หน้าหม้อ


เพื่อนๆเคยเรียกผมว่า “ไอ้หน้าหม้อ”

ผมไม่เข้าใจว่าทำไม ทั้งๆที่ผมเป็นคนเรียบร้อย ขี้อาย เห็นคนหน้าตาสวยเมื่อไหร่ก็จะเกิดอาการประหม่าเมื่อนั้น

ถ้าจำไม่ผิด ผมถูกเพื่อนๆเรียกแบบนี้ก็น่าจะราวปี ๑ ซึ่งช่วงนั้นกำลังมีความสุขกับการออกกำลังกายอย่างมาก

ผมไปวิ่งที่อ่างน้ำของมหาวิทยาลัยกับเพื่อนคนหนึ่ง มันชื่อ “ไอ้กุ้ง” เราไปวิ่งกันแทบทุกเย็น เพราะช่วงชั้นปี ๑ นั้นมันว่าง

ระยะทางรอบอ่างน้ำนั้น ถ้าวิ่งเส้นในที่เลียบริมน้ำเลยก็จะอยู่ที่ราวๆ ๑ กิโลเมตร แต่ถ้าวิ่งรอบใหญ่บนสันอ่าง วิ่งไปดมกลิ่นดอกจำปีไป ก็จะราวๆ ๑.๓ กิโล

ในช่วงเย็นจนพลบค่ำ ที่อ่างน้ำนี้จะเป็นที่รวมของกิจกรรมการออกกำลังกายที่หลากหลายมากนะครับ วิ่ง เดิน จูงลูก เดินจับมือ นั่งดมลม นั่งเรื่อยเปื่อย นั่งกินเหล้า (สมัยนั้นมันไม่ผิดกฎหมาย) ไปจนถึงเมื่อเมาได้ที่ก็จะท้าแข่งกันว่ายน้ำในอ่าง กระทั่งมีนักศึกษาจมน้ำตาย กิจกรรมเสื่อมๆในช่วงค่ำแบบนี้จึงถูกห้ามไป

มาถึงเรื่องวิ่ง ซึ่งเป็นกิจกรรมโปรดที่ผมกับไอ้กุ้งต้องไปวิ่งกันเกือบทุกเย็น

คนออกกำลังกายแทบทุกคนจะวิ่งไปในทางเดียวกัน คือวิ่งในทิศตามเข็มนาฬิกา

ผมก็ไม่เข้าใจ ว่าทำไมต้องวิ่งไปในทางเดียวกัน คงจะเผื่อไว้ว่าจะได้ไม่วิ่งชนกัน อันนี้พอเข้าใจ แต่ทำไมต้องวิ่งในทิศทางตามเข็ม ผมนี่อยากถามคนที่วิ่งรอบอ่างน้ำเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ ม.อ.นัก ว่าทำไมต้องตามเข็ม ทวนเข็มไม่ได้หรืออย่างไร 

“ผมกับกุ้งวิ่งทวนเข็มนาฬิกา” เพื่อสร้างความแตกต่าง

ผมน่ะ อยากทักทายเพื่อนๆ ทั้งจากคณะเดียวกันและต่างคณะ และหากอยากจะวิ่งด้วยกัน ก็ค่อยตกลง ว่าใครจะวิ่งสายไหน ทวนเหมือนผม หรือผมตามเหมือนคนอื่นๆ ก็สนุกดี ดูมีมนุษยสัมพันธ์

ส่วนไอ้กุ้ง เพื่อนที่เข้าใจว่าหน้าตาตัวเองดูดี มันกลับชวนผมวิ่งสวนทางด้วยจุดประสงค์อีกแบบ สาวๆคณะ วจก.หน้าตาดีมีหลายคน เด็กคณะพยาบาลก็น่ารัก เพื่อนกลุ่มที่เรียนคณะวิทยาศาสตร์กลุ่มนั้นก็อยู่คมนัก

มาแบบนี้ผมก็อึดอัด เพราะมันก็น่ารักดีอย่างที่เพื่อนว่านั่นแหละ แต่ผมขี้อายน่ะสิ มีคนสวยวิ่งมา ผมนี่โคตรประหม่าเลยล่ะ ในใจตอนนั้น นึกอยากจะกลับหลังหันแล้ววิ่งตามไปซะให้รู้แล้วรู้รอด ไม่กล้ามองหน้า ก็มองหุ่นไปเลย แล้วผมก็พบว่า การได้มองหุ่นสาวนักวิ่งทรงพลังจากด้านหลังนี่มันช่างเรียกพลังจริงๆ 

ผมกับกุ้งวิ่งแบบนี้อยู่ระยะหนึ่ง 

“ไอ้หมอหน้าหม้อ” เสียงเพื่อนจากคณะวิศวะกลุ่มหนึ่งวิ่งสวนมาแล้วทักทายเราทั้งคู่ด้วยเสียงอันดัง

หน้าร้อนผ่าว มันร้อนวูบวาบประหนึ่งชายเข้าสู่วัยทอง ใจมันพริ้วประหนึ่งถูกเมียจับได้ว่าถุงยางหายไปอันหนึ่งทั้งๆที่ไม่ได้ใช้กับเธอ (ก็พ่อเอาไปสอนนักเรียนไง)

ทำไงดีล่ะ ก็หันหลังกลับแล้ววิ่งตามๆกันไปเหมือนคนอื่นๆนั่นไง

“บ้าเอ๊ย เสียเชิงชายหมด” ผมบ่นอุบอิบ

ที่ขำกว่านี้ก็คือ ช่วงหนึ่งมีป้ายติดบริเวณอ่างน้ำแห่งนั้น ว่า ห้ามวิ่งสวนทาง สงสัยเพราะไอ้หน้าหม้อสองตัวนั้นกระมัง

.........................

เคยถามตัวเองไหมครับ ว่าใครกันหนาที่บัญญัติศัพท์ให้คำว่า “หม้อ” ในภาษาของคนกลุ่มเฉพาะกลุ่มหนึ่งแปลว่า “จิ๋ม”

“ตีหม้อ ล้างหม้อ” ล้วนแล้วแต่เป็นคำไม่ค่อยสุภาพเท่าไหร่นักใช่ไหมครับ แต่พวกผมก็ใช้คำนี้มาตั้งแต่เริ่มเรียนชั้นมัธยม เพื่อนเรียกหม้อ เราก็เรียกหม้อตาม

ครั้นมาเรียนหมอ ได้ผ่าร่างอาจารย์ใหญ่ กระทั่งมาเป็นหมอสูตินรีเวชกี่ปีแล้วนะ (ลืม) ก็ไม่เห็นว่าจิ๋มจะเหมือนหม้อตรงไหน แต่เอาเหอะ หม้อก็หม้อ

ผมนึกไปถึงช่วงที่ออกจากบ้านที่สุราษฎร์มาอยู่หาดใหญ่ใหม่ๆ ช่วงนั้นกำลังแตกเนื้อหนุ่ม สิวบนหน้ามันดก ลูบหน้าแต่ละทีก็หาความเนียนเรียบแทบจะไม่ได้ ก่อนมาเรียนก็ไปคุยกับคุณหมอผิวหนังที่สนิทกันว่าจะให้ทำอย่างไรดี ท่านก็ดีใจหายบอกชื่อยาที่สามารถใช้ได้และแนะนำสบู่ล้างหน้าแบบเฉพาะให้ผมใช้

“ทำไมผมจึงใช้สบู่ปกติที่ใช้กับร่างกายไม่ได้ล่ะครับ” นั่นแน่ การเป็นผู้ชอบถามมันคิดตัวมาแต่เด็ก

“นั่นเป็นเพราะว่า ผิวหนังบริเวณใบหน้ามันมีความจำเพาะ มันตอบสนองต่อฮอร์โมนค่อนข้างมาก ความมันจึงเกิดง่าย สิวก็เกิดการอักเสบง่ายเช่นเดียวกัน” ผมพยักหน้าแบบว่าเหมือนเข้าใจ แต่ก็ไม่เข้าใจแจ่มนัก เอาเป็นว่า คิดไปตามประสามานุษยวิทยา (ยังไงวะ) ก็พอจะเดาได้ว่า ทุกจุดของร่างกายจะตอบสนองต่อฮอร์โมนแตกต่างกันเพื่อจุดประสงค์เฉพาะอย่าง เช่น หนวดเคราในผู้ชาย ขนหน้าอก ขนที่แผ่นหลัง ขนที่ต้นขาด้านใน บริเวณเหล่านี้จะตอบสนองต่อฮอร์โมนเพศชายเท่านั้น มันคงมีมาเพื่อความเย้ายวนทางเพศต่อสตรีกระมัง (ไม่ทันสมัยเลย เพราะเดี๋ยวนี้ มันอาจจะกระตุ้นเย้ายวนเพศชายด้วยกันก็ได้นะ)

