี่ยน platform ของการศึกษา หรือการจัดการหลักสูตร ที่เปลี่ยนจาก diffusion model สู่ engagement model มีการอภิปรายกันว่า วิชานี้เน้นการวิจัยแบบ algorithm-based ไม่ใช่แบบ application-based การผลิต PhD กับการผลิตนวัตกร (innovator) เป็นคนละเรื่อง ควรเน้นให้มีความรู้พื้นฐานแน่น ค่อยไปต่อยอดความรู้ภายหลัง ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นวิธีคิดแบบเดิม ที่เป็น academic mode หรือ diffusion mode เป็นวิธีคิดแบบ inside-out หรือ supply-based ในขณะที่ในปัจจุบัน ต้องการอุดมศึกษาที่ยึดแนวคิด outside-in หรือ demand-based ซึ่งเป็น engagement mode
ในที่ประชุม ท่านรองอธิการบดี แจ้งว่า ในการประชุมสภามหาวิทยาลัยในวันรุ่งขึ้น (๒๔ พฤศจิกายน) มีวาระเรื่องแผนบริหารจัดการด้านการศึกษา (๒๕๖๑ - ๒๕๖๕) ที่เมื่อสภามหาวิทยาลัยอนุมัติ หลักสูตรนี้จะต้องปรับใหญ่ให้สอดคล้องกับแผนดังกล่าว โดยที่ยังมีเวลาถึงกลางปีหน้าในการดำเนินการปรับปรุง
ท่านอธิการบดี ผศ. ดร. นิวัติ แก้วประดับ มีแนวคิดใช้ engagement mode ในการบริหารงานวิชาการของมหาวิทยาลัย ซึ่งผมได้ชี้ให้เห็นว่า คุณค่าที่นักศึกษาหรือบัณฑิตจะได้รับคือ ได้เรียนรู้ตามแนวทางการเรียนรู้สมัยใหม่ คือเรียนจากการปฏิบัติ ตามด้วยการใคร่ครวญสะท้อคิดอย่างจริงจัง (critical reflection) นำไปสู่ transformative learning
วิจารณ์ พานิช
๒๓ พ.ย. ๖๑
บนเครื่องบินจากหาดใหญ่กลับกรุงเทพ
ไม่มีความเห็น