“โรงเรียนร่วมพัฒนา”สะท้อนปัญหาการบริหารงานโรงเรียนทั่วไป


แนวดำเนินการโรงเรียนร่วมพัฒนา จึงเป็นเงาสะท้อนให้เห็นถึงอุปสรรคปัญหาของระบบบริหารจัดการโรงเรียนทั่วไปในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นบริหารในรูปแบบคณะกรรมการ ซึ่งเป็นฝันที่ยังไม่เป็นจริง กำหนดเวลาของผู้บริหารในแต่ละโรงทำให้เกิดความฉาบฉวย ขาดความต่อเนื่อง อีกทั้งสายการบริหารงานที่เหยียดยาวขึ้น..กว่าจะถึงโรงเรียน ทั้งที่ควรสั้นกระชับ

โครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา(Partnership School) เป็นรูปแบบหนึ่งที่รัฐบาลมอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.)ดำเนินการ มีความแตกต่างจากโรงเรียนประชารัฐ เพราะนอกจากภาคเอกชนจะสนับสนุนการจัดการศึกษาแล้ว ยังจะเข้าร่วมบริหารจัดการโรงเรียนร่วมกับภาคประชาสังคมในท้องถิ่น ปัจจุบันมีโรงเรียนเข้าร่วมโครงการในระยะแรกถึง 40 โรง

การบริหารงานโรงเรียนร่วมพัฒนาจะอยู่ภายใต้การดูแลของผู้มีส่วนร่วมต่างๆ อาทิ ภาคเอกชน ผู้นำระดับท้องถิ่น ชุมชน ผู้ปกครอง และมหาวิทยาลัยในพื้นที่ กำหนดคุณสมบัติผู้อำนวยการหรือผู้บริหารโรงเรียนไว้ว่า ต้องอยู่ในตำแหน่งต่อเนื่อง 4 ปี มีการจัดตั้งหน่วยประสานงานกลางมาดูแลโดยตรง มีเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)เป็นประธาน โดยไม่ผ่านศึกษาธิการจังหวัดหรือเขตพื้นที่การศึกษา ทำให้การทำงานและการแก้ไขปัญหารวดเร็วขึ้น

โรงเรียนร่วมพัฒนาคงเริ่มจากการที่ให้เอกชนเข้ามาสนับสนุนงบประมาณการจัดการศึกษาในโครงการโรงเรียนประชารัฐก่อนหน้า พิจารณาแนวทางการดำเนินการของโรงเรียนร่วมพัฒนาเปรียบเทียบกับโรงเรียนทั่วไปแล้ว พบประเด็นสำคัญบางประการที่น่าสนใจ อาทิ การบริหารงาน คุณสมบัติผู้อำนวยการ และหน่วยประสานงานกลาง

เรื่องแรกการบริหารงาน ถ้าไม่นับภาคเอกชนและมหาวิทยาลัย โรงเรียนร่วมพัฒนาแทบไม่ต่างจากโรงเรียนทั่วไป พระราชบัญญัติการศึกษา พ.ศ. 2542 ก่อให้เกิดการบริหารงานโรงเรียนในรูปคณะกรรมการสถานศึกษา ซึ่งประกอบด้วยผู้เกี่ยวข้องคล้ายกันนี้ ได้แก่ ผู้นำชุมชน ผู้ทรงคุณวุฒิ พระภิกษุสงฆ์ ผู้ปกครอง ศิษย์เก่า ครู ฯลฯ ไม่ว่าโรงเรียนจะทำอะไร วางแผนปฏิบัติงาน จัดสรรงบ จัดทำหรือพัฒนาหลักสูตร รายงานผลการปฏิบัติงานประจำปี ล้วนต้องผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการชุดนี้ 

แต่ที่ผ่านมาคณะกรรมการสถานศึกษาไม่สามารถแสดงบทบาทได้อย่างแท้จริง การพิจารณาเรื่องราวของโรงเรียนยังเป็นลักษณะถ้อยทีถ้อยอาศัย เหตุเพราะตัวบุคคลในคณะกรรมการมักได้มาจากการชี้นำของผู้บริหาร ซึ่งทำหน้าที่เป็นเพียงเลขานุการของคณะกรรมการชุดนี้ การบริหารงานโรงเรียนตัวจริงเสียงจริงจึงยังเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนอยู่เช่นเดิม แทบไม่ต่างจากก่อนมีพระราชบัญญัติการศึกษา 

หลักคิดที่จะให้โรงเรียนถูกบริหารจัดการในรูปคณะกรรมการ ซึ่งมาจากผู้มีส่วนได้เสีย ประโยชน์ชัดเจนอยู่ในตัวเอง “หลายคนคิดย่อมดีกว่าคิดคนเดียว” หากการดำเนินงานของโรงเรียนผิดพลาดล้มเหลวผลกระทบใหญ่หลวง จากความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับเด็กทุกๆคนในชุมชน ให้คิดให้ทำอยู่คนเดียวจึงไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆสนุกๆที่จะเสี่ยง 

ในโรงเรียนร่วมพัฒนา ศธ.น่าจะรู้และวางแผนรับมือกับความเสี่ยงเหล่านี้มาเป็นอย่างดี เพราะเจ้าของเงินหรือผู้สนับสนุนงบประมาณจะร่วมบริหารโรงเรียนเองร่วมกับภาคประชาสังคมท้องถิ่นอีกแรงหนึ่ง 

