ทักษะชีวิตที่กัลยาณมิตรทุกท่านควรเรียนรู้ผ่านการลงมือปฏิบัติจนเกิดการรู้คิด จิตอ่อนโยน ใจเบิกบาน ในทุกๆมิติแห่งสุขภาพเชื่อมโยงสุขภาวะด้วยการสื่อสารสร้างสรรค์สังคม ได้แก่
1. ความเข้าใจในศักยภาพ (ความสุขความสามารถ) และความรู้ในการพัฒนาตนเองจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
2. ความฉลาดทางอารมณ์ด้วยการรู้เท่าทันอารมณ์ลบแล้วปรับเปลี่ยนเป็นอารมณ์บวกด้วยในการให้อภัย ขอบคุณ และมีจิตวิทยาเชิงบวกบูรณาการคุณธรรมจริยธรรม (จรรยาบรรณ) - คิดดี ทำดี พูดดี เช่น เลือกเก้าอี้สีเขียวมีเมตตา สีแดงมีความปลอดภัย สีดำมีความกล้าตัดสินดี/ไม่ดีด้วยอารมณ์มั่นคง สีน้ำเงินมีความรอบคอบควบคุมความตึงเครียด
3. ความยีดหยุ่นทางความคิด อารมณ์ และการสื่อสาร ทั้งในสภาวะการทำกิจกรรมการดำเนินชีวิตด้วยสติสัมปชัญญะ (เจริญสติหรือเจริญปัญญา) และปรับตัวได้ดีในสภาวะการอยู่รอดในสถานการณ์ชีวิตที่เครียดลบ
4. ความรอบรู้สู่การเป็นผู้ให้ในหลายบทบาทที่มีความหมาย ความดี และความสนุก ด้วยสุขท้าทายจนสำเร็จเป็นต้นแบบให้คำปรึกษาตามวัยวุฒิและคุณวุฒิ เป็นพี่เลี้ยงสอนทักษะการทำงานเฉพาะด้าน และเป็นผู้สร้างแรงบันดาลใจให้กัลยาณมิตรทุกท่าน
คำถาม 1: โค้ชคือใคร และทำไมเราถึงควรมีทักษะโค้ชชิ่ง
คำตอบ 1: โค้ชคือผู้ชี้แนะในหลายระดับของการฝึกทักษะโค้ชชิ่ง ได้แก่ ระดับเบื้องต้นเป็นผู้รับฟังด้วยหัวใจของความเป็นมนุษย์โดยไม่ตัดสินถูกผิด ไม่โต้แย้ง ไม่วิพากษ์วิจารณ์ และไม่ลังเลสงสัยเกินพอดี ระดับกลางเป็นผู้ให้คำปรึกษาโดยเปิดใจ ยอมรับ และรู้จักรักตัวเองอย่างสมดุลกับรักผู้อื่นจริงใจ ด้วยประสบการณ์การแสดงบทบาทชีวิตที่เข้าใจความหมายของ "ทุกชีวิตจะเกิดปัญญาเมื่อก้าวข้ามปัญหาที่ท้าทายและยุ่งยากซับซ้อนด้วยสติสัมปชัญญะ" และระดับสูงเป็นผู้สร้างแรงบันดาลใจด้วยคุณธรรมเมตตา กรุณา มุฑิตา และอุเบกขา (เฉยรู้ ให้อภัย เจริญสมาธิภาวนาและเจริญสติปัญญา อย่างสม่ำเสมอ) ดังนั้นเราถึงควรมีทักษะโค้ชชิ่งเพราะ เราเกิดมาเพื่อเรียนรู้ในการกล้าเผชิญปัญหา การฝึกฝนให้ตนรู้จักคิดดี ทำดี พูดดี ด้วยร่างกายที่แข็งแรงและจิตใจที่เข้มแข็ง ดูแลตัวเองให้มีสุขภาวะแล้วนำประสบการณ์ดีงามมาช่วยเหลือผู้อื่นในฐานะพลเมืองดีมีความสุขสำเร็จสมดุลชีวิตด้วยการยอมรับพัฒนาศักยภาพแห่งตนจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตที่สงบสุข
คำถาม 2: กระบวนการฝึกทักษะผู้ชี้แนะทำอย่างไรบ้าง
คำตอบ 2: กระบวนการฝึกทักษะผู้ชี้แนะ แบ่งเป็น 5 ระดับ ได้แก่
ระดับ 1 การดูแลออกกำลังคิด จิต กาย ใจ (ทักษะจิตสังคม) ของตนเอง ด้วยกระบวนการสื่อสารให้อภัยและขอบคุณตัวเองและทุกๆคนรอบตัว เพิ่มการพูดให้ตัวเองได้ยิน "วันนี้เราจะตั้งใจทำดีหนึ่งเรื่องคืออะไร ....." และทบทวนสะท้อนความเชื่อมั่นในสิ่งที่ตั้งใจ (ความมั่นใจ) หลังจากทำหนึ่งเรื่องที่ดี ผ่านการทำสมาธิฟังเสียงลมหายใจ เสียงหัวใจ และเสียงธรรมชาติรอบตัว สัก 3-5 นาที แล้วจินตนาการให้เกิดการเรียนรู้ย้อนคิดเป็นภาพ เสียง ความรู้สึก หรือผสมผสานความรู้สึกบวกๆ แล้วตั้งคำถาม อะไร ทำไม อย่างไร เป็นลำดับพัฒนากระบวนการคิดใคร่ครวญจนเข้าใจตกผลึกความคิดแยกความรู้สึกชัดเจน (จากคิดเหตุผลพอดีกับคิดสร้างสรรค์ รวมเข้าสู่ความคิดยีดหยุ่นมีทางเลือกของการแก้ไขปัญหาด้วยปัญญาสะสมอย่างน้อย 5 ประการ - ในทางการสือสารจิตใต้สำนึกเรียกว่า Logical Levels of Change) แล้วบันทึกเชิงปริมาณ (คะแนน 1-7) และเชิงคุณภาพ (การวางแผนชีวิตในระยะยาว 15 ปี ระยะสั้นทุกๆ 5 ปี และระยะปัจจุบันขณะที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงพฤตินิสัยที่ดีขึ้นใน 7 วัน 7 เดือน 7 ปี (ในทางการปรับเปลี่ยนทัศนคติ นิสัย และพฤติกรรมสุขภาพ อยู่ระหว่าง 6 สัปดาห์ - 6 เดือน สื่อสารกับตัวเองหรือกับโค้ชอย่างน้อยหนึ่งครั้งต่อสัปดาห์ - 1 ชม.ต่อครั้ง แบบหนึ่งต่อหนึ่ง จนถึงแบบกลุ่ม 30-50 คนต่อโค้ชหนึ่งคนต่อหนึ่งชม. - นัยตัวเลขด้วยใจรวมการรับความรู้สึกประสาทสัมผัสทั้ง 5 คูณ 10 ระดับคิดบวก-คิดลบ-คิดอดีต-คิดปัจจุบัน-คิดอนาคต-คิดสุข-คิดทุกข์-คิดเฉย-คิดกุศล-คิดอกุศล)
ระดับ 2 การดูแลคนที่เรารักในครอบครัว (ทักษะเมตตาปัญญา) ด้วยกิจกรรมตามจริตและการเรียนรู้สมองด้านเด่น ได้แก่ การรับรู้ด้านการมองเห็น การรับรู้ด้านการได้ยิน และการรับรู้ด้วยการเคลื่อนไหว ผ่าน กระบวนการสบตาสังเกตอ่านใจเขียนสะท้อนคิด การหลับตาตั้งใจฟังน้ำเสียงกระซิบเปิดใจ และการขยับร่างกายด้วยลมหายใจรวมกับการจัดการอารมณ์นิ่งเป็นสมาธิ
ระดับ 3 การให้คำปรึกษาในชีวิตการทำงาน (ทักษะการสังเกต วิเคราะห์ และตั้งคำถามสะกิดใจ - เน้นตั้งเป้าหมายที่เป็นจริง เรียนรู้ลงมือทำทันที กำหนดวันเวลาความสำเร็จ และการสะท้อนคิดให้กระบวนการแก้ปัญหาชัดเจนแล้วเกิดแรงจูงใจในการปรับพฤตินิสัยให้ดีขึ้นเป็นรูปธรรม)
ระดับ 4 การเป็นพี่เลี้ยงสอนงาน หรือ การเป็นผู้ฝึกทักษะชีวิตตามความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่ตรงจริต ตรงรูปแบบการเรียนรู้ พร้อมสะท้อนให้คุณค่าคนทำงานมากกว่าเน้นปริมาณงานแบบมุ่งผลผลิตโรงงานหุ่นยนต์ (จำเจ ซ้ำซาก จนเกิดความล้าหรือทำดีเพื่อผู้อื่นจนหมดแรง กังวลว่าจะไม่มีเวลาดูแลครอบครับที่รัก เศร้าคาดหวังว่าจะสุขสบายกว่าที่เป็นอยู่ และโมโหที่ไม่มีเงินเพียงพอที่จะดูแลตนเอง)
ระดับ 5 การเป็นผู้สร้างแรงบันดาลใจด้วยการสะสมความภาคภูมิใจในการดูแลตนเอง การดูแลผู้อื่น มีการแสดงบทบาทชีวิตที่หลากหลายอย่างสำเร็จ มีอารมณ์มั่นคงลดอัตตาและกิเลสของตนเองอย่างมีคุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณ และมีความสามารถสื่อสารด้วยหัวใจนักปราชญ์ สุ จิ ปุ ลิ อย่างมีพลังบวกและเกิดแรงขับเคลื่อนความดีงามในสังคมทุกระดับ
คำถาม 3: เราจะชี้แนะทักษะชีวิตเพื่อบูรณาการกับการศึกษาแก่มวลมนุษยชาติทุกรุ่นอายุที่แตกต่างแต่เติมเติมอย่างไรบ้าง
คำตอบ 3: เราจะอ้างอิงกระบวนการใช้สื่อทางกิจกรรมบำบัด คือ การใช้ตัวเราบำบัด (พัฒนา) และกระบวนกลุ่มสื่อสารเพื่อการเรียนรู้เปลี่ยนแปลงตัวเองและผู้อื่นตามธรรมชาติแห่งพละ 5 (ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา) ให้ร้อยเรียงตามภาพ ด้วยความขอบพระคุณคณาจารย์ทุกท่านในภาพกิจกรรมที่หลากหลายความรู้ความสามารถที่มีตามประสบการณ์ชีวิตจนเกิดการยอมรับ (Self-acceptance) การให้ความเคารพซึ่งกันและกัน การทำงานเป็นทีมที่มีวัยวุฒิและคุณวุฒิที่หลากหลาย (Mind the Gap - Mentalist Infernal Determination the Generation Gap) แต่รวมเป็นหนึ่งในสถานการณ์กระตุ้นความเครียดเชิงบวกและฮอร์โมนความสุขชั่วขณะเพื่อสุขภาวะ และการเพิ่มกำลังใจและความมั่นใจในการสื่อสารเชิงบวกอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
ทักษะของโค้ชที่ควรฝึกฝนแบบข้ามศาสตร์ ข้ามอายุ และข้ามทุกตราบาปทางสังคม (วัตถุนิยม) อย่างเป็นธรรมชาติในช่วง 5 ปีแรกที่เราเริ่มรู้จักโกหก ในช่วง 7 ปีแรกที่เรามีทักษะการบริหารจัดการสมองได้คล่องแคล่ว ในช่วง 21 หรือ 35 ปี ที่สมองสะสมศักยภาพตามธรรมชาติ และในช่วง 45 ปีขึ้นไปที่สมองปรับตัวตามทักษะชีวิตที่ท้าทายแบบจิตตื่นรู้ ให้อยู่ตัว หัวใจงาม (เจริญสติปัญญา) ตามลำดับทักษะต่อไปนี้และการพัฒนาบุคลิกภาพด้วยเครื่องมือนพลักษณ์เชื่อม MBTI หรืออื่นๆ ให้เกิด Mind-Body-Heart Alignment & Social Emotional Learning Flow to Flourishing (SELF) รวมเป็นการชี้แนะชีวิตอย่างเป็นระบบหรือ LIFE COACHING ประกอบด้วยทักษะ L: Loving; I: Insight; F: Factual; E: Esteem; C: Conscious Self; O: Observational Mind; A: Analytic Listening; C: Catalytic Questioning; H: Habit Reversal Training; I: Intuitive Thinking; N: New Life; G: GROW (Goal, Reality, 5 Options, Willing - Positive intention) Model โดยผลลัพธ์ในทางการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Outcomes Based Lifelong Learning Skills) คือ ลดอัตตาของความกลัว (FEAR) โดยเพิ่ม F: Freedom; E: Empathy; A: Achievement; R: Resilience
ตัวอย่างกลุ่มพลวัติเพื่อการทำความเข้าใจในตนและคนอื่น (Therapeutic Use of Self-Conscious & Therapeutic Communication as RAPPORT) ผ่านกิจกรรมการเรียนรู้ 6 ระดับ ได้แก่
1. Advocating mode โจทย์ การทักทายสบตา 3-4 วินาที จับมือซ้าย เขย่ามือพร้อมแตะศอกระหว่างกัน พูดอวยพร แยกแยะความคิดและความรู้สึกผ่านการสะท้อนระดับคิดและแนวทางการพัฒนา จาก Logical Thinking เยอะในการวาง Post It แนวตั้ง ก็ชวนให้ฝึกวาด Mind Map ในแนวนอนและเขียน How To อย่างชัดเจนเฉพาะเจาะจง 5 ข้อ ที่เชื่อมโยงกันในการวาง Post It แนวนอนอีกครั้งก็ได้ หรือ ดูตัวอย่างเพื่อนที่ยกระดับคิดได้ลึกซึ้งขึ้นจากพอใช้ เพิ่ม Logical Thinking เป็นดี เพิ่ม Creative Thinking เป็นเยี่ยม แต่ฝึกลงมือทำเพิ่ม Lateral Thinking
2. Collaborating mode โจทย์ การแบ่งสามกลุ่มตามพลังการอ่านใจของโค้ช และในเวลาเพียง 20 นาทีให้ระดมทำงานเป็นทีมนำเสนอด้วยวัสดุเสื่อ เทปน้ำตาล และ Post It สามสี ให้รวมพันธกิจชีวิตทุก 5 ปีรวม 15 ปี
3. Empathizing mode การสะท้อนประสบการณ์การเรียนรู้ใหม่เชื่อมโยงการเรียนรู้เก่า พร้อมให้ผู้นำที่ตั้งเงื่อนไขให้เงียบมองและใช้ภาษากายในการนำทีมเป็นผู้คัดเลือกสมาชิกที่มีศักยภาพสูงสุดสะท้อนคิดและแสดงความรู้สึกชื่นชมผู้นำ6. Problem – solving mode การสาธิตและชวนฝึกซ้อม Logical Levels of Change ก้าว 6 ก้าวหลับตาไปข้างหน้าด้วยคำถามและชวนตอบแบบคิดน้อยๆ ได้แก่
ปล. หากผู้รับคำชี้แนะไม่มีคำตอบ ก็ให้ถามคำถามซ้ำไม่เกิน 3 รอบ ทวนซ้ำว่า "ไม่มีคำตอบ" ก็ก้าวถัดไป
ดีจัง กิจกรรมน่าสนใจค่ะ
ขอบพระคุณมากครับอ.แก้ว
ขอบพระคุณมากครับคุณบังหีม