ไม่ควรมองอะไรเพียงด้านเดียว


ไม่ควรมองอะไรเพียงด้านเดียว

ไม่ควรมองอะไร เพียงด้านเดียว


ดร.ถวิล อรัญเวศ
รอง ผอ.สพป.นครราชสีมา เขต ๔

บทนำ

ทุกวันนี้ เรามักจะได้ยินได้ฟังหรือพบเห็นการนำเสนอข่าวที่ตื่นเต้น เร้าใจ และมีเพียงถ้อยคำสั้นๆ ซึ่งถ้าเป็นเรื่องที่ดี และเป็นความจริง ก็คงไม่เป็นอะไร แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่ดีไม่จริงเป็นเพียงการนำเสนอข่าวเพื่อก่อให้เกิดความตื่นอกตื่นใจน่าติดตาม ก็คงจะก่อให้เกิดความเสียหายได้ ฉะนั้น โบราณท่านจึงสอนให้มองอะไรไม่ควรมองเพียงด้านเดียว ควรมองหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะนักบริหารถ้าไปเชื่อลูกน้องเพียงคนใดคนหนึ่ง ก็คงไม่ถูกต้องนัก แม้แต่เรื่องนี้พระพุทธองค์ก็เคยตรัสสอนไว้แล้วในหลักกาลามสูตร หรือสูตรว่าด้วยการเชื่ออะไร อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจเชื่อง่าย ๆ ต้องพิสูจน์ให้ได้ข้อเท็จจริงก่อนจึงเชื่อ

ข้อเสียของการมองอะไรเพียงด้านเดียว

การมองอะไรเพียงด้านเดียว แล้วด่วนสรุป จะก่อให้เกิดความเห็นที่ไม่ลงรอยกันได้ ถ้ามีความเห็นที่ไม่ตรงกันแล้วไซร้ ก็จะก่อให้เกิดความแตกแยกกันของคนในองค์กร หรือในสังคมได้ โดยเฉพาะถ้าเรื่องที่มองนั้น ไม่เป็นความจริงแล้ว ย่อมก่อให้เกิดความเสียหายได้

เรื่องนี้ ขอยกนิทานปรัมปราซึ่งได้เล่ากันสืบกันมาว่า

กาลครั้งหนึ่งพระราชาพระองค์หนึ่งทรงนึกสนุกขึ้นมาจึงตรัสสั่งให้เจ้าหน้าที่พระราชวังประชุมคนตาบอดในเขตพระนครโดยให้นำคนตาบอดมาประมาณ ๑๒ คน คนตาบอดเมื่อได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ก็ดีใจที่จะได้มีโอกาสเข้าวัง

เมื่อคนตาบอดมาพร้อมกันแล้ว พระราชาจึงทรงสั่งให้เจ้าหน้าที่จัดแบ่งคนตาบอดออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละ ๒ คน รวม ๖ กลุ่ม โดยให้แต่ละกลุ่มจับเพียงเฉพาะอวัยวะส่วนใด ส่วนหนึ่งของช้างเท่านั้น จากนั้น พระราชาจึงเรียกคนตาบอดทุกกลุ่มมาพร้อมกันแล้วให้คนตาบอดแต่ละกลุ่ม บรรยายลักษณะของช้างตามที่ตนได้รับรู้มาคนตาบอดในแต่ละกลุ่มบอกลักษณะของช้างแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับอวัยวะของช้างที่พวกเขาได้สัมผัสมา ๖ กลุ่ม

พวกที่คลำปลายหางช้าง บอกว่าช้างเหมือนไม้กวาด

พวกที่คลำหางช้าง ก็บอกว่าช้างเหมือนสาก

พวกที่คลำลำตัวช้าง ก็บอกว่าช้างเหมือนยุ้งข้าว

พวกที่คลำงวงช้าง ก็บอกว่าช้างเหมือนง่อนไถ

พวกที่คลำหูช้าง บอกว่าช้างเหมือนกระด้ง

พวกที่คลำหัวช้าง บอกว่าช้างเหมือนหม้อ

พระราชาจึงตรัสถามพร้อมกันอีกครั้งหนึ่งว่า ที่แท้จริงแล้วช้างมีลักษณะเป็นอย่างไรกันแน่

คนตาบอดต่างถกเถียงกันใหญ่ว่า ลักษณะที่กลุ่มของตนได้กราบทูลต่อพระราชาถูกต้องแล้ว เพราะคลำมากับมือ และไม่ได้คลำเพียงคนเดียว คลำ ๒ คน และก็คลำตั้ง ๒-๓ ครั้ง จนมั่นใจแล้วคนตาบอดต่างคนต่างไม่ยอม ยังยืนความคิดของตนสุดท้ายไม่มีใครฟังใคร คนตาบอดจึงได้ชกต่อยกันชุลมุน พระราชาจึงทรงพระสรวลด้วยความพึงพอพระราชหฤทัยเป็นยิ่งนัก

เรื่องคนตาบอดคลำช้างจึงถือเป็นข้อคิดได้ว่า การมองอะไรเพียงด้านเดียวยังไม่เพียงพอ เพราะทำให้เกิดความเข้าใจผิดพลาดในองค์รวมที่แท้จริงเพราะสิ่งที่มองด้านเดียวจะได้ข้อเท็จจริงด้านเดียว

ข้อเท็จจริงที่สมบูรณ์ต้องมองหลายด้าน และมองให้เห็นความเชื่อมโยงกันในหลายมิติ

การมองเพียงด้านเดียว เมื่อนำข้อเท็จจริงมาแลกเปลี่ยนกันถ้าต่างฝ่ายต่างยืนยันกันโดยไม่ตรวจสอบให้ข้อเท็จจริงแล้วย่อมก่อให้เกิดข้อทะเลาะวิวาทกันได้

พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า “คนทั้งหลายที่มองอะไรเพียงด้านเดียว ย่อมถือข้อขัดแย้งทะเลาะวิวาทกัน”

ฉะนั้น จึงควรลดการมองจากด้านเดียวมามองหลายด้านจะทำให้ได้ข้อเท็จจริงเพิ่มขึ้นและช่วยลดข้อขัดแย้งได้ เมื่อลดข้อขัดแย้งได้ ย่อมจะก่อให้เกิดความสุขสงบได้ในครอบครัว ในสังคม และในประเทศชาติ คนในองค์กรก็จะไม่แตกความสามัคคี

สรุป

คนเราไม่ควรมองอะไรเพียงด้านเดียวแล้วด่วนนำมาตัดสิน เพราะจะก่อให้เกิดความคลาดเคลื่อนไปจากข้อเท็จจริงได้ ฉะนั้น นักบริหาร จึงควรมีข้อมูลหลายด้านเพียงพอก่อนจะวินิจฉัยสั่งการออกไปและจะทำให้ข้อวินิจฉัยสั่งการไปนั้น ไม่ผิดพลาดหรือไม่ก่อให้เกิดความเสียหายได้ และประการสำคัญคนในองค์กรหรือในสังคมจะไม่แตกแยกกันเพราะความเห็นไม่ลงรอยกันนั้นเอง

หมายเลขบันทึก: 657268เขียนเมื่อ 5 พฤศจิกายน 2018 23:17 น. ()แก้ไขเมื่อ 5 พฤศจิกายน 2018 23:17 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท