จุดหมายปลายทางที่เมือง Dallas
เคยได้ยินชื่อเมือง Dallas เมื่อ 14 ปีก่อน จากเพื่อนรุ่นพี่ที่ไปโครงการครูแลกเปลี่ยน AFS Visiting Teacher Program ด้วยกันที่มลรัฐ Maine เพราะพี่เขามีพี่สาวแต่งงานกับชาวอเมริกันและพักอาศัยอยู่ที่นี่ ยังแอบจินตนาการถึงภาพความเจริญของชุมชนไว้อย่างตื่นตา แต่กระนั้นก็ตามผู้เขียนก็ไม่เคยคิดฝันว่าจะได้มาเยือน เพราะระยะทางที่ดูค่อนข้างห่างไกลและไม่มีสายสัมพันธ์ใดๆที่จะเชื่อมโยงให้ได้มาข้องเกี่ยว แถมการประชาสัมพันธ์ ด้านการท่องเที่ยว ก็ไม่ค่อยมี Highlight ที่ดึงดูดให้มาเยือนสักเท่าไร หากไปเปรียบเทียบกับเมืองอื่นๆ เมื่อ 14 ปีก่อน
โอกาสแห่งการไปเยือน Dallas
เมื่อเอเอฟเอสประเทศไทยให้โอกาสมาปฏิบัติหน้าที่ Chaperone ที่เมือง Dallas ผู้เขียนจึงไม่รีรอที่จะตอบรับและเตรียมศึกษาข้อมูลเพื่อวางแผนการท่องเที่ยวหลังเสร็จสิ้นภารกิจในการส่งน้องๆทั้ง 16 คนให้กับเจ้าหน้าที่ชาวอเมริกัน นับว่าเป็นที่น่าเสียดายที่เกิดปัญหาสุขภาพเท้าขึ้นมาอย่างกะทันหัน เท้าด้านขวาจึงไม่แกร่งพอที่จะลุยได้อย่างสะดวก จึงปรับเปลี่ยนเส้นทางการท่องเที่ยวใหม่หมด คัดเลือกเฉพาะสถานที่ที่เอื้ออำนวยต่อสุขภาพเท้าเท่านั้น จากนั้นจึงดำเนินการจองที่พักและสายการบินภายในประเทศให้เรียบร้อยก่อนเดินทาง 1 เดือน ซึ่งเป็นวิธีการที่จะจองได้ในราคาไม่แพง เช่นการจองเครื่องบิน หากคุณไปจองก่อนแค่ 2-3 สัปดาห์ ราคาอาจสูงขึ้นมาอีก 1-2 เท่าตัว ยกเว้นประเภท Last Minuit จะบินอยู่วันนี้แล้วแต่มีที่เหลือ แบบนั้นก็จะถูกได้ราคาชนิดต้นทุนทีเดียว แต่ก็เสี่ยงที่อาจไม่มีเที่ยวบินไปเพราะที่นั่งเต็มหมด ส่วนเรื่องที่พัก ถ้าไม่จองก่อน ห้องพักอาจเต็ม หรือถ้าหากมีห้องพัก แต่ราคา Walk in มักจะสูงกว่าปกติถึง 30- 40 เปอร์เซ็นต์
ภาพแรกของชานเมือง Dallas
ทัศนียภาพเบื้องหน้าเป็นพื้นที่ราบดูกว้างไกลสุดลูกหู- ลูกตา เห็นอาคารตั้งอยู่ห่างกันเป็นระยะๆ ในระหว่างเส้นทางจากสนามบิน ไปยังโรงแรมที่พักในเขตชานเมือง Lewisville ห่างจากชุนชุนเมืองถึง 23.9 ไมล์ เหตุผลที่เลือกโรงแรมนี้เพราะต้องการที่พักราคาประหยัด เมื่อไปอ่าน Review จากคนที่เคยไปพักต่างก็ชมว่าดี สะอาด คุ้มค่าราคา แถมมีอาหารเช้าให้ด้วย พยายามจะหาข้อมูลจากเวปไซต์ว่ามี Public Transportation ผ่านแถวนี้ไหม แต่ไม่มีเวลาศึกษาเนื่องจากภาระงานประจำและงานเสริมกิจกรรมที่มันเร่งรัดค้ำคอจนหน้าเหลือง-หน้าเขียวทีเดียว
สมองประมวลภาพที่เห็นจากสองข้างทาง อย่างอ่อนล้า พื้นที่ว่างโล่งของแดนดินแห่งนี้ยังมีให้เห็นอยู่เป็นจำนวนมาก อาคารส่วนใหญ่สร้างแค่ชั้นเดียว ทิ้งช่วงระยะห่างกันพอควร นี่แหละที่เป็นปัญหาใหญ่ของผู้เขียนละ เพราะการจะไปแต่ละที่นั่นหมายความว่า คุณต้องใช้บริการรถหรือเดินลากขาไปยาวๆ หลายไมล์ทีเดียว