แต่เอ๊ะ....แล้วที่จิ๋มล่ะ มันเป็นยังไงเหรอ 

ผมกำลังหมายถึงผิวหนังและขน

ที่เห็นความแตกต่างง่ายที่สุดคือการกระจายของขน (รีบไปแก้ผ้าดูเร็ว) ขนที่จิ๋มจะเรียงตัวเป็นกระจุกที่หัวหน่าวในลักษณะสามเหลี่ยมที่ชี้ด้านแหลมลงด้านล่าง กระจายลงมาที่แคมนอกได้ แผล็มออกมาถึงขาหนีบพอให้ล้นขอบกางเกงในได้บ้าง แต่ไม่มากหรอกนะครับ ต่างกับของผู้ชาย ที่การกระจายของขนบริเวณนี้เป็นสามเหลี่ยมที่มีฐานอยู่ด้านล่าง และยอดสามเหลี่ยมแหลมชี้ขึ้นด้านบน ยาวต่อเนื่องไปเป็นเส้นถึงท้องน้อยและสะดือ เวลาพวกเราถอดเสื้อ ขนมันจึงล้นขอบกางเกงในด้านบนขึ้นมาได้ไง นี่ยังไม่ต้องพูดถึงการล้นออกมาที่ขาหนีบจนพ้นขอบกางเกงในหรอกนะ ยุบยับไปเสียหมด

นั่นคือเรื่องขน

ลักษณะของผิวหนังไม่ค่อยต่างจากบริเวณอื่นเท่าไหร่นักนะครับ (ถ้าไม่ได้ไปเปรียบเทียบกับที่ส้นตีน ซึ่งมันหนาและด้านแตกต่างกันมากนัก) 

ผิวหนังบริเวณจิ๋มกับจู๋จะมีสีคล้ำกว่าสีของลำตัวสักหน่อย เพราะการกระจายของเม็ดสีมันต่างกัน เชื่อผมเถิดนะ สีมันคล้ำกว่าบริเวณอื่นเป็นปกติ อย่าได้พยายามไปทำให้จิ๋มเป็นสีชมพูเลยนะครับ อันที่จริงก็พอทำได้นะ แบบว่าเอาไปถูๆกับพื้นให้พออักเสบ ก็พอจะชมพูเรื่อๆได้เหมือนกัน (เอาเข้าไป)

“แล้วอย่างนี้จะให้ล้างและทำความสะอาดยังไง” ผมมักจะถูกถามบ่อยๆ

ขึ้นอยู่กับว่าใครถาม

ถ้าเป็นผู้ชายถาม ผมก็จะตอบว่า “ก็ทำความสะอาดล้างน้ำ ถูสบู่เหมือนกับบริเวณอื่นของร่างกายนั่นแหละ อย่าลืมปลิ้นเปลือกหุ้มหัวองคชาติล้างด้วย เดี๋ยวไข่เหม็นเพราะขี้เปียกมันสะสม”

แล้วผู้หญิงล่ะ

ก็ล้างปกติเหมือนกัน จะล้างน้ำเปล่า ถูสบู่ ก็ทำแบบปกติ ล้างบริเวณจุดพับระหว่างกลีบแคมในกับแคมนอกให้สะอาด เพราะผู้หญิงก็มีขี้เปียกได้เหมือนกัน ล้างไปเหอะ ขออย่างเดียว อย่าไปล้วง อย่าเอาสบู่ไปล้างในช่องคลอดก็แล้วกัน ในนั้นน่ะ มันมีสิ่งแวดล้อมที่พิเศษไปกว่าที่อื่น แล้วมันก็เปราะบางมากเสียด้วย หากเสียสมดุลย์ไป จิ๋มเหม็นได้ จิ๋มขึ้นราได้ (ผมหมายถึงภายในช่องคลอดนะครับ)

“อ้าว แล้วถ้าจะดูแลเหมือนผิวส่วนอื่นๆ แล้วทำไมมีสบู่ล้างจิ๋มออกมาขายเยอะจัง ประหนึ่งจิ๋มนั้น ต้องดูแลเป็นพิเศษ” นั่นแน่..

