การตักบาตรและเลี้ยงพระ 9 รูป รวมถึงการบริจาคโลหิตในวันที่ 13 ตุลาคม 2561 คือส่วนหนึ่งของกิจกรรมที่จัดขึ้น เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต “ในหลวงรัชกาลที่ 9”
กิจกรรมดังกล่าว หลักๆ แล้วริเริ่มโดยนิสิต ประกอบด้วยทีมหลักจาก “เครือข่ายนิสิตจิตอาสาเพื่อสังคม”(ทำดีเพื่อพ่อ ทำดีเพื่อแผ่นดิน) “เครือข่ายนิสิต ๙ต่อ Before After” และอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่ง เช่น ชมรมเดินตามรอยเท้าพ่อ ชมรมอาสายุวกาชาด สภานิสิต องค์การนิสิต
ผมไม่ค่อยได้มีส่วนกับการบริหารจัดการอะไรเกี่ยวกับการงานในครั้งนี้มากมายนัก เพียงเพราะตั้งใจที่จะ "เปิดพื้นที่" ให้นิสิตได้ "คิดรูปแบบ" กันเอง ดังนั้นจึงจัดวางบทบาทตัวเองผ่านการให้ "คำปรึกษาและติดตามงาน" เป็นระยะๆ เสียมากกว่า
นอกจากนั้นก็เน้นการเรียนรู้ในสิ่งที่พวกเขาได้ “คิดและทำ” ผ่านคำถามเรียบง่ายใยแบบฉบับของผม เช่น ทำอะไร ทำเพราะอะไร ทำอย่างไรทำถึงไหนแล้ว ใครมาช่วยทำบ้าง อยากให้ช่วยทำอะไรบ้า –
กรณีดังกล่าว ถือได้ว่านิสิตได้ทำในสิ่งที่คิดและออกแบบไว้ค่อนข้างมาก ขณะที่ผมปักหลักให้คำปรึกษาและหนุนเสริมเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น แม้กระทั่งการติดต่อระบบภายในมหาวิทยาลัย ผมก็แค่ชี้เป้าว่าอะไรอยู่ที่ไหน นิสิตต้องติดต่อใคร ซึ่งส่วนใหญ่ผมจะให้นิสิตจัดการเองเกือบทั้งหมด ยกเว้นก็แต่ระบบหนังสือราชการเท่านั้นที่ผมยังต้อง “ทำให้กับนิสิต” ด้วยมือของผมเอง จากนั้นจึงให้นิสิตนำไปยื่นต่อส่วนงานที่เกี่ยวข้อง
สิ่งเหล่านี้คือการสอนให้นิสิตเรียนรู้ระบบการติดต่อประสานงานกับส่วนราชการ ฝึกการสื่อสารทั้งในระบบกิจกรรมและในฐานะมนุษย์หรือพลเมืองของสังคม
หากแต่ในบางกรณีเหลือบ่ากว่าแรงที่นิสิตจะจัดการได้ ผมถึงจะยกสายประสานตรงไปยังผู้บริหาร หรือลงแรงพุดคุยกับส่วนงานที่เกี่ยวข้อง ยกตัวอย่างเช่น กรณีที่เกี่ยวโยงกับกองอาคารสถานที่ที่ว่าด้วยเครื่องเสียง ไฟสปอร์ตไลท์ ฯลฯ
กรณีของการทำบุญตักบาตรและเลี้ยงพระ นิสิตติดต่อกราบนิมนต์พระสงฆ์กันเอง ซึ่งกราบนิมนต์ 4-5 วัดเลยทีเดียว ดำเนินการเสร็จแล้วค่อยมาแจ้งผมให้ทราบ พอผมรับรู้ก็ตกใจอยู่มากพอสมควร แต่ก็ค่อยๆ ทำความเข้าใจ ชวนพูดคุยหลากมุมมองเกี่ยวกับการงานเหล่านี้ แต่ทั้งปวงก็ยัวงให้เป็นไปตามสิ่งที่เขาได้ตัดสินใจ เพราะมิอาจรื้อถอนอันใดได้แล้ว รวมถึงพินิจดูก็มิใช่เรื่องที่จะเสียหายอะไร-
