คอลัมน์ Editor’s Choice ในวารสาร Science ฉบับวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๑ แนะนำเรื่อง Disruptive classmates, longterm harm (1) นำผมไปสู่รายงานผลการวิจัยเรื่อง The Long-Run Effects of Disruptive Peers (2)
นี่คือเรื่อง “ผลจากเพื่อน” (peer effect) ด้านการศึกษา
รายงานผลการวิจัยนี้ ลงในวารสาร American Economic Review มีวิธีการเก็บข้อมูลระยะยาวที่น่าทึ่ง ทั้งข้อมูลด้านการบริหาร ข้อมูลผลการทดสอบ ข้อมูลการเข้าเรียนมหาวิทยาลัย และการเรียนจบ และข้อมูลรายได้ มีการระมัดระวังเรื่อง confounding factors
ผลการวิจัยบอกว่า การอยู่ในชั้นเรียนที่มีเด็กก่อกวน ช่วงชั้นประถมศึกษา มีผลลดรายได้ลง ร้อยละ ๓ ในช่วงอายุ ๒๔ - ๒๘ ปี และยังคำนวณได้ว่า การที่เด็กอยู่ในสภาพความรุนแรงในครอบครัว ส่งผลต่อช่องว่างทางรายได้ระหว่างคนจนกับคนรวย โดยมีส่วนต่อช่องว่างดังกล่าวร้อยละ ๕ และคำนวณได้ว่า การอยู่ในสภาพชั้นเรียนที่มีการก่อกวน ๑ ปี มีผลลดรายได้ตลอดชีวิต ๘ หมื่นเหรียญ
สนับสนุนหลักการว่า การเรียนรู้เป็นกระบวนการทางสังคม (socialization) ซึ่งผมอดไม่ได้ที่จะเถียงว่า หากเราฝึกให้เด็กใคร่ครวญสะท้อนคิด (reflection) เป็น เด็กจะสามารถใช้ประสบการณ์เชิงลบ ให้ก่อผลเชิงบวกแก่ตนได้ การมีประสบการณ์ถูกเพื่อนแกล้งหรือข่มเหง อาจส่งผลทางบวกต่อการเรียนรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต่อการพัฒนาทักษะชัวิต ได้
ผมเถียงต่อว่า เป็นหน้าที่ของผู้บริหารโรงเรียน ครู คณะกรรมการโรงเรียน และผู้นำชุมชน ที่จะต้องดำเนินการแก้ไขสภาพเชิงลบทางสังคมในโรงเรียน การมีเด็กเกเรในโรงเรียนเป็นเรื่องธรรมดา แต่เป็นหน้าที่ของโรงเรียนที่จะต้องมีวิธีช่วยเหลือเปลี่ยนแปลงเด็กเกเรให้กลายเป็นเด็กที่มีพัฒนาการไปในทางดี ไม่ใช่มองว่าเป็นเรื่องของเด็กไม่รักดี
ผมเชื่อว่า มีตัวอย่างความสำเร็จในประเทศไทย ที่มีครูหรือโรงเรียนที่สามารถเปลี่ยนเด็กเกเรเป็นเด็กพลังสูง ในการทำประโยชน์แก่เพื่อน แก่โรงเรียน และแก่ชุมชนโดยรอบโรงเรียน
วิจารณ์ พานิช
๓๑ ส.ค. ๖๑
ไม่มีความเห็น