ผู้ป่วย เป็นหญิง อายุ 50 ปี มาหาและปรึกษา เรื่อง ไหล่ซ้ายติดยกขึ้นไม่สะดวก ปวดมาที่ข้อศอกทุกครั้งที่ยกแขน และเอื้อมไปข้างหลังไม่ได้ เนื่องจากการล้มกระแทก เมื่อประมาณ 1 ปี ผ่านมา ได้ทำการตรวจรักษาตามการแพทย์ ซึ่งวินิจฉัยว่า กล้ามเนื้อฉีกและอักเสบ ห้ามนวด ได้รับการฉีดยาและได้ยามาทาน อาการไม่ดีขึ้น และเริ่มมีอาการ ไหล่ คอ บ่า แข็ง ปวด และ ชา ลงไปถึงปลายนิ้วมือ มือเย็น เท้าเย็นจึงเกิดความวิตกกังวล
จากการสังเกตุที่เห็นได้จาก ภายนอก เดินตัวแข็ง ใบหน้าและนัยตาไม่ผ่องใส ผิวหน้าเหี่ยวย่น หนังตาตก ถุงใต้ตามีขนาดใหญ่ ตาเข
เมื่อซักถาม จึงทราบว่ามีการเจ็บป่วย หลาย ๆ อาการ ที่ต้องทนอยู่กับอาการความไม่สบายเหล่านั้น ได้แด่ ปวด มึน ศรีษะเป็นประจำ จึงมีปัญหาทะเลาะกับสามีตั้งแต่เรื่องการขับรถ เพราะเกิดอาการเวียนศรีษะ ตาพล่ามัว เมื่อนั่งรถไปด้วยกัน โรค้ฝเกี่ยวกับ ตา และระบบการมองเห็น จะมีภาพเงาลอยไหลไป มา ตลอดเวลา เคยผ่านการผ่าตัดลอกต้อและมีนัดการผ่าตัดลอกต้อ ครั้งที่ 2 เมื่อ สิงหาคม 2560 แต่ไม่ได้ไปตามนัด มีอาการปวดหลัง และ ขา เนื่องจากอุบัติเหตุ หกล้ม เมื่อ กว่า20 ปีก่อน นอนไม่หลับ สะดุ้งตื่นกลางคืนบ่อย ๆ เป็นกรดไหลย้อน ท้องอืด หน้าท้องแข็ง ขับถ่ายลำบาก 2-3 วัน จึงจะถ่าย 1 ครั้ง ต้องทาน ผัก ผลไม้ ตามความเชื่อ และคำแนะนำว่าจะทำให้ขับถ่ายได้ง่าอีกทั้งต้องใช้ยาช่วย ทั้งทาน และสวน ปัสสาวะบ่อย ปวดท้องและบางครั้งเป็นไข้เมื่อมีประจำเดือน
บำบัดด้วยการเต็ก เมื่อผ่านชั่วโมงแรก อาการต่าง ๆ ก็ตีขึ้น ตาแจ่มใส มองเห็นได่ชัด สว่าง อาการระคายเคืองหายไป หนังตากระชับ เปิดตาได้กว้างขึ้น เหลือบตา ไปทางซ้ายหรือขวาได้มากขึ้น ผิวหน้าเต่งตึง รอยย่น ร่องข้างจมูก ลดลง หายใจได้คล่อง ตัวเบา โล่ง มือกำได้แน่น ยก และแกว่งแขน ได้สะดวกมากขึ้น อาการเจ็บ ชา ไปปลายนิ้วมือลดลงไปมาก
เมื่อมาวันที่ 2 กลับมาเล่าอาการเพิ่มเติมคือ นอนหลับได้ลึก สนิท ตื่นกลางคืนเพียงครั้งเดียว
อาการท้องอืด กรดไหลย้อนหายไป อาการเจ็บปวดต่าง ๆ บรรเทาไปเยอะมาก การขับถ่ายเป็นไปได้ง่าย โดยไม่ต้องทานยา ผัก หรือผลไม้
อธิบาย ได้ดังนี้
เมื่อเกิดกระแทก กล้ามเนื้อเกิดการกระตุกยึดเกร็งและร่างกายอยู่ในท่าทางที่ผิดธรรมชาตินาน ๆ กระดูกโครงร่างจึงบิด เรียงตัวผิดรูป เนื่องจากการยึดเกร็งของ กล้ามเนื้อ ทำให้เลือดไหลเวียน ไปเลี้ยง เนื้อเยื่อต่าง ๆ ไม่สมบูรณ์ การทำงานของเนื้อเยื่อจึงด้อยประสิทธิภาพลง เมื่อสะสมมาเป็นเวลานาน และไม่ได้รับการบำบัดแก้ไขที่ถูกต้อง เหมาะสม ภาวะเครียดของร่างกายจึงเกิดสะสมมากขึ้น โดยอาจไม่รู้สึกถึงอาการผิดปกติดังกล่าวที่มีผลกระทบต่อเนื่อง ไปยังอวัยวะต่าง ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นองค์รวมทางสรีระ (Holistic Physiological ) จนกระทั่งอาการสะสมมากขึ้น จนรู้สึกถึงความ เจ็บป่วย ซึ่งเรียกว่าเป็นโรค ซึ่งในหนึ่งร่งกาย จึงเกิด โรคได้หลาย ๆ อย่างในคราว้ดียวกัน
เต็ก จะทำให้เนื่อเยื่อต่าง ๆ คลายการยึดเกร็ง กระดูกโครงร่างจะจัดเรียงตัว ตามธรรมชาติที่ควรเป็น การกดทับที่ผิดปดติต่าง ๆก็จะบรรเทา ทำให้เกิดการไหลเวียนของเลือดที่ดี มีประสิทธิภาพ เนื้อเยื่อต่าง ๆ กลับมาทำงานได้ดี มีประสิทธิภาพ ไปทั่วทั้งร่างกาย อวัยวะต่าง ๆ จึง กลับมาทำงานตาม ธรรมชาติ อย่างเป็นระบบและสอดคล้องกันทั้งร่างกาย รู้สึกได้จากอาการตัวเบาสบาย หายใจสะดวก สมองปลอดโปร่ง ดวงตาสุกสดใส เคลื่อนไหวคล่องตัว อาการเจ็บป่วยต่าง ๆ บรรเทา และ หายไป ด้วยการกลับมาำงานเต็มประสิทธิภาพ ตามธรรมชาติ ของร่างกาย. จึงเรียกเป็นภาพรวมว่า ธรรมกายบำบัด (Natural Physiological Therapy)
ไม่มีความเห็น