ผมกำลังสืบค้นเรื่อง "การฟังอย่างลึกซึ้ง" หรือ Deep Listening พอดีไปเจอคลิปการบรรยายของ ดร.ประพนธ์ ผาสุขยืด อดีตผู้นำด้านการจัดการความรู้ (KM) ของไทย น่าสนใจว่า "คน KM กับ ศาสตร์ด้านจิตตปัญญาศึกษา จะว่าเรื่องการฟังอย่างลึกซึ้งตรงกันต่างกันอย่างไร ... จึงใช้เวลานั่งดู แลจับประเด็นได้ ดังนี้
VIDEO
ผลการวิจัยบอกว่า ปี 2000 คนมีระยะเวลาที่จดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง (attension span) อยู่ที่ ๑๒ วินาที ต่อมา ๑๒ ปี มีการทำวิจัยซ้ำ พบว่า attension span ลดลงมาอยู่ที่ ๘ วินาทีเท่านั้น สั้นกว่า ปลาทองที่มีค่า attension span อยู่ที่ ๙ วินาที
การฟังอาจแบ่งเป็น ๓ ระดับ ได้แก่
การฟังแบบ Hearing คือฟังแบบได้ยิน ใช้หูฟัง
การฟังแบบ Listening คือ ฟังเพื่อจะตอบ ฟังเพื่อให้คำแนะนำ และฟังเพื่อที่จะเข้าใจ เป็นการฟังที่สมองทำงานหนักมาก หรืออาจเรียกว่า ฟังด้วยสมอง มีลักษณะที่แตกต่าง สวนทางกับ Hearing ๓ อย่างคือ
Intentional ตั้งใจ
Voluntary สมัครใจฟัง
Focused จดจ่อ
การฟังแบบ Deep Listening คือ ฟังอย่างลึกซึ้ง ฟังด้วยหัวใจ มีลักษณะดังนี้
ฟังด้วยความรู้ตัวทั่วพร้อม Listening with the whole being
ฟังด้วยใจ ใช้ตา ใช้หู ใช้ผิวกาย
ฟังเพื่อทำความเข้าใจ และเพื่อเชื่อมโยง
อยู่กับปัจจุบัน
ฟังจนได้ยินเสียงภายใน (inner voice)
ติส นัท ฮัน บอกว่า Deep Listening คือการฟังอย่างเมตตา ฟังอย่างรู้ตัวทั่วพร้อม
KPI ตัวแรกของ Deep Listening คือ การได้ยินเสียงในหัว เสียงตัดสิน เสียงตำหนิ เสียงบ่น ฯลฯ
KPI ตัวที่สองของ Deep Listening คือ ความเงียบ (Silent) คือไม่มีเสียงในหัว ซึ่งจะเกิดขึ้นจาก การเจริญสติ ตามรู้ตามดู จนเสียงน้อยลงๆ เรื่อยๆ และเงียบไป
สิ่งที่น่าสนใจคือ คำว่า "Listen" กับคำว่า "Silent" มีตัวอักษรเหมือนกันทุกตัว เพียงแต่สลับที่ อีกคำหนึ่งคือคำว่า หู ear แค่เติม H จะได้ Hear ทันที
ศาสตราจารย์ Ram Dass ที่ไปแสวงหาสัจธรรมที่อินเดีย เขียนหนังสือชื่อ Listen and Silent บอกว่า ยิ่งเงียบเท่าไหร่ ยิ่งจะได้ยินมากขึ้นเท่านั้น
จอห์น กรอสซ์แมน บอกว่า "Silence is not the absence of something but the presence of everything" แปลว่า ความเงียบมิใช่การหายไปของบางสิ่งบางอย่าง หากแต่มันคือการปรากฎขึ้นของทุกสิ่งทุกอย่าง" .... ว่างั้น
"เสียงผัดไทย กับเสียง น้ำไหล ไม่ได้แตกต่างกัน" ดร.ประพนธ์ กล่าว
Frank Ostaseski ผู้ก่อตั้งสถาบันเมตตา (www.mettainstitute.org) เล่าว่า มีพยาบาลจบใหม่คนหนึ่ง หลังจากที่ต้องเจองานหนักๆ ครั้งหนึ่งเธอกลับบ้านไป เธอพบว่า ประสบการณ์อันทุกข์ทรมานของคนไข้ได้กลายมาเป็นเสียงในหัวของเธอตลอดเวลา วันรุ่งขึ้นเธอเล่าเรื่องนี้ให้หัวหน้าฟัง หัวหน้าบอกเธอว่า "คุณจะต้องสร้างกรอบขึ้นมาปกป้องตัวเธอไว้บ้าง" พยาบาลสาวคนนั้นเข้าใจไปเองว่า เธอต้องถอยห่างออกมาจากคนไข้รายนั้น ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วเธอก็ห่วงใยและรักใคร่คนไข้ค่อนข้างมาก สุดท้ายการตายของคนไข้คนนั้น ทำให้เธอรู้สึกผิดอย่างมาก
Frank Ostaseski บอกว่า การฟังอย่างลึกซึ้ง จะทำให้เราได้สัมผัสกับตัวตนและสภาวะชั่วขณะปัจจุบันของเราด้วย
การฟังที่ดีต้อง Check in ที่ฐานทั้ง ๓ คือ ที่หัว ที่ใจ และที่กาย ที่ฐานหัว มักวิ่งไปในอดีตอนาคต แต่ที่ฐานกายจะอยู่กับปัจจุบันเสมอ การฟังอย่างลึกซึ้งจึงเป็นสิ่งที่จะทำให้ผู้ฟังเกิดปัญญาญาณ (Intuitive)
แล้วการฟังแบบไหนที่จะใช้ KM ตอนแรกๆ ที่มาช่วยงานหมอวิจารณ์ ท่านคิดว่า ปัญหาน่าจะเป็นไม่มีผู้แชร์ แต่ผิด จริงๆ แล้ว การแชร์เกิดขึ้นได้ดี หากมีบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมที่ดี โดยเฉพาะต้องมีผู้ฟังที่ดี เพราะท่านพบว่า การแชร์ที่ไม่ได้ ไม่สำเร็จ เพราะเหตุคือ ผู้ฟังฟังไม่ดี
บางครั้งการฟังแบบไหน อาจขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของวง เช่น ฟังแบบ R2R อาจจะต้องใช้การฟังระดับ ๒ เท่านั้น เพราะต้องคิดพิจารณาวิจัยไปด้วย
หลักสำคัญของวิทยากรคือ ไม่ว่าจะเริ่มเลทช้าแค่ไหน ก็ต้องเลิกให้ตรงเวลาหรือก่อนเวลาเล็กน้อย .... ฮา ไม่รู้เป็นมุขอะไรหรือเปล่า
จับการจับประเด็นสดๆ ผมได้เรียนรู้จากท่านว่า
จงใช้คนในครอบครัวช่วยทำงาน เตรียมการบรรยาย ท่านใช้ภรรยาช่วยแปลภาษาจีน ให้ลูกชายคนเล็กตัดต่อคลิป
จงจดบันทึกเวลาทั้งหมดในการเตรียมตัว ท่านบอกว่า เตรียม ๒๐ ช.ม. มาพูด ๑ ชั่วโมง (๔๕ นาที)
จงทำสไลด์ให้ดูงาน ใช้ภาพ และแผนภาพ
ผมว่าบันทึกที่ผมเขียนนี้ไม่มีคนอ่านจนจบ เพราะว่า จริงๆ แล้ว คนไทยเราชอบ "ฟัง" มากกว่าชอบอ่าน