มูลนิธิเอเซีย ร่วมกับ ทีดีอาร์ไอ จัดการประชุม discussion forum เรื่องความท้าทายของการปฏิรูปการศึกษาของไทย ตอนบ่ายวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๖๑ โดยมีวิทยากรกล่าวนำ ๒ ท่านคือ ดร. สมเกียรติ ตั้งกิจวาณิชย์ ประธาน ทีดีอาร์ไอ กับ Lars Sondergaard แห่ง World Bank โดยมี Thomas I. Parks แห่ง Asia Foundation เป็นผู้ดำเนินการอภิปราย
Tom Parks กล่าวเปิดว่าคุณภาพการศึกษา เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้ประเทศไทยหลุดพ้นจาก middle income trap โดยไทยต้องการวิธีคิดใหม่เกี่ยวกับการศึกษา
ดร. สมเกียรติให้ข้อมูลเป็นกราฟ ให้เห็นว่าขบวนการปฏิรูปการศึกษาที่ดำเนินการมาเกือบ ๒๐ ปี ไม่ให้ผลดีต่อผลลัพธ์การเรียนรู้เลย โดยที่มีข้อมูลว่า ในวันเปิดเรียนปีละประมาณ ๒๒๐ วันนั้น ครูต้องทำกิจกรรมอย่างอื่นรวม ๘๔ วัน และชี้ว่าการบริหารระบบการศึกษาแบบควบคุมสั่งการจากส่วนกลางจะไม่มีวันให้ผลดี จึงมีภาคประชาสังคมรวม ๑๕ องค์กรรวมตัวกันเป็น Thailand Education Partnership ขับเคลื่อนการปฏิรูปคุณภาพการศึกษา โดยจะจัด ๓ กิจกรรม
ส่วน Lars Sondergaard ให้ข้อมูลว่าจากผลการทดสอบ PISA 2015 เกือบครึ่งหนึ่งของนักเรียนไทยอายุ ๑๕ ปี จัดได้ว่าไม่มีความรู้ที่ใช้งานได้ในด้านการอ่านเขียนและคิดเลข (functionally illiterate & innumerate) และให้กราฟว่าในปี ค.ศ. 1980 ผลการทดสอบของนักเรียนไทยกับนักเรียนฮ่องกงใกล้เคียงกัน แต่ ๓๕ ปีต่อมา ในปี 2015 ฮ่องกงทิ้งห่างมาก (Altinok N, Angrist N, Patrinos HA. A global dataset on education quality (1965-2015), World Bank 2018)
เขาอ้าง WDR 2018 (๑) ว่า หลักการแก้ไข ๓ ประการคือ
เขายกตัวอย่างแนวทางปฏิรูปการศึกษาของประเทศมาเลเซีย ที่ดำเนินการอย่างเป็นระบบระยะยาว มี ๙ ขั้นตอน ขั้นที่สำคัญที่สุดคือ implementation เขาตั้ง Education Performance Delivery Unit (www.padu.edu.my/ ) ขึ้นมาทำหน้าที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง
อย่างไรก็ตาม เขาบอกว่ายังมีความหวังที่ไทยจะฟื้นคุณภาพการศึกษาได้ เพราะเราทำเรื่องระบบ คุ้มครองสุขภาพถ้วนหน้าได้ผลดีมาแล้ว แม้ว่าตอนจะเริ่มเป็นการกระทำที่ขัดต่อคำแนะนำของธนาคารโลก
เขาแนะนำวีดิทัศน์ อนาคตที่สดใสสำหรับเด็กนักเรียนในประเทศไทยทุกคน (๒) และ Uncovering Thailand’s small school challenge (๓)
ในช่วงอภิปรายถามตอบ ทพ. กฤษดา เรืองอารีรัตน์ ให้ข้อมูลว่า การปฏิรูประบบสุขภาพของไทย ที่ทำได้ผลดีและมีชื่อเสียงไปทั่วโลกนั้น เพราะมีภาคที่ไม่เป็นทางการ ประชุมระดมความคิดกันต่อเนื่องสม่ำเสมอ (กลุ่มสามพราน) แล้วคนในภาคที่เป็นทางการนำไปดำเนินการ ผลเป็นอย่างไรก็นำมาสู่การประชุมหารือต่อ เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่นำไปสู่การก้าวกระโดดเป็นระยะๆ ผมเติมในใจว่า ระบบสุขภาพมีการจัดตั้งองค์กรที่ทำหน้าที่เป็นสมอง ได้แก่ สวรส., IHPP, HITAP, และองค์กรที่ทำงานได้อย่างคล่องตัว เช่น สรพ., สสส., สปสช., สช. องค์กรเหล่านี้ คสช. ไม่ชอบ แต่เพราะระบบการศึกษาขาดกลไกขององค์กรแบบนี้ จึงไม่มีมิติการพัฒนาเชิงระบบทันการเปลี่ยนแปลง
เมื่อมีคนตั้งคำถาม ดร. สมเกียรติโยนลูกมาให้ผม ผมเสนอว่ายังไม่มีคนตั้งข้อสังเกตความแตกต่างอีกประเด็นหนึ่งระหว่างระบบสุขภาพกับระบบการศึกษา คือบุคลากรของระบบสุขภาพมีความแตกต่างหลากหลาย มีกว่า ๑๐ วิชาชีพทำงานด้วยกัน ทำให้มีหลายความคิดมามีปฏิสัมพันธ์กัน แต่บุคลากรในระบบการศึกษามีวิชาชีพเดียวคือด้านการศึกษา เมื่อจะเอาคนที่เนียนด้านอื่นมาเป็นครูก็มีการกีดกัน ผลคือวงการศึกษามีลักษณะ inbreeding of ideas เป็นลักษณะเชิงโครงสร้างที่ทำให้เกิดการพัฒนายาก
คนที่แสดงความเห็นดีๆ หลายประเด็น ที่เตะตาผมมากคือคุณอาทิตย์ กริชพิพรรธ ผู้จัดการใหญ่ฝ่ายสนับสนุนธุรกิจ บริษัทเชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ที่เสนอให้ทดลอง sandbox หลายแบบ ด้วยท่าทีของการทดลองเรียนรู้และปรับปรุง และส่งเสริมให้ภาคประชาชนมีสิทธิ์มีเสียง บริษัทเชฟรอนมีโครงการโรงเรียนเครือข่ายเชฟรอน และเครือข่ายโรงเรียนพัฒนา STEM
ผมกลับมา AAR ที่บ้านว่า ระบบสุขภาพไทยก้าวหน้า เพราะเป็นระบบที่เปิด เปิดให้คนทั่วไปเข้ามาร่วมพัฒนาระบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านกลไกของ สช. ในขณะที่ระบบการศึกษาเป็นระบบปิด คนภายนอกพยายามเข้าไปช่วยขับเคลื่อน ก็เผชิญแรงต้าน
วิจารณ์ พานิช
๑๙ ม.ค. ๖๑
MOE has become too BIG and too SLOW to move freely. MOE needs to shed excess FAT and excess BAGGAGE. The same problem can be seen in police department, defence forces, public services,...