เช่นเดียวกับการทำหน้าที่ “โค้ช” อีกรอบด้วยการสร้างประเด็นให้เรียนรู้ร่วมกัน เช่น ทำไมกระจายไปตามวัดมากมายปานนั้น แถมกราบนิมนต์ข้ามนิกายอีกต่างหาก เพราะพระสงฆ์ต่างนิกายต่างมีเวลาการฉันภัตตาหารที่ต่างกัน ผูกโยงกระทั่งว่ารถยนต์รับส่งพระสงฆ์มีกี่คัน จะวิ่งวนอย่างไร จะเช้ามืดเกินไปหรือเปล่า หรือจะทันเวลาหรือไม่
ทั้งปวงนั้น เป็นเพียงคำถามที่นำไปสู่การเรียนรู้เป็นหัวใจหลัก มิใช่โบยตี หรือกระทั่งระงับ รื้อถอน
เช่นเดียวกับการตั้งประเด็นการเรียนรู้เกี่ยวกับการจัดเตรียมสถานที่รองรับ ทั้งศาสนพิธีและการถวายรำลึกสู่การถวายเป็นพระราชกุศลว่าต้องทำอย่างไร ห้วงเวลาใดคือเวลาที่เหมาะสม
สิ่งเหล่านี้ผมไม่มีความรู้แจ่มชัดเท่านิสิตหรอกนะครับ แต่ตั้งประเด็นให้นิสิตใคร่ครวญร่วมกัน แบ่งปันความรู้และประสบการณ์ร่วมกัน โดยผมก็ถือโอกาสเรียนรู้ไปด้วย แต่ที่แน่ๆ คือเน้นย้ำถึงรูปแบบอันเรียบง่าย สมถะ ไม่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย หรือระมัดระวังมิให้ทะลุนอกกรอบจากชุดความรู้ หรือจารีตประเพณีอย่างที่ควรจะต้องเป็น เพราะนี่คือฐานคิดอันเป็นศาสตร์พระราชาที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้ส่งมอบเป็นมรดกทางความคิดที่ประกอบด้วย “เข้าใจ-เข้าถึง-พัฒนา”
เช่นเดียวกับการเน้นย้ำถึงระบบงานทั้งวันที่ไม่ได้มีแต่เฉพาะ 2 กิจกรรมนี้ โดยให้นิสิตแบ่งสันปันส่วนงานให้ดี กระจายงานไปให้ทั่วถึง และมอบการทำงานให้ตรงกับความสามารถและความสนใจของแต่ละคน ยกตัวอย่างเช่น ทีมใดจะรับผิดชอบเรื่องตักบาตร ทีมใดตะรับผิดชอบเรื่องบริจาคโลหิต ทีมใดจะประสานผู้บริหาร ทีมใดจะจัดเตรียมนิทรรศการ ทีมใดจะวางระบบและบริหารจัดการเรื่องแปรอีกษรภาพ
ส่วนกรณีกิจกรรมบริจาคโลหิตนั้น เดิมเรามีปฏิทินในมือคือวันที่ 8 ตุลาคม 2561 แต่ด้วยความที่จะผนึกมาเป็นกิจกรรมถวายเป็นพระราชกุศล ผมจึงมอบให้เจ้าหน้าที่ประสานตรงไปยังโรงพยาบาลมหาสารคามเพื่อปรับเปลี่ยนกำหนดการ –
ใช่ครับ เป็นการมอบหมายภารกิจให้เจ้าหน้าที่หนุนเสริมการทำงานแทนนิสิต เพื่อให้นิสิตได้มีสมาธิในการออกแบบส่วนที่เหลืออย่างเต็มที่
สิ่งหนึ่งที่เราวิเคราะห์ก็คือกิจกรรมวันที่ 13 ตุลาคม 2561 ตรงกับวันเสาร์ แถมยังมีวันหยุดชดเชยพ่วงเข้ามาอีก หลายคนวิตกว่าจะมีคนมาบริจาคโลหิตค่อนข้างน้อย
แต่พอประสานไปยังโรงพยาบาล ได้รับข่าวสารว่า “ขาดเลือด” เรายิ่งรู้สึกว่าต้องทำอะไรมากกว่าการประชาสัมพันธ์ทั่วไป ด้วยเหตุนี้จึงสำทับกับชมรมอาสายุวกาชาด และเครือข่ายนิสิต ๙ต่อBefore After ให้สื่อสารเชิงรุกให้มากขึ้น พร้อมๆ กับการเชื่อมข้อมูลเข้ากับกลุ่มที่พักในหอพักของมหาวิทยาลัย เพื่อให้ลุกขึ้นมาทำกิจกรรมจิตอาสาร่วมกัน –
และในงานนี้ ชมรมเดินตามรอยเท้าพ่อก็จัดทำพวงกุญแจสัญลักษณ์ เลข ๙ เป็นของที่ระลึกสำหรับผู้บริจาคโลหิตด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นผักตบชวาจากกิจกรรมที่นิสิตน้อมนำพระราชดำริในหลวงรัชกาลที่ 9 มาขับเคลื่อนการบำบัดน้ำเสียในสระของมหาวิทยาลัย -
สรุปแล้ววันนั้น (13 ตุลาคม 2561) มีคนมาบริจาคโลหิต จำนวน 130 คน (52,000 CC.) ซึ่งถือว่ามากอย่างน่าภาคภูมิใจ เป็นจำนวนที่เท่าเทียมหรือมากกว่าการจัดแต่ละครั้งในบางครั้งเลยทีเดียว –
โดยสรุปแล้ว กิจกรรมทั้งสองอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ ผมเชื่อเหลือเกินว่าทุกคนมี "ความสุข" ต่อการได้ “ทำดี” เพื่อ “ในหลวงรัชกาลที่ 9” และการสานต่อคำพ่อสอนสู่แผ่นดิน “ในหลวงรัชกาลที่ 10”
ในส่วนกระบวนการเรียนรู้นั้น ผมก็เชื่อว่าบรรดาแกนนำนิสิตทั้งหลายจะได้เรียนรู้ว่าด้วยความรู้และทักษะอะไรๆ ในตัวไปพร้อมๆ กัน เช่น
นี่คือบางประเด็นที่ผมเจตนาซ่อนซ้อนไว้ในเวทีของการจัดกิจกรรม ไม่ใช่แค่สร้างพื้นที่ให้นิสิตได้รำลึกถึงในหลวงรัชกาลที่ 9 หรือวิถีการงานจิตอาสา-อาสาสมัครเท่านั้น ทว่าทำแล้วต้องเกิดการเรียนรู้เรื่องอื่นๆ ไปด้วย
ยืนยันว่าคิดและออกแบบไว้ล่วงหน้าเช่นนั้นจริง ๆ มิใช่งานจบแล้วค่อยมาเชื่อมโยง ลากความเข้าหากันว่า “คิดและออกแบบการเรียนรู้ไว้แล้วตั้งแต่ต้น”
ครับ- ยืนยันว่า “คิดและออกแบบไว้ล่วงหน้าเช่นนั้นจริงๆ”
หมายเหตุ :
ภาพ : เครือข่ายนิสิตจิตอาสาเพื่อสังคม / ๙ต่อBefore After
เขียน : เสาร์ที่ 20 ตุลาคม 2561
เด็ก ๆ ยิ้มน่ารักจริงจัง ;)…
อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ สาธุ
อนุโมทนา…สาธุ..กับการทำความดีของทุก ๆ คนจ้ะ
ครับ อ.Wasawat Deemarn
รอยยิ้มของนิสิต เป็นรอยยิ้มของเช้าชื่นแห่งชีวิต ครับ
ขอบพระคุณครับ KwansudaB… ขอผลบุญนี้มีผลต่อสังคมร่วมกัน ครับ
ครับ พี่มะเดื่อ
นี่คือความดีงาม และความสุขที่สัมผัสได้อย่างไม่ยากเย็น ครับ
นิสิตได้ลงมือทำเอง คิดก่อนและหลังทำ ได้ความรู้ต่าง - เพิ่ม - ต่อยอด เป็นชุดความรู้พื้นฐานการทำงานเป็นทีม - เครือข่าย ที่ดีต่ออนาคตทั้งนั้น … Event นำมาซึ่งการ “สร้างคน” นะคะ
ยินดีกับ Super coach ด้วยค่ะ … ถึงขนาดลงมือทำหนังสือราชการเองเลยทีเดียว ^_,^
สวัสดีครับ พี่หมอ ธิ
ที่จริงแลเว ผมฝึกให้นิสิตทำหนังสือราชการด้วยนะครับ ทำแล้วส่งไฟล์มาให้ผม แต่จริงๆ ผมทำรอไว้เรียบร้อยแล้ว จากนั้น พอหนังสือออกเลขเสร็จ ก็ให้เดินเอง และให้สำเนาหนังสืออีกชุดเอาไปจัดเก็บไว้ที่พวกเขาเอง เพื่อเป็นกรณีศึกษาแบบไม่ต้องมาให้เราต้องสอนซ้ำซ้อนอีก
นั่นคือสิ่งที่ผมทำ หรือสอนเขาในแบบฉบับของผม ครับ