การใส่ใจในการบริการที่ดี
พนักงานต้อนรับหนุ่มผิวคล้ำ ท่าทางเป็นคนมีน้ำใจ แถมอารมณ์ดีอีกต่างหาก คาดเดาว่าน่าจะเป็นชาวเอเชีย รีบเร่งให้บริการหาห้องให้พัก ทั้งๆที่เวลานั้นเที่ยงครึ่ง ยังเหลือเวลาอีก 2 ชั่วโมงครึ่งถึงจะมีสิทธิ์เช็คอินตามกฏระเบียบ แต่ก็จัดการเร่งรัดให้เข้าพักได้เลย นาทีที่หัวถึงหมอนก็หลับใหลไปยาวนานทีเดียว
ลืมตาตื่นขึ้นมาเห็นแสงจากด้านนอกส่องผ่านช่องหน้าต่างที่เปิดผ้าม่านไว้ครึ่งหนึ่ง……ความคิดส่งผ่านมาสู่ความรู้สึกนี่มันกี่โมงแล้วนะ……ตรวจสอบเวลาจากเครื่องโทรศัพท์ จึงเห็นตัวเลขแสดงเวลา 20.30 น. โห…. นี่หลับไปยาวนานขนาดนั้นเลยเหรอ แสงที่ส่องเข้ามาคือแสงไฟ แต่เหตุใดตนจึงแยกไม่ออก คอแห้งขึ้นมาอย่างฉับพลัน…ที่นี่ไม่มีน้ำวางตั้งไว้ให้สักขวด ตู้เย็นก็ไม่มี แต่มีเครื่องชงกาแฟไว้ให้ มีไดร์เปาผม มีอ่างอาบน้ำ มีผ้าเช็ดตัวหลายขนาดวางไว้เป็นระเบียบ ที่แน่ๆ เตียง Queen size พร้อมที่นอนอ่อนนุ่ม และหมอน 3 ใบฉาบกลิ่นหอมของความสะอาดช่วยให้รู้สีกดี นับว่าคุ้มค่ากับราคา 50 เหรียญ
เดินออกไปสอบถามเจ้าหน้าที่ประจำเคาน์เตอร์ซึ่งเปลี่ยนเป็นหนุ่มคนใหม่ว่า คนที่นี่เขาดื่มน้ำจากก๊อกน้ำกันหรืออย่างไร ได้รับคำตอบว่า มีบางคนดื่มน้ำจากก๊อกน้ำเลย แต่เขาไม่แนะนำให้ผู้เขียนทำเช่นนั้น อ้าวเหรอ... แล้วฉันจะดื่มน้ำได้ที่ไหน เขาตอบว่า คุณต้องไปกดจากเครื่องอัตโนมัติด้านในคิดเป็นเงิน 1 เหรียญ เอาแบบนี้ละกันผมจะให้น้ำคุณไป 1 ขวด *** เป็นน้ำใจที่ได้รับจากพนักงานต้อนรับ ***
เดินสำรวจ Facility ที่โรงแรมจัดให้ มองเห็นเครื่องที่ใช้ออกกำลังกาย อยู่ในสภาพดีจำนวน 3 ตัวจัดวางไว้ในห้องเล็กๆ ส่วนห้องโถงขนาดกลาง มีการจัดวางโต๊ะให้รับประทานอาหารอยู่ 3 ชุด และโซฟาตั้งไว้ช่วงกลาง เพื่อนั่งพักผ่อน หรือดูทีวี มีไมโครเวปตั้งให้ใช้ คิดไรมากมายนับว่าเหมาะสมกับราคาที่จ่าย
ต่างพื้นฐาน - ต่างวัฒนธรรม
เช้าวันแรกที่ได้เห็นสภาพบนโต๊ะอาหารที่แขกของโรงแรมทิ้งไว้ เมื่อลุกจากโต๊ะอาหารไปแล้ว ทำให้ถึงกับช็อก กระดาษใช้แล้ววางเกลื่อนกลาด พร้อมเศษขนมปังที่กระจัดกระจาย เฮ้อ…การกระทำบ่งบอกถึงพื้นฐานทีได้รับการอบรมฯ ได้อย่างชัดแจ้ง
แต่ที่ช็อกมากกว่านั้นคือ มีผู้ชายคนหนึ่ง หยิบอาหารไปนั่งกินที่โต๊ะนั้นต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆที่สภาพบนโต๊ะ นั้นสุดแสนจะไม่โสภาเอาเสียเลย แต่ก็นั่งกินหน้าตาเฉย นี่เป็นวัฒนธรรมที่แปลก ที่ไม่เคยได้พบเจอมาก่อนเลยนะนั่น
*** ... ขอขอบคุณผู้เข้ามาเยี่ยมชมทุกท่านนะคะ ...***
ไม่มีความเห็น