เรื่องที่สองคุณสมบัติผู้อำนวยการโรงเรียนหรือผู้บริหาร กำหนดให้อยู่ในตำแหน่งอย่างต่อเนื่อง 4 ปี ปัญหาการทำงานอย่างหนึ่งของผู้บริหารโรงเรียนทั่วไปในปัจจุบัน ถ้าเป็นโรงเรียนขนาดเล็กหรือกลาง การย้ายเป็นการมาเพื่อไปต่อ หมายถึงมาอยู่เพื่อรอขยับไปโรงเรียนใหญ่ขึ้น อำนาจบารมีหรือผลประโยชน์สูงขึ้น ถ้าถึงขั้นโรงเรียนใหญ่สุด อาจเพื่อเกียรติยศศักดิ์ศรีในชีวิตราชการ หรือเพื่อรอวันเกษียณอันสวยงาม ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ปรมาจารย์ด้านการศึกษาอีกคนหนึ่งของบ้านเราเคยแนะในกรณีนี้ การทำงานทุกตำแหน่งแห่งหน ต้องคิดว่าเป็นเก้าอี้ตัวสุดท้าย ความมุ่งมั่นอย่างเต็มกำลังความสามารถจึงจะเกิด 

ความไม่ทุ่มเทจากการมาอยู่เพื่อไปต่อ อาจสร้างความเสียหายให้กับโรงเรียนนานัปการ อาทิ ไม่สนใจระบบงาน ความต่อเนื่อง เข้มแข็ง หรือผลที่จะเกิดในระยะยาว มุ่งเพียงผลระยะสั้น เฉพาะหน้าเฉพาะกิจ ทำเพื่อให้มี เน้นแค่เปลือก แค่ให้เข้าตาผู้มีอำนาจให้คุณให้โทษ โรงเรียนจึงอ่อนแอลงทั้งที่อายุมากขึ้น ตรงข้ามกับที่ควรจะเป็น “อายุโรงเรียนยิ่งมาก ระบบงานยิ่งน่าจะเข้มแข็ง ด้วยวัยและประสบการณ์ที่สั่งสม” 

ยิ่งไปกว่านั้นการย้ายเพื่อไปต่อ ถ้าได้ย้ายเพราะผลงานที่โรงเรียนเดิมดี ทุกคนคงเอาจริงเอาจังกับการปฏิบัติงาน โรงเรียนก็น่าจะพัฒนาขึ้นเรื่อยตามวันเวลา แต่ที่เห็นนั้นมักมาจากเหตุผลอื่น จึงเน้นทำเหตุผลอื่นกัน แทนที่จะเป็นความยั่งยืนของโรงเรียนหรือความสำเร็จของบุตรหลาน 

กติกาการย้ายผู้บริหารล่าสุด กำหนดต้องดำรงตำแหน่งเดิมไม่น้อยกว่า 2 ปี(เกินปีครึ่งปัดเศษ) ขณะโรงเรียนร่วมพัฒนา เพื่อความต่อเนื่อง กำหนดไว้ถึงสองเท่าหรือ 4 ปี จึงพอสมมติฐานได้ว่า ศธ.ก็คงรู้ซึ้งถึงปัญหานี้ 

เรื่องสุดท้ายหน่วยประสานงานกลาง จากที่กำหนดให้เลขาธิการ กพฐ. เป็นประธานในการดูแลโรงเรียนร่วมพัฒนา แทนที่จะเป็นศึกษาธิการจังหวัดหรือเขตพื้นที่การศึกษาดั่งโรงเรียนทั่วๆไป ชวนให้คิดได้ว่า ศธ.น่าจะตระหนักถึงอุปสรรคจากสายการบริหารที่ยืดยาวเยิ่นเย้อบ้างเหมือนกัน จากศธ.กว่าจะมาถึงโรงเรียน อันที่จริงก็มีที่มาจากการปฏิรูปแบบย้อนยุคของตัวเอง ด้วยการนำศึกษาธิการเขตหรือศึกษาธิการจังหวัดในสมัยโน้นกลับมาใช้ใหม่ โดยยังคงเขตพื้นที่การศึกษาไว้ จนเห็นริ้วรอยความไม่ลงตัวต่างๆ เกิดศึกแย่งชิงอำนาจในฝ่ายบริหารมาจนวันนี้ อาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งของศธ.ด้วย ที่ให้เลขาธิการ กพฐ.ดูแลโรงเรียนร่วมพัฒนาโดยตรง 

แนวดำเนินการโรงเรียนร่วมพัฒนา จึงเป็นเงาสะท้อนให้เห็นถึงอุปสรรคปัญหาของระบบบริหารจัดการโรงเรียนทั่วไปในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นบริหารในรูปแบบคณะกรรมการ ซึ่งเป็นฝันที่ยังไม่เป็นจริง กำหนดเวลาของผู้บริหารในแต่ละโรงทำให้เกิดความฉาบฉวย ขาดความต่อเนื่อง อีกทั้งสายการบริหารงานที่เหยียดยาวขึ้น..กว่าจะถึงโรงเรียน ทั้งที่ควรสั้นกระชับ

ทางออกเรื่องนี้ง่ายมาก ถ้าเข้าใจและตระหนัก ศธ.ควรนำแนวทางของโรงเรียนร่วมพัฒนา ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการ โดยเฉพาะประเด็นการบริหารงานตามที่กล่าวมา ไปปรับหรือประยุกต์ใช้กับโรงเรียนทั่วไปทั้งหมดทุกๆโรง

(พิมพ์ในมติชนออนไลน์, 1 พฤศจิกายน 2561)

หมายเลขบันทึก: 653746เขียนเมื่อ 25 กันยายน 2018 23:46 น. ()แก้ไขเมื่อ 1 พฤศจิกายน 2018 08:35 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

เกิดความแปลกประหลาดใจเสมอ ๆ สำหรับการศึกษาไทย ;)…

การศึกษาไทยเป็นดังเช่นอาจารย์ว่าจริงๆครับ!

ขอบคุณอาจารย์Wasawatมากครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท