การเขียนบทคัดย่อ และบทความทางวิชาการ
“เทคนิคการเขียนบทความทางวิชาการเพื่อตีพิมพ์ลงวารสารวิชาการ”
โดย รศ.ดร.ประยุทธ ไทยธานี
ประเภทของบทความทางวิชาการ
บทความทางวิชาการ โดยทั่วไปแบ่งได้ 3 ประเภท ได้แก่ บทความวิชาการ (academic articles) บทความวิจัย (research articles) และบทความวิจารณ์ (article reviews)
(1) บทความวิชาการ คือ เอกสารที่เรียบเรียงจากผลงานทางวิชาการของตนเองหรือผู้อื่นในลักษณะที่ เป็นการวิเคราะห์วิจารณ์หรือเป็นบทความที่เสนอแนวความคิดใหม่ ๆ จากพื้นฐานทางวิชาการนั้น ๆ
(2) บทความวิจัย คือ บทความที่เขียนขึ้นจากงานวิจัยของตนเอง มีการกําหนดปัญหาและวัตถุประสงค์ ที่ชัดเจน มีการรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ สรุปและอภิปรายผลการวิจัย อันนําไปสู่ความก้าวหน้าทางวิชาการ
(3) บทความวิจารณ์ คือ บทความที่ศึกษาผลงานหรือแนวคิดอย่างใดอย่างหนึ่งโดยละเอียด รวมทั้งมี การวิเคราะห์และอภิปรายผลของเรื่องที่ศึกษาให้เห็นแนวโน้มว่าควรเป็นไปในทางใด มีข้อดีข้อเสียอย่างใด แสดงการเคลื่อนไหว การเกิดของความรู้ใหม่อย่างชัดเจน
ส่วนประกอบของการเขียนบทความวิจัย
1. บทคัดย่อ เป็นเนื้อหาสาระส่วนที่นําเสนอวัตถุประสงค์การวิจัย วิธีการวิจัย และผลการวิจัย โดยสรุป (รวมทั้งข้อเสนอแนะในการวิจัย) เพื่อให้ผู้อ่านได้เห็นภาพรวมงานวิจัยทั้งฉบับ และมีคําสําคัญ (Keywords) ไว้ด้วย
2 ส่วนนำ ประกอบด้วยส่วนสําคัญ 4 ส่วน
ส่วนแรก การบรรยายให้ผู้อ่านได้รู้ว่าบทความวิจัยนี้พัฒนามาจากผลงานวิจัยที่มีมาก่อนอย่างไร ในที่นี้หมายถึงความเป็นมาและความสําคัญของปัญหาในการวิจัย
ส่วนที่สอง กล่าวถึงปัญหาวิจัยและวัตถุประสงค์การวิจัย
ส่วนที่สาม คือ รายงานเอกสารที่เกี่ยวกับการวิจัยเฉพาะส่วนที่เป็นทฤษฎีและงานวิจัยที่สําคัญเพื่อนําไปสู่การสร้างกรอบแนวคิด ตลอดจนสมมติฐานการวิจัย
ส่วนที่สี่ เป็นรายงานระบุเหตุผลพร้อมเอกสารอ้างอิงในการเลือก วิธีดำเนินการวิจัยที่จะใช้ใน บทความวิจัยนี้เพื่อให้สามารถเชื่อมโยงความคิดกับเนื้อหาสาระ
3. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล คือส่วนสําหรับบรรยายว่าจะเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างไร และ นําเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลพร้อมทั้งการตีความ โดยมีการนําเสนอตารางและภาพประกอบเท่าที่จําเป็น ผลการวิเคราะห์ที่สําคัญในตารางหรือภาพประกอบต้องมีการบรรยายในส่วนที่เป็นข้อความ
4. การอภิปราย/การสรุปผล เป็นการบรรยายสรุปข้อค้นพบที่ได้จากการวิจัยประกอบการอธิบายว่า ข้อค้นพบมีความขัดแย้ง/สอดคล้องกับสมมติฐานการวิจัยและผลงานวิจัยในอดีตอย่างไร พร้อมทั้งเหตุผล
5. การอภิปรายข้อจํากัด/ข้อบกพร่อง ข้อดีเด่น ซึ่งนําไปสู่ข้อเสนอแนะในทางปฏิบัติและข้อเสนอแนะ ในการวิจัยต่อไป
6. ส่วนอ้างอิง/ภาคผนวก
ส่วนอ้างอิง ประกอบด้วย รายการอ้างอิง และเชิงอรรถ
ส่วนที่เป็นภาคผนวก ส่วนที่ผู้วิจัยนําเสนอสาระที่ผู้อ่านควรได้รับรู้เพิ่มเติมนอกเหนือจากที่นําเสนอ ในบทความ เช่น ตัวอย่างเครื่องมือวิจัย เป็นต้น
แนวทางการเขียนบทความวิจัย
1. จะต้องเป็นบทความที่ลดรูปหรือนํางานวิจัยมาเขียนใหม่ และผู้เขียนต้องมีความเข้าใจ กระจ่างแจ้ง ในรายงานการวิจัยที่จะนํามาเขียน
2. เริ่มต้นจากการทําโครงร่าง การจัดลําดับความคิด การเรียบเรียงเนื้อหาสาระ เขียนเป็นฉบับร่าง จากนั้นทิ้งไว้ 1-2 สัปดาห์ จึงนํามาอ่านเพื่อปรับปรุงทบทวนและภาษา ตลอดจนแบบการเขียนให้ ถูกต้องตาม แบบของบทความวิจัย การใช้ภาษาทางการที่เป็นมาตรฐาน มีความเหมาะสมกับผู้อ่านที่เป็นนักวิชาการ และ ใช้ภาษาถูกต้องตามหลักภาษา
3. ต้องมีข้อคิดเห็นที่ชัดเจนโดยนําประเด็นที่เด่นที่สุดในงานวิจัยมาเขียนเพียง 1 หรือ 2 ประเด็น ดังนั้น จะต้องปรับชื่อเรื่องและเนื้อหาให้มีความสอดคล้องกับบทความที่เขียนขึ้นใหม่ ขณะที่เนื้อหาในบทความ ต้องมีความสมบูรณ์ในแบบมาตรฐานของงานวิชาการ การนําเสนอเนื้อหา ควรนําเสนอสาระสําคัญของงานวิจัย อย่างตรงไปตรงมา ชัดเจน ถูกต้องและสมบูรณ์จนผู้อ่านสามารถทําวิจัยในลักษณะเดียวกันได้
4. บทความวิจัยไม่ใช่สรุปย่องานวิจัย การเขียนจะต้องกะทัดรัด ตรงประเด็น บอกกระบวนการ มีสาระที่ชัดเจน มีระบบอ้างอิงที่ถูกต้อง ให้ข้อมูลตามหลักวิชาที่ถูกต้อง
5. การลําดับเนื้อหาควรเป็นไปตามหลักการวิจัย มีความต่อเนื่องตั้งแต่ต้นไปจนถึงการสรุป และ อภิปรายผลการวิจัย แต่ละย่อหน้ามีประโยคสําคัญ และมีความเชื่อมโยงถึงกัน การใช้คําศัพท์ควรใช้คําศัพท์ที่มี การบัญญัติศัพท์เป็นทางการหรือคําศัพท์ที่ได้รับการรับรองใช้กันแพร่หลาย
6. การเขียนประโยค ควรเป็นประโยคสมบูรณ์ และพยายามใช้ประโยคสั้น หลีกเลี่ยงประโยคซ้อน ควรระมัดระวังเครื่องหมายวรรคตอนให้ถูกต้องทุกประโยค
เขียนบทความแบบไหนให้ได้ตีพิมพ์
การเขียนบทความ หลาย ๆ คนมักบ่นว่าทําไมถึงเขียนยาก เขียนลําบากขนาดนี้ แท้ที่จริงแล้วแค่เรา ไม่รู้หลักการเขียนแค่นั้นเอง วันนี้เลยมาแบ่งปันประสบการณ์ให้พวกเราเอาไปทําตามได้เลย
1. เลือกบทความที่เราจะลงตีพิมพ์ แล้วดู template และรูปแบบการพิมพ์มาอ่านก่อน
2. ให้เอางานวิจัยที่ได้ลงตีพิมพ์แล้วมาดูว่าเค้าเขียนอย่างไรให้ได้ตีพิมพ์ อย่าไปสนใจถ้าคนจะว่าเรา Copy เราเพียงแต่ดูวิธีการของคนสําเร็จว่าเค้าทําอย่างไร เท่านั้น
3. ลองคิดชื่อเรื่องเล่น ๆ โดยเอาคําสองสามคําที่มีความสัมพันธ์และสามารถเชื่อมโยงหากัน ได้มาวาง ทีละคํา แล้วลองเขียนคําเชื่อมเล่น ๆ เช่น
นักเรียนออทิสติก
พฤติกรรมก้าวร้าว
การฝึกการแทนที่ความก้าวร้าว
เห็นหรือไม่ว่า 3 คํานี้มีความสัมพันธ์กันอย่างไร ลองเอามาผสมกัน ลองนึกเล่น ๆ โดยการเอาคํา มาเชื่อมกันว่าถ้า 3 คํานี้อยู่ด้วยกันจะเกิดอะไรขึ้น แล้วลองลงมือเขียนดู อย่าเพิ่งพิมพ์ ให้ลองเขียนดูก่อน เมื่อได้แล้วค่อยเริ่มวางโครง
4. เริ่มวางโครง โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ บทนํา เนื้อหา และสรุป ซึ่งในการเขียนบทความของ แต่ละวารสารจะมีข้อจํากัดว่าเขียนได้ไม่เกินกี่หน้า เช่น 10-15 หน้า 15-20 หน้า เราต้องรู้ด้วย เพื่อนํามาวาง โครงในแต่ละส่วนให้ชัดเจน
4.1 บทนํา (ความสําคัญและปัญหาการวิจัย รวมถึงแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง วัตถุประสงค์ของ การวิจัย คําถามการวิจัย (ถ้ามี) สมมติฐานการวิจัย (ถ้ามี) ขอบเขตของการวิจัย (ประชากร/กลุ่มตัวอย่าง ตัวแปรที่ศึกษา ระยะเวลาดําเนินการ)
4.2 เนื้อหา (วิธีดําเนินการวิจัย เครื่องมือวิจัย การดําเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลหรือการทดลอง วิธีวิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิจัย)
4.3 สรุป (สรุปและอภิปรายผล ข้อเสนอแนะ และรายการอ้างอิง)
วางโครงไปเรื่อย ๆ จนพอใจ ถ้ายังไม่พอใจก็สามารถปรับได้ แต่ตอนนี้ขอให้วางไว้ก่อน
5. จากนั้น ให้วางโครงในแต่ละย่อหน้าของแต่ละส่วนว่าเราจะเขียนกันแบบไหน และจะเอา รายละเอียดอะไรมาใส่ และให้เลือกรูปแบบการเขียนเลยว่าจะเขียนแบบ Copy & paste, Copy & develop หรือ integrate เลือกเอาแบบที่เราเขียนแล้วคิดว่าจะได้ตีพิมพ์ ถ้าเขียนแล้วไม่ได้ตีพิมพ์ อย่าเอามา เสียเวลา
6. การอ้างอิง กรณีไม่เกิน 10-15 หน้า ควรอ้างอิง 10-15 คน ถ้า 15-20 หน้า ควรอ้างอิง 20-30 คน โดยควรอ้างอิงแนวคิดของคนที่มีชื่อเสียงในวงการนั้น ๆ งานวิจัยก็ควรจะทันสมัย (ไม่เกิน 10 ปี) จะช่วยสร้าง ความน่าเชื่อถือและเพิ่มความหนักแน่นให้แก่งานเราเป็นอย่างมาก ส่งผลให้งานเราได้ตีพิมพ์
7. สิ่งประกอบที่ควรมีในการเขียนบทความ
ภาพประกอบ จะทําให้งานน่าอ่าน
ตาราง จะเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเรา เพราะมีการนําเสนอในแบบที่เป็นการสรุปมา
กราฟ จะแสดงความเป็นปัจจุบันให้กับเราว่าเอามามันตรวจสอบกลับไปได้
8. สิ่งสําคัญอีกอย่างคือ รูปแบบการอ้างอิง ต้องตรงตามกําหนดของวารสารที่เราจะลงตีพิมพ์
9. นําส่งอาจารย์ที่ปรึกษาก่อนจะส่งเข้าระบบ เพราะอาจารย์ต้องมีชื่อในงานของเราด้วย เราเขียนดี อาจารย์ได้หน้า แต่ถ้าเราเขียนไม่ดี อาจารย์เสีย และแสดงถึงคุณภาพนักศึกษาด้วย
10. ปรับแก้จนพอใจแล้ว ส่งเข้าระบบได้เลย
11. วารสารจะใช้เวลาอ่าน และให้ผู้ทรงคุณวุฒิอ่าน แล้วจะส่งมาให้เราแก้ไข เราก็แก้ โดยจะใช้เวลา ประมาณ 2-3 เดือน เราจะได้ตีพิมพ์ ซึ่งในเบื้องต้นวารสารจะส่งหนังสือตอบรับมาให้ก่อน จากนั้นเราจะได้ตีพิมพ์
ไม่มีความเห็น