การเปลี่ยนมหาวิทยาลัยของรัฐ ไปเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ
มหาวิทยาลัยในกำกับ หมายถึง มหาวิทยาลัยมีอิสระจากอำนาจรัฐ บุคคลหรือองค์กรของมหาวิทยาลัยจะต้องตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ เพื่อไม่ให้มหาวิทยาลัยและนักวิชาการกลายเป็นผู้ทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจ โดยมีลักษณะที่สำคัญอย่างน้อย 4 ประการ (วิจิตร ศรีสะอ้าน อ้างในทบวงมหาวิทยาลัย, 2545)
ประการที่หนึ่ง อิสระในการบริหารงานวิชาการให้สอดคล้องรองรับกับภารกิจของมหาวิทยาลัย นั่นก็คือ ลักษณะการบริหารต้องเกื้อกูลต่อกระบวนการหาความรู้และสร้างความคิดโดยอิสระของนักวิชาการ (การวิจัย การค้นคว้าหาความจริง การเรียนการสอน กระบวนการถ่ายทอดและการวัดผล จนท้ายที่สุดคือการให้ปริญญา) รวมถึง การให้บริการแก่สังคม การทำนุบำรุงศิลปวัฒธรรม เป็นต้น อิสระในการดำเนินงานการเหล่านี้จะมีขึ้นไม่ได้ถ้าหากมหาวิทยาลัยนักวิชาการยังต้องรับคำสั่งคำบัญชาจากภายนอกและหากเป็นเช่นนี้การศึกษาระดับสูงสุดซึ่งเน้นการแสวงหาองค์ความรู้ใหม่และการเผยแพร่ความรู้ก็จะไม่ต่างจากศูนย์ฝึกอบรมทั่วไป
ประการที่สอง เมื่อการดำเนินการเพื่อให้ภารกิจสำเร็จโดยมีอิสระในตัวเองแล้ว เครื่องมือและวิธีการอื่นๆ โดยเฉพาะเรื่องการได้ทรัพย์สินและการเงินต้องมีอิสระ และถ้าไม่มีอิสระเสียแล้วภารกิจประการแรกที่สำคัญที่สุดก็จะไมมีทางเป็นอิสระได้
ประการที่สาม อิสระในตัวนักวิชาการในมหาวิทยาลัย กล่าวคือ เมื่อมีผลงานในการคิดค้นและเผยแพร่จนเป็นที่ยอมรับ ก็ต้องได้รับการยอมรับโดยไม่ต้องคอยมองว่า องค์ความรู้ที่คิดค้นและเผยแพร่จนเป็นที่ยอมรับ ก็ต้องได้ทรัพย์สินและการเงินต้องมีอิสระ และถ้าไม่มีอิสระเสียแล้วภารกิจประการแรกที่สำคัญที่สุดก็จะไม่ทางเป็นอิสระได้
ประการสุดท้าย อิสระที่จัดองค์กรและกระบวนการภายในมหาวิทยาลัยให้เกื้อกูลต่อภารกิจให้มากที่สุด มหาวิทยาลัยต้องอิสระที่จะจัดโครงสร้างองค์กรและระดมทรัพยากรมาดำเนินภารกิจต่างๆ ของมหาวิทยาลัยอย่างเต็มที่ เมื้อค้นคิดพบแล้ว ความจำเป็นขององค์กรบางแห่งก็อาจยุบเลิกได้ เรียกอิสระนี้ว่า อิสระในการจัดโครงสร้าง นอกจากความเป็นเอกเทศ (autonomy) นั้น อาจเป็นเพียงอิสระตามกฎหมายซึ่งสามารถยกเลิกเพิกถอนหรือเปลี่ยนแปลงเมื้อใดก็ได้
นอกจากนี้ ศาสตราจารย์ ดร.เทียนฉาย กีระนันท์ (2542) อดีตอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้กล่าวถึงมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐว่า เป็นมหาวิทยาลัยที่เป็นนิติบุคคลที่ไม่ใช่ส่วนราชการและไม่ใช่รัฐวิสาหกิจ เป็นองค์กรสาธารณะไม่แสวงหากำไรที่เรียกว่า public corporate เป็นมหาวิทยาลัยที่มีการจัดวางระบบงานเอง มีระเบียบกฎเกณฑ์ในการปฏิบัติของตนเอง โดยมีความเป็นอิสระ เช่นเดียวกับที่ ศาสตราจารย์ ดร.กฤษณพงศ์ กีรติกร (2544) อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และอดีตเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษาได้กล่าวว่า เป็นกระบวนการเอาความเป็นราชการออกจากการบริหารที่เรียกว่า Debureaucratisation มีการดำเนินการที่เหมือนบริษัท แต่ยังคงเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ ซึ่งรัฐจึงต้องเกื้อหนุน
การบริหารงานบุคคลของมหาวิทยาลัยในกำกับ ทบวงมหาวิทยาลัย (2536) ได้อธิบายว่าบุคลากรมหาวิทยาลัยเรียกว่า “พนักงานมหาวิทยาลัย” มีฐานะเป็นพนักงานหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ภายใต้กฎหมายของมหาวิทยาลัย ไม่ใช่ข้าราชการ ไม่อยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน กฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ กฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม สามารถใช้ตำแหน่งของวิชาการเป็นคำนำหน้านามได้ รวมทั้งเครื่องราชอิสริยากภรณ์ตามตำแหน่ง ได้รับเงินเดือนที่สูงกว่าในปัจจุบัน แต่ไม่ควรต่ำกว่ารัฐวิสาหกิจ สามารถแข่งขันได้ในตลาดแรงงาน โดยจะได้รับตามความสามารถและภาระงานซึ่งพิจารณาตามคุณภาพและปริมาณงานวิจัย ดังนั้นอาจารย์แต่ละคนเงินเดือนไม่ควรเท่ากัน สำหรับระบบบัญชีเงินเดือนควรแยกระหว่างบุคลากรสายวิชาชีพและสายปฏิบัติการ ทั้งนี้ทุกมหาวิทยาลัยจะใช้บัญชีเงินเดือนเดียวกันในระยะ 3 ปีแรกของการเปลี่ยนระบบ การกำหนดประโยชน์เกื้อกูลจะต้องไม่ต่ำกว่าที่ควรได้รับ งบสวัสดิการของมหาวิทยาลัยในแต่ละปี ควรขอจัดสรรงบประมาณจำนวนร้อยละ 25 ของค่าใช้จ่ายหมวดเงินเดือน
แนวปฏิบัติในการบริหารงานบุคคลของมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐบาล สำนักงานปลัดทบวงมหาวิทยาลัย (2541) กำหนดหลักการ ไว้ดังนี้
1. ระบบบริหารงานบุคคลของมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐบาล ต้องเป็นระบบที่ดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถ รวมทั้งสามารถรักษาคนดีไว้ได้
2. การกำหนดอัตราเงินเดือน ให้สภามหาวิทยาลัยเป็นผู้กำหนดบัญชีอัตราเงินเดือน เป็นการเฉพาะของแต่ละมหาวิทยาลัย และมีระบบการประเมินที่คำนึงถึงคุณสมบัติและภาระงานเป็นสำคัญ
3. การกำหนดผลประโยชน์และสวัสดิการ พนักงานของมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐบาล จะได้รับสิทธิประโยชน์เกื้อกูลรวมกันแล้วจะไม่น้อยกว่าระบบราชการ เช่น ไม่มีระเบียบบำเหน็จบำนาญ แต่มีระบบกองทุนเลี้ยงชีพแทน เป็นต้น ทั้งนี้แต่ละมหาวิทยาลัยอาจมีวิธีการที่แตกต่างกันออกไป
4. การกำหนดเงื่อนไขการจ้างและกลไกการประเมิน การคัดเลือกการจ้าง เงื่อนไขการปฏิบัติงานและการประเมินผลการทำงานเป็นอำนาจหน้าที่ของมหาวิทยาลัย โดยสภามหาวิทยาลัยจะกำหนดเกณฑ์และแนวปฏิบัติขึ้น อย่างไรก็ตาม การบรรจุและแต่งตั้งบุคลากรในระบบเดิม หรือบุคคลทั่วไปเข้าสู่ระบบใหม่ต้องคำนึงถึงคุณภาพและประสิทธิภาพของการปฏิบัติงานเป็นสำคัญ ดังนี้
4.1 การจ้าง มหาวิทยาลัยอาจกำหนดหลักเกณฑ์การจ้างได้ตามความเหมาะสมของแต่ละมหาวิทยาลัย เช่นการกำหนดอายุสัญญาการทดลองงานและการประเมินเข้าสู่ตำแหน่ง
4.2 การประเมินผลการปฏิบัติงาน ควรจัดทำเป็นประจำอย่างต่อเนื่องให้ได้บุคลากรที่มีประสิทธิภาพปฏิบัติงานมหาวิทยาลัย ในการประเมินควรยึดหลักการ 4 ประการ คือ
1) วิธีการประเมินต้องโปร่งใสตรวจสอบได้และเป็นธรรม
2) กลไกการประเมินควรใช้องค์คณะบุคคลทั้งภายในและภายนอก
3) ผลของการประเมินต้องนำไปพัฒนาและปรับปรุงเพื่อให้ได้คุณภาพ
4) กฎเกณฑ์การดำเนินการต้องเป็นไปอย่างถูกต้องและเหมาะสม
5. การถ่ายโอนเข้าสู่ระบบใหม่
5.1 ให้มีคณะกรรมการประเมินศักยภาพบุคคลขึ้น เป็นการเฉพาะภายใต้เงื่อนไขที่สภามหาวิทยาลัยกำหนด
5.2 ให้สภามหาวิทยาลัยกำหนดภาระงานใหม่ และอัตราค่าตอบแทนที่ขึ้นอยู่กับคุณวุฒิและภาระงานโดยการจ่ายตามบัญชีอัตราเงินเดือนที่กำหนดขึ้นใหม่
6. ตำแหน่งทางวิชาการ
6.1 การใช้ตำแหน่งทางวิชาการ อาจารย์ของมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐบาลสามารถใช้ตำแหน่งทางวิชาการเป็นคำนำหน้านามได้
6.2 การขอตำแหน่งทางวิชาการ อาจารย์ของมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐบาลสามารถขอตำแหน่งทางวิชาการได้ ภายใต้กฎเกณฑ์ข้อบังคับของสภามหาวิทยาลัย
7. เครื่องราชอิสริยาภรณ์ โดยหลักการผู้ที่เปลี่ยนสภาพจากข้าราชการเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย นั้น ยังคงให้รับสิทธิการขอเครื่องราชอิสริยาภรณ์ได้ต่อเนื่องอีก 1 ชั้น เช่นเดียวกับข้าราชการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเครื่องราชอิสริยาภรณ์ฯ
ศาสตราจารย์ ดร.อุทุมพร จามรมาน (2545) ได้กล่าวถึงการบริหารงานบุคคลมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ ดังนี้
ขั้นที่ 1 การสรรหาทรัพยากรบุคคล
1.1 การจำแนกตำแหน่งงานและจัดทำคำบรรยายลักษณะงาน
1.2 การสรรหาคัดเลือก ยึดระบบคุณธรรม
1.3 การบรรจุแต่งตั้ง ใช้สัญญาจ้างงาน มีระยะเวลาทดลองปฏิบัติงาน
ขั้นที่ 2 การจัดสรรทรัพยากรบุคคล
2.1 การประเมินผลการปฏิบัติงาน
2.2 ประเมินผลทดลองปฏิบัติ
2.3 ประเมินผลการปฏิบัติงานเพื่อประกอบการพิจารณาความดีความชอบ
2.3.1 การเลื่อนเงินเดือน
1. ปีละ 1 ครั้ง
2. เลื่อนตามบัญชีของแต่ละสายงาน
2.3.2 กำหนดโครงสร้างเงินเดือนแต่ละสายงาน
2.3.3 การจัดสวัสดิการและผลประโยชน์เกื้อกูล
1. กองทุนเงินสะสม/สำรองเลี้ยงชีพ
2. เงินชดเชย
3. ค่ารักษาพยาบาล
4. ค่าเล่าเรียนบุตร
ขั้นที่ 3 การพัฒนาทรัพยากรบุคคล
3.1 การฝึกอบรมและพัฒนา
นอกจากนี้ อุทัย เลาหวิเชียร (2545) มีความเห็นว่า การบริหารงานบุคคลมีอิสระอย่างจริงจัง โดย ก.ม. น่าจะมีบัญชีเงินเดือนแยกต่างหากจากข้าราชการพลเรือนของ ก.พ.การพิจารณาบัญชีเงินเดือนให้อิงลักษณะการพิจารณาบัญชีเงินเดือนของ ก.ต. และ ก.อ. เพราะบุคลากรในมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถสูงกว่าบุคลากรที่ทำหน้าที่ทุกประเภทในสังคมเพราะเป็นผู้สอนบุคคลในทุกวิชาชีพ ซึ่งหากตุลาการและอัยการได้รับเงินเดือนสูงเท่าใด อาจารย์คณะนิติศาสตร์ย่อมน่าจะได้รับเงินเดือนมากกว่าเท่านั้น เช่นเดียวกับ สมบัติ นพรัก (2545) มีความเห็นว่าการแปรสภาพเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐต้องการผลที่คาดหวัง คือ
1. สามารถพัฒนาองค์กรและระบบงานที่เหมาะสมกับกิจการของมหาวิทยาลัย
2. ลดระเบียบข้อบังคับและขั้นตอนการทำงานที่ไม่เหมาะสมกับมหาวิทยาลัย
3. รักษาบุคลากรในมหาวิทยาลัยและดึงดูดบุคลากรนอกมหาวิทยาลัย โดยพิจารณาถึงผลตอบแทนในรูปแบบต่างๆ และบรรยากาศในการทำงาน
4. สามารถใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดและประหยัด
ตัวอย่างการบริหารงานบุคคลในกรณีของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี พนักงานมหาวิทยาลัยสายวิชาการจะได้รับเงินเดือนประมาณ 2 เท่า ของราชการ สายปฏิบัติการจะได้รับประมาร 1.5 เท่าของราชการ ส่วนเรื่องสวัสดิการนั้นไม่ต่ำกว่าราชการ แต่เปลี่ยนวิธีการจัดให้เหมาะสม คือ ใช้งบเงินสำรองเลี้ยงชีพแทนบำเหน็จบำนาญ เรียกว่าเก็บ 4% ของเงินเดือน และมหาวิทยาลัยเพิ่มให้อีก 8% รวมเป็น 12% (อุทุมพร จามรมาน, 2545)
ส่วนเสียของการออกนอกระบบราชการ
ในขณะที่สภาอาจารย์ มหาวิทยาลัยบูรพา (2545) ได้กล่าวถึงส่วนเสียของการออกนอกระบบราชการ ซึ่งสรุปไว้มีดังนี้
1. ระบบพนักงานที่ถูกประเมินให้ออกจากงาน เนื่องจากปฏิบัติงานไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้บุคลากรมีความรู้สึกไม่มั่นคงในหน้าที่การงาน การประเมินผลการปฏิบัติงานยังไม่ชัดเจนและโปร่งใส อาจมีการเล่นพรรคเล่นพวกหรือถูกกลั่นแกล้งได้ง่าย
2. ไม่มั่นใจว่าหากระบบดีแต่ได้ผู้บริหารงานไม่ดี ตัวระบบจะสามารถช่วยให้มหาวิทยาลัยดีขึ้นหรือไม่ หากไม่ดีขึ้นแสดงว่าไม่ได้อยู่ที่ระบบแต่อยู่ที่คุณภาพของผู้บริหาร
3. ไม่มั่นใจว่าองค์กรจะสามารถหารายได้เลี้ยงตัวเองได้ โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยต่างจังหวัดและมหาวิทยาลัยขนาดเล็ก ถึงแม้ว่าจะได้รับเงินสนับสนุนส่วนหนึ่งจากรัฐ
4. ไม่มั่นใจว่าการออกนอกระบบจะเป็นการลดขั้นตอนการปฏิบัติงานจริงหรือไม่ กลับเกรงว่านานๆ เข้ามหาวิทยาลัยจะออกระเบียบการบริหารงานต่างๆ ด้วยความเคยชินกับระบบราชการมานาน 40-50 ปี จนกลับไปเหมือนระบบราชการอย่างแต่ก่อน
5. การศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาจะมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น เนื่องจากมหาวิทยาลัยจะต้องหารายได้มาเลี้ยงตนเอง คนยากจนและคนด้อยโอกาสซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศจะไม่มีโอกาสเข้าศึกษาต่อ
ไพโรจน์ ภัทรนรากุล (2545) ได้กล่าวถึงข้อเสียอีกประการหนึ่ง คือบุคลากรที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพบางส่วนของมหาวิทยาลัยขนาดเล็กและมหาวิทยาลัยต่างจังหวัดอาจถูกซื้อตัวหรือเลื่อนไหลไปอยู่ที่มหาวิทยาลัยชั้นนำ บัณฑิตที่ผลิตออกมาอาจมีคุณภาพเลวลงแทนที่จะดีขึ้น หรืออาจขาดความจงรักภักดีต่อองค์กรเมื่อที่ใดเสนอค่าตอบแทนมาก อาจารย์และบุคลากรทางการศึกษาก็พร้อมที่จะย้ายไปอยู่สถาบันการศึกษาใหม่
ไม่มีความเห็น