การรักษาความลับ ป้องกันข้อขัดแย้ง
ในการทำหน้าที่เป็นผู้ใหญ่ให้แก่บ้านเมือง เช่นเป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัย เป็นกรรมการตัดสินเรื่องต่างๆ และหน้าที่อื่นๆ การรักษาความลับเป็นสิ่งสำคัญยิ่งอย่างหนึ่ง แต่สังเกตเห็นว่าในสังคมไทย คนส่วนหนึ่งมีโอกาสทำหน้าที่เหล่านั้น แต่รักษาความลับไม่ได้ หรือบางกรณีอาจจงใจเอาความลับไปปูด
คนที่ต้องการทำหน้าที่กรรมการให้ดีที่สุด บางครั้งก็ต้องให้ข้อมูลเชิงลบ ต่อคนบางคนหรือบางองค์กร/หน่วยงาน สำหรับใช้ข้อมูลนั้นประกอบการพิจารณาตัดสินใจของคณะกรรมการ การให้ข้อมูลเชิงลบเช่นนี้ต้องระมัดระวังมาก เพราะอาจมีคนบันทึกเสียงไว้ และอาจมีการนำไปฟ้องร้องต่อศาลฐานหมิ่นประมาท
ในการประชุมกรรมการสภามหาวิทยาลัย ก วาระประชุมลับ มีการนำเสนอผลการพิจารณาเรื่องหนึ่งของคณะกรรมการ ข ที่สภาแต่งตั้ง หลังการนำเสนอ กรรมการสภาท่านหนึ่ง (สมมติว่า ชื่อ ค) แจ้งต่อที่ประชุมว่า ในการประชุมคณะกรรมการ ข มีนาย ง กล่าวต่อที่ประชุมว่านาย ค มีเรื่องถูกกล่าวหาอยู่ใน ปปช. ซึ่งไม่เป็นความจริง นาย ค ยืนยันว่าตนไม่มีเรื่องถูกกล่าวหาใน ปปช. แต่อย่างใด ตนต้องการให้บันทึกข้อความนี้ไว้ และขอให้ลงในรายงานการประชุมที่เปิดเผย ไม่เป็นรายงานการประชุมลับ
ประธานคณะกรรมการ ข แจ้งต่อที่ประชุมว่า ในที่ประชุมคณะกรรมการ ข ได้ตกลงกันแล้วว่า การประชุมนั้นเป็นการประชุมลับ เพราะจำเป็นต้องพิจารณาคุณสมบัติของบุคคลจำนวนมาก และมีทั้งข้อมูลเชิงบวกและเชิงลบ เพื่อป้องกันความเสียหายของผู้ถูกกล่าวถึง จึงต้องตกลงกันว่าเป็นการประชุมลับ การที่นาย ค ได้รับรู้เรื่องที่พูดกันในที่ประชุมคณะกรรมการ ข จึงต้องมีกรรมการอย่างน้อย ๑ คนในคณะกรรมการ ข นำเรื่องที่พูดไปเปิดเผยต่อนาย ค แต่เป็นการสื่อสารที่ผิดพลาด เพราะในที่ประชุมไม่มีการกล่าวข้อมูลว่านาย ค ถูกร้องเรียนต่อ ปปช. เลย
นักกฎหมายใหญ่ของบ้านเมืองท่านหนึ่งที่เป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัย ก ด้วย ให้ความเห็นใน ๓ ประเด็นคือ
(๑) การปกป้องสิทธิการถูกกระทบของผู้เสียหาย ในกรณีนี้การบันทึกข้อความตามที่นาย ค ขอให้บันทึกลงในรายงานการประชุมสภา จึงเป็นเรื่องสมควร
(๒) การคุ้มครองความลับ เนื่องจากการประชุมคณะกรรมการ ข เป็นการประชุมลับ จึงต้องมีการคุ้มครองความลับ การนำสาระสืบเนื่องจากการประชุมดังกล่าวลงในรายงานการประชุมแบบเปิดเผยจึงไม่สมควร การบันทึกข้อความตาม (๑) จึงต้องอยู่ในรายงานลับ
(๓) การถูกกล่าวหา ไม่ถือเป็นหลักฐานว่าผู้ถูกกล่าวหามีความผิดจริง จึงไม่สมควรนำมาเป็นหลักฐานตัดสิทธิหรือโอกาสต่างๆ ท่านยกตัวอย่างหลายกรณี ที่บุคคลที่มีชื่อเสียง ที่ถูกกล่าวหา เพื่อกลั่นแกล้งไม่ให้ได้รับการสรรหาให้ดำรงตำแหน่งสำคัญ มีการพิจารณาลงมติว่า ข้อกล่าวหายังไม่ใช่คำตัดสินของศาลว่าผิด จึงไม่มีผลต่อการพิจารณาของคณะกรรมการสรรหา
นำมาเล่าไว้ เพื่อให้กรรมการสภามหาวิทยาลัยอื่นได้เรียนรู้
ผมมีความเห็นว่า การให้ข้อมูลสำคัญเพื่อประกอบการตัดสินใจในเรื่องที่มีความสำคัญ เป็นเรื่องที่ต้องทำ แต่ต้องทำอย่างระมัดระวัง ให้มีความชัดเจนว่า ไม่ได้มีเจตนากลั่นแกล้งตัวบุคคล ไม่ได้เกิดจากข้อขัดแย้งส่วนตัว แต่เป็นการให้ข้อมูลที่มีหลักฐานชัดเจนเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม โดยผู้ให้ข้อมูลต้องย้ำกับประธาน และที่ประชุม ว่าการประชุมนี้เป็นการประชุมลับและกรรมการทุกคนต้องรักษาความลับได้ มิฉะนั้นตนก็จะไม่พูด
วิจารณ์ พานิช
๒๙ พ.ค. ๖๑
ไม่มีความเห็น