ก็เค้าทำมาขายไง มีคนซื้อก็มีคนขาย มีหลายแบบด้วยนะ สำหรับสาวๆ สำหรับคนแก่ สำหรับคนที่มีผิวแพ้ง่าย มีหลายแบบก็เพราะมีคนซื้อไง ฮ่า ฮ่า ฮ่า มันก็เหมือนเครื่องสำอางนั่นแหละ

เครื่องสำอาง หรือเวชสำอางล้างจิ๋ม เค้าผลิตขึ้นมาเพื่อคุณสมบัติที่แตกต่าง บางยี่ห้อใส่สมุนไพร ใส่ส่วนผสมจากดอกไม้ใบหญ้า หรือสารบางอย่าง ใช้ไปแล้วจิ๋มละมุนจริงๆหรือไม่ผมก็ค่อยแน่ในนัก จะว่านุ่มนวลอ่อนโยนมากขึ้นจากสบู่ หรือแท้จริงแล้วมันละมุนละไมจากความรู้สึก

สบู่แบบนี้ มักจะมีโฆษณาเพื่อสร้างความแตกต่าง เมื่อเทียบราคากันในปริมาณเท่ากัน ก็แพงกว่ากันเยอะอยู่ 

ซึ่งท้ายที่สุด สบู่ปกติก็ใช้ได้นะ แม่ผมก็ใช้สบู่ก้อนมาตั้งแต่ผมจำความได้ เราเคยใช้สบู่นกแก้วด้วยซ้ำ จิ๋มแกก็ไม่เห็นจะเสียหายหรือหนังด้านขึ้นแต่อย่างใด

เข้าใจตรงกันนะครับ

...................

“หมอแนะนำว่า แป๊ะลองไปหาซื้อสบู่ล้างหน้าของยูเซอรีนมาใช้ดูนะ” ผมยังจำประโยคนี้ได้อย่างแม่นยำ

(เอิ่ม นิทานวันนี้ไม่ได้เขียนมาเพื่อขายของหรือมีสปอนเซ่อร์แต่อย่างใดนะครับ มันคือความทรงจำล้วนๆ)

“ทำไมเหรอครับ” ผมสงสัย 

“ก็มันมีแบบที่มี pH ต่ำๆหน่อย มันก็จะเหมาะกับคนที่มีผิวหน้ามันได้ค่ะ” คุณหมออธิบายมาอย่างนั้น 

ผมลืมถามไปว่า pH ต่ำๆนี่มันรักษาอาการหน้าด้านได้หรือไม่

แล้วผมก็จากท่านมา

หายูเซอรีนไม่ได้ในหาดใหญ่เมื่อครั้งปี ๒๕๓๓ 

ผมตระเวนขับรถแวะเข้าร้านขายยาหลายร้านเลยเชียว 

ไม่มี

นึกแล้วก็สงสัย สมัยก่อนผมไม่เข้าห้างเหรอ ในซุปเปอร์มาร์เก็ตน่าจะมีนะ 

เออ แบบว่ายังโง่ไง หรือว่ามันอาจจะยังไม่มีจริงๆก็ได้

“ผมว่า หากน้องต้องการสบู่ที่มี pH ต่ำๆแล้วล่ะก็ ลองใช้แล็กตาสิดดูไหมครับ” พี่คนขายยาร้านนั้นเสนอสินค้าแก่ผม

“ใช้ทำความสะอาดผิวพรรณ” คือคุณสมบัติข้างขวดหรือไม่ ผมก็จำไม่ได้เสียแล้ว

และผมก็ใช้แล็กตาสิดล้างหน้าอยู่เป็นปี

หน้าน๊วนนน นวล

หึหึ 

คราวนี้ก็รู้และเข้าใจกันแล้วสินะ ว่าทำไมผมจึงถูกเพื่อนๆเรียกว่า “ไอ้หน้าหม้อ” บอกแล้วไง ผมน่ะเรียบร้อย ที่หน้าหม้อ ก็คงเป็นเพราะเอาสบู่ล้างหม้อมาล้างหน้ากระมัง หุหุ

ธนพันธ์ ชูบุญหน้าหม้อ

๑๖ ธค ๖๑

หมายเลขบันทึก: 658790เขียนเมื่อ 17 ธันวาคม 2018 15:45 น. ()แก้ไขเมื่อ 17 ธันวาคม 2018 15:45 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

ปิดท้ายความรู้ที่ไม่รู้จะหาอ่านที่ได้ได้ด้วยรอยยิ้มครับ ขอบคุณครับ หมอ…

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท