หะดีษซอเฮี๊ยห์เล่มที่ 3


ข้อกำหนดของคนที่ทิ้งศาสนา คนที่สร้างความเสียหาย และพวกนอกคอก

 

เล่มที่ 3

ภาค กำหนดโทษต่างๆ

มีเจ็ดบท และบทสุดท้าย

บทที่ 1

เตือนให้ห่างไกลจากการฆ่า และการกระทำที่ต้องถูกลงโทษ

อัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่า และผู้ใดฆ่าผู้ศรัทธาคนหนึ่งโดยเจตนา ดังนั้นผลตอบแทนของเขาคือ นรก ญะฮันนัม جَهَنَّمُ Hell และเขาจะอยู่ในนั้นตลอดไป และอัลลอฮ์ทรงโกรธกริ้วเขา สาปแช่งเขา และสำรองการลงโทษอันใหญ่หลวงไว้ให้เขา (ฆาตกร)

เล่าจาก อับดิลลาฮ์ ร.ฎ.[1] จากท่านนบี ซ.ล.[2] ได้กล่าว่า ไม่มีชีวิตใดที่ถูกฆ่าโดยไม่ยุติธรรม นอกจากบุตรคนแรกของอาดัม จะต้องมีส่วนรับผิดชอบจากเลือดของชีวิตนั้นด้วย[3]  เพราะความจริงเขาเป็นคนแรกที่สร้างแบบอย่างในการฆ่าเอาไว้

และเล่าจากเขา (อับดิลลาฮ์ ) จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า สิ่งแรกที่จะถูกตัดสิน ระหว่างมนุษย์ชาติในวันกิยามะต์ คือ เรื่องเลือด[4]

และในบางรายงานว่า สิ่งแรกที่จะถูกตัดสิน คือ ละหมาด และสิ่งแรกที่จะถูกตัดสินระหว่างมนุษยชาติ คือ เลือด(การ ฆาตกรรม)

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อิบนุอุมัร จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า ผู้มีความศรัทธายังมีความกว้างขวางในด้านศาสนาของเขา ตราบเท่าที่เขายังไม่ทำให้มีการหลั่งเลือดที่ต้องห้ามโดยเจตนา

รายงานโดย บุคอรี และ อะบูดาวูด

และตัวบทของ อะบูดาวูดและนะซาอี ว่า บาปทุกๆ อย่างนั้น อัลลอฮ์อาจอภัยให้ได้ นอกจากผู้ที่เสียชีวิตในสภาพผู้ตั้งภาคี(มุชริกูน) หรือผู้ที่ฆ่าผู้ศรัทธาโดยเจตนา

และตัวบทของติรมิซีและนะซาอีว่า การที่โลกจะสลายไปเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยสำหรับ อัลลอฮ์ แต่ที่ยิ่งใหญ่หลวงมาคือ การฆ่าคนมุสลิม

และตัวบทของติรมิซีว่า ถ้าหากชาวฟ้าและชาวดินร่วมมือกันในเลือด(ฆ่า) ผู้มีศรัทธาคนหนึ่ง อัลลอฮ์จะเทพวกเขาลงนรกทั้งหมด

เล่าจาก อะบี ฮุร็อยเราะห์ จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า ผู้ใดโดดจากภูเขาเพื่อฆ่าตัวตาย เขาจะอยู่ในนรก ญะฮันนัม เขาจะโดดที่ภูเขาลูกนั้นซึ่งอยู่ใน ญะฮันนัมตลอดกาล และผู้ใดดื่มยาพิษฆ่าตัวตาย ยาพิษจะอยู่ในมือเขา และจะดื่มมันตลอดกาลใน ญะฮันนัม  และผู้ใดฆ่าตัวตายด้วยของมาคม ของมีคมนั้นจะติดอยู่ในมือ และจะใช้แทงเขาตลอดกาลใน ญะฮันนัม

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจาก อะบี ฮุร็อยเราะห์ จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า ท่านทั้งหลายจงออกห่างบาปใหญ่ทั้งเจ็ด พวกเขาถามว่า มันคืออะไร โอ้ท่านเราะซูลลุลลอฮ์ ท่านได้ตอบว่ามันคือ 1. การตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์ لا شَرِيْكَ اللهُ 2. การทำคุณไสย أنت غامض 3. การนฆ่าที่อัลลอฮ์หวงห้าม นอกจากเพื่อความเป็นธรรม[5] 4. การกินดอกเบี้ย الرِّباً 5. การกินทรัพย์ของเด็กกำพร้า خداع يتيم 6. การหลบหนีในวันเคลื่อนทัพ 7. การกล่าวหาสตรีผู้ศรัทธาว่า ผิดประเวณี

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจาก อิบนุ อับบาส จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า ผุ้ที่อัลลอฮ์กริ้วที่สุดมีสามคน คือ 1. คนที่ทำชั่วในแผ่นดินหะรอม (คือแผ่นดินเมืองมักกะห์และเมืองมะดินะห์) 2. ผู้ที่ยังคงแสวงหาแนวทาง ญาฮิลิยะห์ในอิสลาม[6] الجاهلية 3. และผู้ที่ติดตามหาเลือดของบุคคลหนึ่งโดยไม่เป็นธรรม (ฆาตกรอันธพาล)

รายงานโดยบุคอรี

เล่าจาก อิบนุ อับบาส จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า บ่าวคนหนึ่งจะไม่ทำผิดในเรื่องเพศ (ซินา) ในขณะที่ทำผิดเรื่องเพศนั้นเป็นผู้ศรัทธา เขาจะไม่ลักขโมย ในขณะนั้นเขาเป็นผู้ศรัทธา เขาจะไม่ดื่มสุรา (สารที่เสพสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ทำให้เกิดความเคลิบเคลิ้ม มึนเมา จิตใจเลื่อนลอยกับสารเสพนั้น และจะเสพติดมัน และขาดมันจะเครียด หงุดหงิด งุ่นง่าน คุ้มคลั่ง) ในขณะที่เสพนั้นเป็นผู้ศรัทธา และเขาจะไม่ฆ่าในสภาพเป็นผู้ศรัทธา และ อะบู ฮุร็อยเราะห์ได้เพิ่มเติมในรายงานเขาว่า สำหรับบุคคลผู้นี้ การเตาบะห์ ถูกขัดขวางในภายหลัง

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และท่าน อิบนุ อับบาส ถูกถามถึงผู้ที่ฆ่ามีศรัทธาโดยเจตนา หลังจากนั้นเขา(ฆาตกร) ได้เตาบะห์ และขอทางนำ(ฮิดายะห์) ท่าน อิบนุ อับบาสตอบว่า จะมีเตาบะห์ให้เขาที่ไหน ข้าพเจ้า(อิบนุ อับบาส) ได้ยินท่านนบีกล่าวว่า ผู้ที่ถูกฆ่าจะมาในสภาพที่เกี่ยวติดกับฆาตกร เส้นเอ็นต่างๆ ที่คอของเขา(ผู้ถูกฆ่า) ยังคงมีเลือดไหลรินอยู่ ผู้ถูกฆ่าจะกล่าวว่า โอ้พระผู้อภิบาลของข้าพเจ้า จงถามชายผู้นี้ว่า เขาฆ่าฉันด้วยเหตุใด หลังจากนั้น อิบนุ อับบาส ได้กล่าวว่า สาบานต่ออัลลอฮ์ โองการนั้นได้ประทานลงมาและไม่มีสิ่งใดไปยกเลิกมัน และท่าน สะอีด บิน ยุบีรได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้กล่าวแก อิบนุ อับบาส  ว่า ผู้ที่ฆ่าผู้มีศรัทธาโดยเจตนาจะมีสิทธิเตาบะห์หรือไม่ ท่าน อิบนุ อับบาส ได้กล่าวว่า ไม่มีสิทธิ์ ข้าพเจ้าสะอีด บิน ยุบีรจึงได้อ่านโองการหนึ่งจากซูเราะห์ “อัลฟุรกอน” ให้เขาฟังจนถึงโองการที่ว่า นอกจากผู้ที่เตาบะห์[7] อิบนุ อับบาส ได้กล่าวว่า นี่เป็นโองการที่ถูกประทานที่มักกะห์ มีโองการที่ถูกประทานที่มะดีนะห์ได้มาประกาศยกเลิกมัน คือ โองการที่ว่า และผู้ใดฆ่าผู้มีศรัทธาโดยเจตนา ดังนั้นผลตอบแทนของมันคือ นรก ญะฮันนัม

รายงานโดยนะซาอี บุคอรีและมุสลิม ในเรื่อง การบรรยายความหมาย อัลกุรอาน (ฉะนั้นหะดีษนี้จึงสรุปว่า ฆ่าผู้มีศรัทธาโดยเจตนา ไม่มีสิทธิ์เตาบะห์

ท่าน อิบนุ อับบาส จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า ผู้ใดได้ฆ่าชีวิตการฟิร (ผู้ปฏิเสธพระเจ้า) ที่เป็นคู่สัญญาสงบศึก เขาจะไม่ได้กลิ่นสวรรค์ และแท้จริงกลิ่นสวรรค์นั้น จะพบได้จากระยะทางสี่สิบปี[8]

รายงานโดยบุคอรี และติรมิซี

เล่าจาก ยาบีร ว่า ท่านตุไฟล์ บินอัมร์ อัดเดาซี ได้มาหาท่านบีฯ แล้วถามว่า โอ้ท่านเราะซูลลุลลอฮ์ท่านต้องการไหมที่จะอยู่ที่ป้อมปราการที่แข็งแกร่ง[9] แต่ท่านนบี ไม่ตอบรับ เพื่อสิ่งที่อัลลอฮ์ได้เก็บไว้ให้พวกอันศ็อร เมื่อท่านนบีได้อพยพไปสู่มะดีนะห์ ตุไฟล์และชายอีกคนหนึ่งได้อพยพไปหาท่านนบี ต่อมาชายนั้นล้มป่วยลง เขาตกใจจึงได้ตัดนิ้วมือด้วยหอกสั้น[10] เลือดไหลออกจากนิ้วมือของเขาทั้งสองข้างจนตาย ตุไฟล์ฝันเห็นเขาในสภาพที่ดี โดยคลุมมือทั้งสองข้าง ตุไฟล์ถามเขาว่า พระเจ้าของท่านปฏิบัติต่อเขาอย่างไรบ้าง เขา(เพื่อนตุไฟล์) ตอบว่า อัลลอฮ์ได้ให้อภัยแก่ข้าพเจ้า โดยการที่ข้าพเจ้า อพยพไปหาท่านนบีของอัลลอฮ์ ตุไฟล์กล่าวว่า ไม่สมควรเลยที่ข้าพเจ้า จะเห็นท่านคลุมมือทั้งสองข้างไว้ เขากล่าวว่า มีผู้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่าเราจะไม่ทำให้ดีขึ้นจากตัวท่าน จากสิ่งที่ท่านทำให้เสียหายไป หลังจากนั้นตุไฟล์ได้นำเรื่องไหเล่าให้ท่านนบีฟัง ท่านนบีได้กล่าวว่า ข้าแต่พระองค์อัลลอฮ์ได้โปรดอภัยให้แก่มือทั้งสองข้างของเขาด้วยเถิด

รายงานโดยมุสลิม เรื่องการศรัทธา

ตอน กิสอส[11] قِصَاصُ punishment 360

อัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่า และในการกิสอสนั้นเป็นผลให้พวกท่านมีชีวิต โอ้ผู้มีปัญญาทั้งหลายหวังว่าพวกท่านจะยำเกรง

 قالالله تعالى:ولكمفيالقصاص حياة يا اءولى الالباب لعلكم تتقون

และอัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่า โอ้บรรดาผู้มีศรัทธา การกิสอสได้ถูกกำหนดเหนือพวกท่านในเรื่องบุคคลที่ถูกฆาตกรรม (ชีวิต)ของคนอิสระชน แลกกับคนอิสระชน ทาสแลกกับทาส และผู้หญิงแลกกับผู้หญิง

 قال الله تعالى:يايها الذين آمنوا كتب عليكم القصاص في القتلى الحر بالحر والعبد بالعبدو الانثي بالانثي

และเล่าจาก อะนัส ว่า ชาวยิวคนหนึ่งได้โขกหัวเด็กหญิงระหว่างหินสองก้อน มีผู้ถามเธอว่า ใครเป็นทำเช่นนี้กับเธอ คนนั้นใช่ไหม คนโน้นใช่ไหมจนมีผู้ระบุชื่อของชาวยิวผู้นั้น เธอจึงพยักหน้าตอบรับ ชาวยิวผู้นั้นจึงถูกนำตัวมา เขารับสารภาพ ท่านนบี จึงออกคำสั่งให้จัดการกับเขา คือนำหินมาสองก้อนเท่ากันนั้นมาโขกหัวชาวยิว

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และเล่าจาก อะนัส ว่า บุตรสาวของท่านอันนัดร์ได้ตบหน้าหญิงคนหนึ่ง ทำให้ฟันหน้าของหล่อนหัก พวกหล่อนได้พากันมาหาท่านนบี ท่านนบีได้ใช้ให้กิสอส (ตบให้ฟันหน้าบุตรสาวของท่านอันนัดร์หักตามกันไป)

รายงานโดย บุคอรีและ อะบูดาวูด

และเล่าจาก อะนัส ว่า พี่สาวของ อัรรอบีอ์ คือ อุมมุ ฮาริษะห์ ได้ทำร้ายคนคนหนึ่งจนได้รับบาดแผล พวกเขาโต้เถียงกันและพากันไปพบท่านนบี ท่านนบีกล่าวว่า ต้องกิสอส ต้องกิสอส อัรรอบีอ์ได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลลุลลอฮ์ ต้องกิสอสแลกกับคนคนนั้นหรือ สาบานต่ออัลลอฮ์ฉันจะไม่กิสอสกับคนคนนั้น ท่านนบีกล่าวว่า ซุบฮานัลลอฮ์ โอ้อุมมุ อัรรอบีอ์ การกิสอสนั้นอยู่ในคัมภีร์ของอัลลอฮ์ แต่หล่อนก็ยังกล่าวว่า สาบานต่ออัลลอฮ์ ฉันไม่ต้องการกิสอสแลกกับคนคนนั้น จนกระทั่งอุมมุ อัรรอบีอ์ยอมรับ “ดิยะห์” ท่านนบีกล่าวว่า แท้จริงจากบ่าวของ อัลลอฮ์คือ ผู้ที่ถ้าหากมีผู้ใดสาบานต่อ อัลลอฮ์แล้ว เขาจะปฏิบัติให้เป็นไปตามคำสาบานนั้น (สาบานไม่ยอมรับกิสอส(ตาต่อตา ฟันต่อฟัน) ก็เปลี่ยนเป็น ดิยะห์ (ค่าชดเชย ทำขวัญได้)

รายงานโดยบุคอรีและมุสลิม

เล่าจาก ซัดดาด บิน เอาส์ ได้กล่าวว่า สองประการที่ข้าพเจ้าจำมาจากท่านเราะซูลุลลอฮ์ ท่านได้กล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮ์ได้บันทึกการทำความดีเหนือทุกอย่าง ให้ท่านทั้งหลายฆ่า(สัตว์หรือประหารชีวิตฆาตกร) จงฆ่าให้ดี และเมื่อท่านทั้งหลายเชือด ท่านจงเชือดให้ดี ให้ใครคนใดคนหนึ่งลับมีดให้คมกริบ และจงทำให้สัตว์ที่ถูกเชือดนั้นสบาย

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

บทที่2 ดิยะห์ دِيَةُ

อัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่า ผู้ใดได้รับการอภัยให้จากพี่น้องของเขาในสิ่งหนึ่ง ดังนั้นให้ติดตามทวงถามด้วยดีและให้จ่ายต่อเขาแต่โดยดี นั่นคือการผ่อนผันจากพระผู้อภิบาลของพวกท่าน และเป็นความเมตตา และผู้ใดล่วงละเมิดในภายหลัง เขาจะได้รับการลงโทษที่เจ็บปวด قال الله تعالى:فمن عفي له من اخبهشىءٌ فاتباع بالمعروف وأداءٌ اليه باءحسانٍذألك تخفيف منربكم ورحمةٌ

และอัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่า ผู้ใดฆ่ามุอมิน(ผู้ศรัทธา)โดยไม่เจตนา ให้เขาปลดปล่อยทาสี[12](ทาสหญิง)ผู้ศรัทธาหนึ่งคน พร้อม ดิยะห์มอบให้ครอบครับของผู้ตาย

เล่าจาก อัมร์ บิน ชุเอบ เล่าจากบิดาของเขา จากปู่ของเขา จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า ผู้ใดฆ่ามุอมินโดยเจตนา เรื่องของเขาจะถูกผลักไปให้ญาติของผู้ตาย ถ้าหากพวกเขา(ญาติของผู้ตาย) ต้องการ พวกเขาก็จะจะจัดการประหารฆาตกร หรือถ้าญาติของผู้ตายต้องการรับเอา ดิยะห์คือ 1. อูฐตัวเมียอายุย่างเข้าปีที่สี่ จำนวน30ตัว และ 2. อูฐตัวเมียอายุย่างเข้าปีที่ห้า จำนวน30ตัว และ 3. อูฐตัวเมียที่กำลังท้อง จำนวน 40ตัว และ 4. สิ่งอื่นใดที่พวกเขาตกลงกัน พวกเขาญาติของผู้ตายมีสิทธิ์ในสิ่งนั้น ทั้งนี้เพาะต้องการให้เป็น ดิยะห์ที่หนัก

รายงานโดย ติรมิซีและ อะบูดาวูด 362

เล่าจาก อับดิลลาฮ์ จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า การฆาตกรรม มุอมินที่ไม่เจตนาว่า 1. ลูกอูฐตัวเมียอายุย่างเข้าปีที่สอง จำนวน20ตัว และ 2. ลูกอูฐตัวเมียอายุย่างเข้าปีที่สาม จำนวน20ตัว และ 3.. ลูกอูฐตัวผู้อายุย่างเข้าปีที่สาม 20ตัวและ 4. อูฐตัวเมียอายุย่างเข้าปีที่สี่จำนวน20ตัว และ 5. อูฐตัวเมียอายุย่างเข้าปีที่ห้า จำนวน20ตัว และ

รายงานโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อิบนุ อับบาส ว่า มีชายผู้หนึ่งจากตระกูล บะนี อะดีย์ ถูกฆ่าตาย ท่านนบี ได้กำหนด ดิยะห์ของเขาไว้หนึ่งหมื่นสองพัน ดิรฮัม

รายงานโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 362

เล่าจาก อัมร์ บิน ชุเอบ เล่าจากบิดาของเขา จากปู่ของเขา ได้กล่าว่า ปรากฏว่า ราคาดิยะห์ ในสมัยท่านเราะซูลุลลอฮ์ คือแปดร้อย ดินาร์ دِنَارٌ หรือแปดร้อย ดิรฮัม ดิยะห์ของการฟิรเท่ากับเศษหนึ่งส่วนสอง จนท่านอุมัรได้ดำรงตำแหน่งเคาะลิฟะห์ ท่านได้คุตบะห์ว่า โปรดทราบแท้จริงอูฐแพง จึงกำหนด ดิยะห์เหนือพวกท่านด้วยทองคำหนึ่งพัน ดินาร์ หรือ ใครใช้ ดิรฮัมต้องหนึ่งหมื่นสองพัน ดิรฮัม ถ้าเป็นวัว สองร้อยตัว หรือแกะสองพันตัว หรือเครื่องแต่งกายสองร้อยชุด และท่านอุมัรได้ปล่อย ดิยะห์ของพวกกาฟิรใต้ปกครองอิสลาม (อะห์ลิซซิมมะห์ اَهْلِ الذِّمَةُ) ไว้ตามเดิม คือ1/2ของมุสลิม

รายงานโดย อะบูดาวูด นะซาอี

เล่าจาก อัมร์ บิน ชุเอบ เล่าจากบิดาของเขา จากปู่ของเขา จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า ดิยะห์ในการฆ่าแบบ กึ่งเจตนา เป็น ดิยะห์ที่หนักเท่ากับ ดิยะห์แบบเจตนา ฆาตกรในคดีนี้ไม่ถูกตัดสินประหารชีวิต ดังกล่าวนี้ท่านอุมัร ได้เคยตัดสินมาแล้ว

รายงานโดย อะบูดาวูด และ อะห์หมัด

และจากท่าน อะลี บิน อับดุล ตอลิบ ได้กล่าวว่า ในการฆ่าแบบกึ่งเจตนานั้น ต้องจ่าย 1. อูฐตัวเมียอายุย่างเข้าปีที่สี่จำนวน30ตัว และ 2. อูฐตัวเมียอายุย่างเข้าปีที่ห้า จำนวน30ตัว และ 3.อูฐตัวเมียอายุย่างเข้าปีที่หก จำนวน30ตัว และ ทั้งหมดเป็นอูฐต้องท้อง

รายงานโดย อะบูดาวูด 363

และจากท่าน อะลี บิน อับดุล ตอลิบ จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าว่า ดิยะห์ในการฆ่าแบบผิดพลาดกึ่งเจตนาคือ การฆ่าที่เกิดขึ้นโดยการใช้ไม้เรียวหรือไม้ตะพด ต้องจ่ายอูฐหนึ่งร้อยตัว สี่ตัวต้องเป็นอูฐที่มีท้องแล้ว

รายงานโดย อะบูดาวูด นะซาอี

และจากท่าน อะลี บิน อับดุล ตอลิบ จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า ผู้ใดอ้างตัวเป็นแพทย์ โดยความรู้ทางด้สนการแพทย์ของเขาไม่เป็นที่รู้จัก เขาต้องรับผิดชอบ[13]

รายงานโดย อะบูดาวูด นะซาอี และฮากิม ด้วยสายรายงานที่ ศอฮีหะห์

และจากท่าน อะลี บิน อับดุล ตอลิบ จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า ดิยะห์ของกาฟิรเท่ากับครึ่งหนึ่งของมุอมิน

รายงานโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี และ อะห์มัด 364

เล่าจาก อิบนิ อับบาส[14] จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่าเมื่อทาส “มุกาตับ”[15] ได้รับ ดิยะห์หรือมรดก เขาจะได้รับส่วนที่เขาเป็นอิสระ

และในบางรายงานว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ได้ตัดสินเรื่องดิยะห์ของทาสมุกาตับที่ถูกฆ่าตาย ว่าให้(ฆาตกร) จ่าย ดิยะห์เหมือนดิยะห์ของคนที่เป็นอิสระชน โดยคิดตามส่วนที่เขา(มุกาตับ) ได้จ่ายไปแล้วตามสัญญาและสิ่งที่เหลืออยู่ คือจำนวนที่ยังค้างจ่ายตามสัญญา ให้พิจารณาเหมือนดิยะห์ทาส

รายงานโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และเล่าจาก อิบนิ อับบาส จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า ผู้ใดถูกฆ่าโดยไม่รู้ตัวฆาตกร ในขณะที่มีการขว้างปาก้อนหิน ท่อนไม้ระหว่างกัน หรือถูกตีด้วยไม้ตะพดแล้วเสียชีวิต ถือว่าเป็นการฆ่าโดยผิดพลาด ดิยะห์ของเขาคือ ดิยะห์ที่ฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา และผู้ใดฆ่าคนตายโดยเจตนาก็ต้องกิสอส(ชีวิตต่อชีวิต) และผู้ใดโต้แย้งในเรื่องดังกล่าว อัลลอฮ์จะสาปแช่งเขา(ฆาตกร) และโกรธกริ้วเขา และจะไม่รับ อะห์ซันอามัล(ความดี) ทั้งฟัรดูและซุนนะห์

เล่าจาก อิมรอน บิน ฮุศ็อยน์ ว่า มีเด็กของบรรดาผู้ยากจน ได้ตัดหูเด็กคนร่ำรวย พวกเขาได้พากันไปหาท่านนบี แล้วกล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ พวกเราเป็นเด็กยากจน ท่านนบีจึงไม่ได้กำหนด ดิยะห์อะไรบนพวกเขา

รายงานโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

ดิยะห์ของเด็กในท้องที่ถูกฆ่าตาย คือ ฆุรเระห์[16]

เล่าจาก อะบี ฮุร็อยเราะห์ ว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ได้ตัดสินคดีลูกในท้องของหญิงคนหนึ่ง จากตระกูลละห์ยาน ด้วย ฆุรเราะห์คือ ทาสี[17]หรือทาสาคนหนึ่ง ต่อมาหญิงผู้ที่ได้รับการตัดสินให้ได้รับ ฆุรเราะห์ได้ตายไป ท่านเราะซูลุลลอฮ์จึงตัดสินว่า มรดกนั้นตกเป็นของลูกชายและสามีหญิงที่ตายไป ดิยะห์นั้นตกเป็นหน้าที่ของทายาทที่ได้รับ อะซอบะห์(ส่วนที่เหลือจากมรดก ของหล่อนคือ ของหญิงผู้เป็นอาชญากร) 365

เล่าจาก อะบี ฮุร็อยเราะห์  ได้กล่าวว่า  หญิงสองคนจากเผ่า ฮุเซล ได้ต่อสู้กัน หญิงคนหนึ่งขว้างก้อนหินใส่หญิงอีกคนหนึ่ง ทำให้หญิงคนหนึ่งและลูกในท้องตาย พวกเขาเผ่าฮุเซล ได้โตเถียงกันและได้พากันพบท่านเราะซูลุลลอฮ์ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้ตัดสินว่า ดิยะห์ลูกในท้องหญิงที่ตายคือ ฆุรเราะห์ (ได้รับทาสีหรือทาสาหนึ่งคน) และตัดสินต่อไปว่า ดิยะห์ของผู้ตาย นั้นตกหนักเป็นภาระเหนือทายาทหญิงอาชญากร และได้ตัดสินให้บุตรของหญิงผู้ตาย และคนอื่นที่มีสิทธิ์รับมรดกได้ ดิยะห์นั้นเป็นมรดกไป ชายคนหนึ่งช่อ ฮะมั้ล บิน อันนาบิเคาะห์ อัลฮุซาลี ได้พูดขึ้นว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ทำไม่ข้าพเจ้าจะต้องจ่ายค่าเสียหายให้แก่ผู่ที่ยังดื่มไม่ได้ กินไม่ได้ พูดไม่ได้ และยังส่งเสียงร้องไม่ได้ เด็กอย่างนี้ควรตายโดยไม่ต้องจ่าย ดิยะห์(ค่าชดเชย) ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ได้กล่าวว่า ความจริงชายคนนี้เป็นพี่น้องกับพ่อมดหมอผี เนื่องจากคำพูดเขาที่คล้องจองกันของเขาที่ได้กล่าวขึ้น คล้ายพ่อมดหมอผี

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

ดิยะห์ของอวัยวะต่างๆ 3/366

เล่าจาก อิบนิ อับบาส จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า นี่กับนี่เท่ากัน ท่านหมายถึงนิ้วก้อยกับนิ้วหัวแม่มือ

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อิบนิ อับบาส จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า ในเรื่องดิยะห์ของนิ้วมือทั้งสองข้างและนิ้วเท้าทั้งสองข้างนั้นเท่ากัน คือ อูฐสิบตัวสำหรับนิ้วแต่ละนิ้ว

รายงานโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี (เจ้าของสุนัน)

เล่าจาก อัมร์ บิน ชุเอบ เล่าจากบิดาของเขา จากปู่ของเขา ได้กล่าวว่า ท่านนบี ได้ตีราคา ดิยะห์ที่เกิดจากการฆ่าโดยไม่เจตนาเหนือชาวตำบลหนึ่ง เป็นจำนวน สี่ร้อย ดินาร์ دِنَارُ หรือ ดิรฮัมที่มีค่าเท่ากัน และท่านจะเอาไปตีราคากับราคาอูฐ ถ้าอูฐแพงก็จะตีราคาสูงขึ้น ถ้าอูฐถูกก็จะตีราคาต่ำลง ดิยะห์ในสมัยท่านเราะซูลุลลอฮ์นั้นขึ้น ลง อยู่ระหว่างสี่ร้อยกับแปดร้อย ดินาร์ دِنَارُ หรือ ดิรฮัมที่มีค่าเท่ากัน คือแปดพัน ดิรฮัม และท่านได้ตัดสินเหนือเจ้าของวัวว่า ต้องจ่ายสองร้อยตัว เจ้าของแกะต้องสองพันตัว และท่านนบีได้กล่าวว่า ดิยะห์นั้น เป็นมรดกแบ่งกันได้มากน้อย ระหว่างทายาทของผู้ที่ถูกฆ่าตาย แล้วแต่ความใกล้ชิด ส่วยที่เหลือจากมรดก(อะซอบะห์) และท่านนบีได้ตัดสินในคดีจมูกที่ถูกตัด ต้องจ่ายเต็มจำนวน[18] ถ้าหากถูกตัดเฉพาะส่วนปลายของจมูก ต้องจ่าย ดิยะห์กึ่งหนึ่ง(คือจ่ายอูฐห้าสิบตัว) ในคดีมือข้างหนึ่ง เมื่อถูกตัดขดต้องจ่าย ดิยะห์กึ่งหนึ่ง และในกรณีเท้าข้างหนึ่ง เมื่อถูกตัดขดต้องจ่าย ดิยะห์กึ่งหนึ่ง และในบาดแผลที่ลึกถึงเยื่อสมอง และแผลที่ลึกลงกว่านั้น ต้องจ่าย ดิยะห์ หนึ่งส่วนสาม (1/3) และในบรรดานิ้วต่างๆ ในแต่ละนิ้วต้องจ่ายอูฐสิบตัว และในฟัน ฟันทุกซี่นั้น ต้องจ่ายอูฐห้าตัว

รายงานโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

และเล่าจาก อัมร์ ได้กล่าวว่า ท่านนบี[19] ได้ตัดสินดวงตาข้างเดียวที่มองไม่เห็น เมื่อถูกควักออกต้องจ่าย ดิยะห์ เศษหนึ่งส่วนสามของ ดิยะห์ดวงตาที่มองเห็น ในมือที่เป็นอัมพาต จ่ายเศษหนึ่งส่วนสาม (เศษหนึ่งส่วนสามของหนึ่งร้อย ก็เท่ากับ 34 ตัว) ในฟันที่ผุ ดำ จ่ายเศษหนึ่งส่วนสาม (เปรียบเทียบกับฟันบนหะดีษก่อนหน้า เท่ากับอูฐห้าตัว)

รายงานโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

บทที่ 3 368

บุคคลที่ไม่ได้รับการคุ้มครองชีวิตและร่างกาย[20]

เล่าจาก อิมรอน บิน ฮุศ็อยน์ ว่า ชายคนหนึ่งได้กัดมือของชายอีกคนหนึ่ง ชายที่ถูกกัดจึงกระชากมือออกจากปากของคนที่กัด ปรากฏว่าฟันหน้าสองซี่เขาหลุดตามออกมาด้วย พวกเขาโต้เถียงกัน แล้วจึงพากันไปหาท่านนบี ท่านได้กล่าวว่า คนใดคนหนึ่งจากพวกท่านจะกัดมือพี่น้องเหมือนสัตว์ตัวผู้ที่กัดหรือ ไม่มี ดิยะห์ให้แก่ท่าน(ผูกัดที่ฟัดหัก)

เล่าจาก อะบี ฮุร็อยเราะห์  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า สัตว์นั้น ดิยะห์ของมันสูญเปล่า บ่อน้ำ ดิยะห์ของมันสูญเปล่า หลุมแร่ ดิยะห์ของมันสูญเปล่า

ทรัพย์สมบัติที่ฝังอยู่ใต้ดินเมื่อขุดค้นพบ ต้องจ่ายซะกาต (ภาษี)เศษหนึ่งส่วนห้า(ร้อยละยี่สิบ)

เล่าจาก อะบี ฮุร็อยเราะห์  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า ถ้าหากมีคนแอบมองเข้าไปในบ้านท่าน โดยไม่ได้รับอนุญาต แล้วท่านขว้างด้วยหินจนตาเขาแตก ท่านจะไม่มีโทษใดๆ และในบางรายงาน บอกว่า จะไม่มีกิสอสและมามี ดิยะห์

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และนะซาอี

และได้มีชายคนหนึ่งมาหาท่านนบี แล้วกล่าวขึ้นว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ได้โปรดบอกข้าพเจ้าด้วยเถิด (ว่าข้าพเจ้าจะปฏิบัติอย่างไร) ถ้าหากมีคนๆหนึ่งตั้งใจจะมาเอาทรัพย์สินของข้าพเจ้า ท่านนบี ท่านอย่ายอมให้เขา ชายผู้นั้นกล่าวอีกว่า ได้โปรดบอกข้าพเจ้าด้วยเถิด (ว่าข้าพเจ้าจะปฏิบัติอย่างไร) ถ้าหากเขาต่อสู้กับข้าพเจ้า ท่านนบีตอบว่า ท่านจงต่อสู้กับเขา ได้โปรดบอกข้าพเจ้าด้วยเถิด (ว่าข้าพเจ้าจะปฏิบัติอย่างไร) ถ้าหากเขาสังหารข้าพเจ้า ท่านนบีตอบว่า เท่ากับท่านตายชะฮีด ชายผู้นั้นถามอีกว่า ได้โปรดบอข้าพเจ้าด้วยเถิด ถ้าหากข้าพเจ้าสังหารเขา ท่านนบีตอบว่า เขาอยู่ในขุมนรก

รายงานโดย มุสลิม เรื่องอิหม่าน

ข้อกำหนดของคนที่ทิ้งศาสนา คนที่สร้างความเสียหาย และพวกนอกคอก حكم المرتر والساعى بالفاروالخوارج

อัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่า และบุคคลใดจากพวกท่านหันออกจากอิสลาม แล้วเขาได้เสียชีวิตในสภาพกาฟิร ดังนั้น การกระทำ(อาม้าล)พวกเขาที่ทำไว้ จะเสียหายทั้งหมด ทั้งในดุนยาและอาคิเราะห์ พวกเขาเป็นชาวนรกตลอดไป

อัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่า แท้จริงผลตอบแทนของผู้ที่ตั้งตัวทำสงครามกับอัลลอฮ์ และเราะซูลฯของพระองค์ และผู้ที่พยายามสร้างความเสียหายบนผืนแผ่นดิน นั่นคือ พวกเขาต้องถูกสังหาร หรือต้องถูกจับตรึง หรือการถูกตัดมือ ตัดเท้า สลับกัน หรือถูกเนรเทศออกจากแผ่นดินนั้น นั่นคือความตกต่ำของพวกเขาบนโลกนี้ และจะได้รับโทษอันยิ่งใหญ่ในอาคิเราะห์

เล่าจาก อับดิลลาฮ์ จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า เลือดของมุสลิมที่ให้คำปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่คู่ควรแก่การเคารพสักการะนอกจากอัลลอฮ์ และแท้จริงข้าพเจ้าเป็นทูตประกาศศาสนาของอัลลอฮ์นั้นไม่อนุญาต ให้ผู้ใดละเมิด เว้นแต่ด้วย หนึ่งจากสาม 1. ชีวิตแลกด้วยชีวิต 2. หญิงชายที่แต่งงานแล้วละเมิดประเวณี 3. คนที่ทิ้งศาสนา คือ คนที่ปลีกตัวออกห่างกลุ่มชนมุสลิม(ส่วนใหญ่)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอิกรีมะห์ว่า ท่าน อะลี บิน อับดุล มุตตอเล็บ ได้เผาชนกลุ่มหนึ่งที่ได้ละทิ้งศาสนาอิสลาม ข่าวการกระทำเช่นนั้นล่วงรู้ไปถึง อิบนุ อับบาส เขาจึงได้กล่าวว่า ถ้าหากเป็นข้าพเจ้าแล้ว จะสังหารพวกนั้นให้หมด เพราะคำพูดของท่านเราะซูลุลลอฮ์ ได้กล่าวว่า ผู้ใดละทิ้งอิสลาม ท่านทั้งหลายจงสังหารเขา ข้าพเจ้าจะไม่เผา เพราะคำพูด ท่านเราะซูลุลลอฮ์ที่ว่า ท่านทั้งหลายอย่าลงโทษด้วยโทษของอัลลอฮ์(นั่นคือไฟนรก) ต่อมาปรากฏว่า คำพูดของ อิบนุ อับบาสได้ไปถึง อะลี ท่านอะลีจึงได้กล่าวว่า อิบนุ อับบาส พูดถูกแล้ว

รายงานโดยบุคอรี อะบู ดาวูด และติรมิซี

เล่าจาก อะนัส บิน มาลิก ได้กล่าวว่า ได้มีคนกลุ่มหนึ่งจากเผ่า อุกล์ عُكْل เข้ามาหาท่านนบี และพวกเขาได้เข้านับถืออิสลาม ต่อมาพวกเขาไม่ชอบที่จะอาศัยอยู่ในนครมะดินะห์ เพราะโรคภัยที่เบียดเบียน ท่านนบีจึงใช้ให้พวกเขาไปอยู่ที่ฝูงอูฐชานเมือง ซึ่งเป็นอูฐกองซะกาต ท่านได้ใช้ให้พวกเขาดื่มเยี่ยวอูฐและนมอูฐ พวกเขาได้ทำตามและหายจากโรคนั้น ต่อมาพวกเขาได้ละทิ้งศาสนาและสังหารคนเลี้ยงอูฐ และไล่ต้อนอูฐไป ท่านนบีส่งคนติดตามไป จนสามารถจับตัวมาได้ ท่านได้ตัดมือตัดตีนและทิ่มตาบอดทั้งสองข้าง ยังไม่ทันได้นำแผลจุ่มน้ำมัน ทนบาดพิษแผลไม่ไหว เสียชีวิตไปก่อน และท่าน อะนัสได้เพิ่มเติมในรายงายว่า หลังจากนั้นได้นำพวกเขาไปโยนไว้ในพื้นที่ที่เป็นหิน พวกเขาขอน้ำดื่ม แต่ไม่ได้รับน้ำ จึงเสียชีวิตในเวลาต่อมา

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจาก อะลี บิน อับดุล มุตตอเล็บ จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า ต่อไปจะมีชนกลุ่มหนึ่งออกมาในสมัยสุดท้าย เป็นคนรุ่นเยาวชนมีสติปัญญาโง่เขลา พวกเขาจะอ้างอิงด้วยคำพูดผู้ประเสริฐสุดในมวลมนุษย์ อีหม่านของพวกเขาไม่เกินกระเดือก พวกเขาจะฉีกทะลุออกจากอิสลามเหมือนลูกธนูที่พุ่งทะลุเป้า ดังนั้นไม่ว่าพวกท่านพบเห็นพวกเขา ณ ที่ใด ท่านทั้งหลายจงฆ่าพวกมันเสีย เพราะแท้จริงในการฆ๋าพวกนั้นเป็นกุศลแก่ผู้ฆ่าในวันกิยามะห์

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี

ผู้ใดด่าท่านนบี จะถูกลงโทษประหารชีวิต 371 من سب النبي صلىالله عليه وسلم يقتل

เล่าจาก อะลี บิน อับดุล มุตตอเล็บ หญิงชาวยิวคนหนึ่งด่าท่านนบี และประณามท่าน  ในเวลาต่อมามีชายคนหนึ่งได้รัดคอหญิงนั้นจนตาย ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ได้ให้เลือดนั้นเสียเปล่า (ไม่ได้รับการคุ้มครอง

และได้มีผู้นำเรื่องนี้ขึ้นไปให้ท่านนบี ได้ทราบว่าชายตาบอดคนหนึ่งได้ฆ่า ทาสี[21] (อุมมุ วลิด اُمُّ وَلَدَ) ของเขาที่เกิดลูกกับเขาตาย ดังนั้นท่านนบี ได้เรียกผู้คนมาประชุมเพื่อทำการตัดสินชายตาบอดนั้น ท่านนบี ได้ไต่สวนว่าเพราะเหตุไรจึงฆ่านาง เขาตอบว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ทาสีผู้นั้นได้ด่าและประณามท่านนบีของอัลลอฮ์ ข้าพเจ้าห้ามหล่อนแล้วหลายครั้ง และข้าพเจ้าได้ดุด่าว่ากล่าวหล่อนแล้ว แต่หล่อนไม่ยอมฟัง ดังนั้นข้าพเจ้าจึงใช้มีดสั้นแทงที่ท้องของนาง และสังหารหล่อนจนตาย ท่านนบี ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายโปรดเป็นพยานว่า แท้จริงเลือดของหล่อนนั้นเสียเปล่า ไม่ได้รับการคุ้มครอง

รายงานหะดีษทั้งสองโดย อะบูดาวูด ด้วยสายรายงานที่ ศอฮีหะห์

บทที่ 4

อัตราโทษของการลักขโมย และพิกัดขั้นต่ำที่จะได้รับโทษ

อัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่า และผู้ชายที่ลักขโมยและผู้หญิงที่ลักขโมย ท่านทั้งหลายจงตัดมือคนทั้งสอง เป็นผลตอบแทนการกระทำของเขาทั้งสอง  และเป็นบทเรียนจากอัลลอฮ์ และอัลลอฮ์นั้นคือผู้พิชิตผู้ชำนาญยิ่ง[22]

เล่าจาก อะบี ฮุร็อยเราะห์  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า อัลลอฮ์ได้สาปแช่งขโมยที่ได้ทำการขโมยหมวกเกราะ ดังนั้นมือของเขาต้องถูกตัด และขโมยที่ได้ทำการขโมยเชือก ดังนั้นมือของเขาต้องถูกตัด

เล่าจาก อาอิชะห์ จากท่านนบี ฯได้กล่าวว่า จะยังไม่ตัดมือขโมยนอกจาก (กรณีที่เขาได้ขโมย) เศษหนึ่งส่วนสี่ดินาร์ หรือมากกว่านั้น (1/4ดินาร์=1.0625กรัม ประมาณ1300บาท(23กย2560) (=2.5ดิรฮัม), 1ดิรฮัม=100ฟุลุส (فُلُسٌ Fils)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

          เล่าจาก อิบนุ อุมัรว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ได้ตัดมือขโมยที่ลักโล่ราคา 3 ดิรฮัม รายงานโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้ตัดมือในคดีลักโล่ ราคาหนึ่งดินาร์

รายงานโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

คดีที่ไม่มีการตัด

เล่าจาก อับดิลละฮ์ บิน อัมร์ ได้กล่าวว่า มีผู้ถามท่านนบี ถึงผลไม้ที่ติดกับต้น ท่านนบี ตอบว่า ผู้ใดได้ทำความผิดโดยปากของเขา จากผู้ที่ยากจน โดยไม่ได้ซุกซ่อนไว้ในห่อผ้าหรือภาชนะ จะไม่มีการลงโทษเหนือเขา และผู้ใดนำสิ่งหนึ่ง(ผลไม้) ออกจากสวนเขาจะต้องเสียค่าปรับ เท่ากับราคาของที่ได้นำออกมา และต้องถูกลงโทษ และผู้ใดได้ขโมยสิ่งหนึ่ง(ผลไม้) ที่ตากอยู่บนลาน และมีราคาเท่ากับโล่ (2.5ดิรฮัม 1300บาท) เขาต้องถูกตัดมือและถ้าขโมยน้อยกว่านั้น เขาจะต้องเสียค่าปรับเท่ากับราคาที่ขโมยมา และต้องถูกลงโทษ

รายงานโดย อะบูดาวูด อะห์หมัด และนะซาอี

เล่าจาก เฟียะอ์ บิน คอดีจ จากท่านนบี ได้กล่าวว่า ไม่มีการตัดมือ ในการขโมยผลไม้ และยอดอ่อนของ อินทผลัม

เล่าจาก ยาบีร จากท่านนบีด้กล่าวว่า ไม่มีการตัดมือ เหนือผู้ที่ทุจริตในการฮุบเอาของฝาก คนที่ข่มขู่เอาทรัพย์ของบุคคลอื่นอย่างเปิดเผย และคนที่แย่งชิงทรัพย์คนอื่น

เล่าจาก บุสร์ บิน อัรดอห์ ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านนบี กล่าวว่า จะไม่ถูกตัดมือในภาวะสงคราม

รายงานหะดีษทั้งสามโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

บทที่ 5 373

อัตราโทษของการละเมิดประเวณี (ซินา زِنَا)

อัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่า ชายหญิงที่ผิดประเวณี ท่านทั้งหลายจงเฆี่ยนเขาทั้งสอง หนึ่งร้อยครั้ง และอย่ามีความเมตตาแก่เขาทั้งสองในเรื่องศาสนา ถ้าหากท่านทั้งหลายศรัทธาต่ออัลลอฮ์และอาคิเราะห์ และจงให้มีผู้ศรัทธากลุ่มหนึ่งเป็นพยานรู้เห็นการลงโทษบุคคลทั้งสองด้วย

อัลกุรอานประกาศไว้เรื่องการขว้าง (رَجْمِ Stoning) สี่อายะห์ คือ 11:91 24:8 36:18 44:20

เล่าจาก อะนัส ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าจะเล่าหะดีษบทหนึ่งแก่พวกท่านทั้งหลาย โดยที่จะไม่มีใครเล่าแก่พวกท่านหลังจากข้าพเจ้าเล่าไปแล้ว ข้าพเจ้าได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์ กล่าวว่า ส่วนหนึ่งจากเครื่องหมายวันอาคิเราะห์ ก็คือ วิชาการจะถูกยกขึ้นไป (ผู้คนใช้น้อยมาก) ความโง่เขลาจะปรากฏอย่างแพร่หลาย สุราจะถูกดื่มกินอย่างดาษดื่น การล่วงประเวณีจะปรากฏอย่างแพร่หลาย ผู้ชายจะมีน้อย ผู้หญิงจะมีมาก จนปรากฏว่า ผู้หญิงห้าสิบคนมีคนดูและเพียงคนเดียว

เล่าจาก สะฮ์ลิ ท่านนบีด้กล่าวว่า ผู้ใดให้การรับรองกับข้าพเจ้าว่าจะรักษาสิ่งที่อยู่ระหว่างขาทั้งสองของ (อวัยวะเพศ) และระหว่างเคราทั้งสอง (ปาก และลิ้น) ข้าพเจ้าจะรับรองว่า สวรรค์จะเป็นของผู้นั้น (ทั้งชายและหญิง)

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี และติรมิซี

เล่าจาก เซด บิน คอลิด อัลยุฮานี ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านนบี ออกคำสั่งในบุคคลที่ละเมิดประเวณี โดยที่เขายังไม่เคยผ่านการแต่งงานมาก่อน ให้เฆี่ยนเขาหนึ่งร้อยครั้ง และเนรเทศหนึ่งปี

รายงานโดย บุคอรี และนะซาอี

เล่าจาก เซด บิน คอลิด อัลยุฮานี ว่า ได้มีชาวอาหรับชนบทคนหนึ่งมาหาท่านเราะซูลุลลอฮ์ แล้วกล่าวว่า โอ้ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ข้าพเจ้าขอร้องท่านด้วย อัลลอฮ์ว่า ให้ท่านตัดสินแก่ข้าพเจ้าตามคัมภีร์ของอัลลอฮ์ ต่อจากนั้นคู่กรณีของเขาซึ่งเป็นบุคคลที่มีความเข้าใจในเรื่องศาสนาดีกว่าเขา ได้กล่าวขึ้นว่า ครับ ขอให้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ตัดสินระหว่างเรา โดยใช้คัมภีร์ของอัลลอฮ์  และได้โปรดอนุญาตแก่ข้าพเจ้า (ชายชนบท) ในการให้การ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้อนุญาตแก่เขา เขาให้การว่า แท้จริงบุตรชายของข้าพเจ้าเป็นลูกจ้างของชายผู้นี้ (นายจ้าง) และบุตรชายของข้าพเจ้าได้ทำซินากับภรรยานายจ้าง และความจริงข้าพเจ้าได้รับคำบอกเล่าว่า บุตรชายของข้าพเจ้าต้องถูกขว้างจนตาย ข้าพเจ้าจึงของไถ่ถอนตัวบุตรชายด้วยแกะหนึ่งร้อยตัว และทาสีอีกหนึ่งคน และข้าเจ้าไปถามผู้มีความรู้ พวกเขาแจ้งแก่ข้าพเจ้าว่า แท้จริงบุตรชายข้าพเจ้าต้องถูกเฆี่ยนหนึ่งร้อยที และถูกเนรเทศหนึ่งปี และภรรยานายจ้างต้องถูกขว้างจนตาย ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ได้กล่าวว่า แน่นอนข้าพเจ้าจะตัดสินด้วยคัมภีร์ของอัลลอฮ์  ทาสีและแกะนั้นถูกส่งคืน บุตรชายชาวชนบทต้องถูกเฆี่ยนหนึ่งร้อยที และถูกเนรเทศหนึ่งปี โอ้ อุไนส์ (ชื่อเศาะฮาบะห์คนหนึ่ง) ท่านจงออกเดินทางไปจับภรรยานายจ้าง และถ้าหากหล่อนยอมสารภาพ ท่านจงจัดการลงโทษด้วยการขว้าง อุไนส์จึงเดินทางไปหานางและปรากฏว่าภรรยาชายผู้นั้นยอมสารภาพ ท่านอุไนส์จึงลงโทษด้วยการขว้าง

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ได้กล่าวว่า ท่านอุมัร บิน ค็อตต็อบ ได้คุตบะห์ (เทศนา) บนมิมบัร(แท่นเทศนา Podium) ของท่านเราะซูลุลลอฮ์ ว่า แท้จริงอัลลอฮ์ได้ส่ง มุฮัมมัด (ศ็อลลัลอฮุ อาลัยฮิ วัสซัลลัม sallallahu alaihe wa sallam 1-50px ย่อด้วย ซ.ล.[23]) มาพร้อมด้วยสัจธรรม และได้ประทานคัมภีร์ให้แก่ท่านนบีด้วย และได้เคยปรากฏว่าส่วนหนึ่งจากสิ่งที่ถูกประทานลงมานั้นมีโองการที่ระบุถึงการ “ขว้าง” (การลงโทษ) เราได้อ่านโองการนั้นเราได้เอาใจใส่และเราได้พิจารณาโองการนั้น และท่านเราะซูลุลลอฮ์ ได้ขว้าง และพวกเราก็ได้ขว้าง หลังจากท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้ล่วงลับแล้ว ดังนั้นข้าพเจ้าเกิดความวิตกว่า ถ้าหากเวลาผ่านพ้นไปนานๆ จะมีผู้คนกล่าวว่า พวกเราไม่พบการขว้างระบุอยู่ในคัมภีร์ของอัลลอฮ์ พวกเขาจะพากันหลงผิด โดยละทิ้งข้อกำหนดที่อัลลอฮ์ได้ประทานลงมา และแท้จริงการขว้างนั้นถูกระบุอยู่ในคัมภีร์ของอัลลอฮ์เป็นสัจธรรมเหนือผู้ที่ละเมิดประเวณี (ซินา) เมื่อเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วทั้งชายและหญิง ถ้ามีพยานยืนยันหรือตั้งครรภ์หรือยอมรับสารภาพ

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

มาอิส อัลอิสลิมิ (مَاعِزٌ اَلاِسلِمِىُ) ได้มาหาท่านนบบีฯ เขาได้กล่าวว่า เขาทำซินา (ละเมิดประเวณี) ท่านนบีจึงพูดบ่ายเบี่ยงเป็นอย่างอื่น (เพราะไม่มีโจทย์และหลักฐาน) หลังจากนั้นเขา ได้มาหาท่านนบบีฯ อีกด้านหนึ่งแล้วกล่าวว่า เขาทำซินา ท่านนบีจึงพูดบ่ายเบี่ยงเป็นอย่างอื่น ได้มาหาท่านนบบีฯ อีกด้านหนึ่งแล้วกล่าวว่า เขาทำซินา ท่านนบีจึงสั่งลงโทษเขาในครั้งที่สี่ เขาถูกพาตัวไปพื้นที่เป็นหิน เขาถูกขว้างด้วยหิน เมื่อเขาพบกับการสัมผัสของก้อนหิน เขาจึงเผ่นหนี และได้มีชายคนหนึ่งมาพบเขา ชายผู้นั้นมีกระดูกขากรรไกรอูฐ เขาจึงใช้มันตีมาอิส และประชาชนก็ได้ช่วยกันตีเขาจนตาย พวกเขาจึงนำเรื่องที่เกิดขึ้นไปเล่าให้ท่านนบีฟัง ท่านนบีได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายควรปล่อยให้เขาหนีไป และในบางรายงานว่าท่านนบีได้กล่าวแก่มาอิสว่า ท่านจะบ้าหรือ เขาตอบว่า เปล่า และอีกในรายงานหนึ่งว่า คิดว่าท่านเพียงแต่กอดจูบหรือมองแค่นั้นใช่ไหม เขาตอบว่า เปล่า ท่านนบีจึงถามว่า ท่านเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วใช่ไหม เขาตอบว่า ใช่ ท่านนบีจึงออกคำสั่งโดยการขว้างให้ตาย และในบางรายงานว่า พวกเศาะฮาบะห์ได้เกิดขัดแย้งกันในเรื่องการกลับตัว (เตาบะห์) ของเขา ดังนั้นท่านเราะซูลุลลอฮ์จึงได้กล่าวว่า แท้จริงเขาได้กลับตัวแล้ว (เตาบะห์) เป็นการเตาบะห์ที่ถ้าหากจะนำมาแบ่งให้แก่ประชาชาตินี้ ก็สามารถแบ่งได้อย่างทั่วถึงทุกคน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี ตัวบทเป็นของ ติรมิซี

เล่าจาก อิบนิ อุมัร ได้กล่าวว่า ได้มีผู้นำชายและหญิงชาวยิว ทั้งสองได้ทำซินากัน มาหาท่านนบี ท่านนบี ได้ไปหา รับไบ (นักบวช) ยิวแล้วกล่าวว่า มีข้อกำหนดอะไรบ้างที่ท่านทั้งหลายพบบทลงโทษในเตาร็อต เกี่ยวกับการทำ ซินา นักบวชตอบว่า เราจะทาหน้าคนทั้งสองด้วยสีดำและจับขึ้นพาหนะและจับหันมาข้างหลัง แห่ตระเวนไปทั่วหมู่บ้าน ท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า ท่านจงนำเตาร็อตมาถ้าหากพวกท่านพูดจริง พวกเขา (นักบวช) จึงไปนำคัมภีร์เตาร็อตมา และได้อ่าน พอมาถึงตรงโองการที่ว่าด้วยเรื่อง ”ขว้าง” นักบวชได้เอามือปิดโองการนั้นไว้ เพราะรู้ว่านบีอ่านหนังสือไม่ออก เขาได้อ่านข้ามโองการนั้นไป ท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุ สลาม (ผู้นี้เป็นชาวยิว อิสลาม) ซึ่งยืนอยู่กับท่านนบีด้วยได้กล่าวว่า ท่านนบีจงให้เขา (นักบวช) ยกมือขึ้น เมื่อเขายกมือขึ้น ก็ปรากฏโองการเรื่องการขว้าง (จนตาย) ดังนั้นท่านเราะซูลุลลอฮ์ จึงได้ออกคำสั่งลงโทษบุคคลทั้งสองด้วยการขว้างจนตาย ท่าน อิบนุ อุมัรได้กล่าวว่า ฉันเป็นคนหนึ่งที่ได้ขว้างบุคคลทั้งสอง และข้าพเจ้าเห็นผู้ชายเข้าปกป้องผู้หญิงโดยใช้ลำตัวกำบังไว้

เล่าจาก อะบี ฮุร็อยเราะห์  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า เมื่อทาสีทำซินา และผลการซินาปรากฏชัดแจ้งด้วยหลักฐาน ดังนั้นจงให้เขาเฆี่ยนหล่อนและอย่าด่าประณาม หลังจากนั้นหากพบว่าหล่อนทำซินาอีก ก็จงให้เขาเฆี่ยนหล่อนและอย่าด่าประณาม หากพบว่าหล่อนทำซินาอีกเป็นครั้งที่สาม ให้เขาขายหล่อนด้วยแม้ราคาเพียงเชือกเส้นเดียวที่ทำจากขนสัตว์

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

จะยังไม่ลงโทษหญิงที่มีน้ำคาวปลา หญิงที่ตั้งครรภ์ 377

ท่านเล่าจากท่านอาลี บิน อะบี ตอเล็บได้ทำการคุตบะห์ (เทศนา) ว่า โอ้ประชาชนทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงลงโทษทาสของพวกท่านที่ทำซินา ทั้งคนที่เคยผ่านการสมรสแล้วและทั้งยังไม่เคย แท้จริงมีทาสี (ทาสหญิง) ท่านเราะซูลุลลอฮ์ คนหนึ่งได้ทำซินา และท่านได้ใช้ให้ข้าพเจ้าเฆี่ยนหล่อน แต่บังเอิญหล่อนเพิ่งคลอดลูก ข้าพเจ้าวิตกว่า ถ้าหากเฆี่ยนหล่อน แล้วจะเป็นการฆ่าหล่อน ข้าพเจ้าจึงได้เล่าเรื่องให้ท่านนบีฟัง ท่านได้กล่าวว่า ท่านทำดีแล้ว

เล่าจาก อิมรอน บิน ฮุศอยน์ ว่าแท้จริงมีผู้หญิงคนหนึ่งจากเผ่า ยุไฮนะห์ได้มาหาท่านเราะซูลุลลอฮ์ ในสภาพตั้งครรภ์มาจากการทำซินา เมื่อมาถึงหล่อนได้กล่าวว่า โอ้ นบีของอัลลอฮ์ ข้าพเจ้าได้ทำความผิดที่ต้องถูกลงโทษ ท่านจงลงโทษข้าพเจ้าเถิด ท่านนบีของอัลลอฮ์ได้เรียกผู้ปกครองของหญิงตั้งครรภ์นั้นมา แล้วกล่าวว่า ท่านจงปฏิบัติต่อหล่อนอย่างดี เมื่อหล่อนคลอดบุตรปลอดภัยแล้ว ให้ท่านนำตัวหล่อนมาหาข้าพเจ้า ผู้ปกครองนั้นปฏิบัติตามนั้น ต่อมาท่านนบีของอัลลอฮ์จึงได้ออกคำสั่งลงโทษหญิงที่ทำซินานั้น ดังนั้นผ้าพันกายของหล่อนจึงถูกนำมาพันกายโดยรอบตัวหล่อน จากนั้นท่านนบีได้ออกคำสั่ง หล่อนถูกขว้างจนตาย แล้วท่านนบีก็ได้ไป ญะนาซะห์ให้แก่ศพหล่อน อุมัรถามท่านว่า ท่านได้ละหมาดให้แก่ศพของหล่อนหรือ ทั้งๆที่หล่อนทำซินา ท่านนบี ตอบว่า ความจริงหล่อนกลับตัว (เตาบะห์) แล้ว เป็นการกลับตัวที่ถ้าหากจะนำไปแบ่งให้ชาวมะดินะห์เจ็ดสิบคน (ที่ทำชั่ว) ก็สามารถแจกจ่ายได้ครบทุกคนแล้วท่านพบไหมว่า มีการกลับตับใดที่ยอดเยี่ยมกว่าการที่หล่อนได้สละตัวเองเพื่ออัลลอฮ์ตะอาลา

รายงานหะดีษทั้งสองโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

ข้อกำหนดของ ลิว๊าต اَللِّوَاطٌ sodomy การสังวาสที่ผิดธรรมชาติ

การกระทำชำเราสัตว์ Animal rape اغتصاب الحيوانات

และผู้ที่ห้ามแต่งงานด้วย And those who forbid marry. وأولئك الذين يحرمون الزواج.

เล่าจาก อิบนิ อับบาส จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า ใครก็ตามที่ท่านทั้งหลาย พบว่า เขาได้ประพฤติเช่นเดียวกับประชากรของ นบีลูฏ (لُوْطِ)[24] ให้ท่านทั้งหลายจงสังหารทั้งผู้กระทำและผู้สมยอมถูกกระทำ[25]

รายงานโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

ตัวบทของ ติรมิซี จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า แท้จริงสิ่งที่ข้าพเจ้ากลัวที่สุดว่าจะประสบกับประชากรของข้าพเจ้าคือ ความประพฤติของประชากร นบีลูฏ

เล่าจาก อิบนิ อับบาส จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า ผู้ใดกระทำชำเราสัตว์ ให้ท่านทั้งหลายจงสังหารฆ่าเขาเสีย และฆ่าสัตว์ตัวนั้นไปพร้อมๆ กันด้วย ข้าพเจ้า (อิกริมะห์) ได้ถาม อิบนิ อับบาส ว่า มันเกี่ยวอะไรกับสัตว์ ท่าน อิบนิ อับบาสตอบว่า ข้าพเจ้าไม่คิดว่าท่านนบี จะพูด(ถาม)อย่างนั้น นอกจากท่านรังเกียจที่จะรับทานเนื้อสัตว์นั้น จากการกระทำชำเรานี้

รายงานโดย อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจาก บะรออ์ ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้พบกับลุงของข้าพเจ้าโดยมีธงผืนหนึ่งอยู่กับเขา ข้พเจ้าถามขึ้นว่า ท่านจะไปไหน ลุงตอบว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ได้ส่งข้าพเจ้าไปหาชายผู้หนึ่งที่แต่งงานกับภรรยาของบิดาเขา และท่านท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้ใช้ข้าพเจ้าให้บั่นคอเขาและยึดทรัพย์สมบัติเขา[26]

ได้มีชายผู้หนึ่งทำซินากับทาสี(ทาสหญิง) ของภรรยาของเขา (ไม่ใช่ทาสีตนที่จะกระทำได้) เรื่องของเขาถูกนำไปหาท่าน นัวะอ์มาน บิน บะซีร เจ้าเมืองกูฟะห์ ท่าน นัวะอ์มาน กล่าวว่าจะตัดสินคดีท่านตามที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้ตัดสิน คือ ถ้าหากภรรยาท่านอนุญาตทาสีนั้นแก่ท่าน ข้าพเจ้าจะเฆี่ยนหนึ่งร้อยที และถ้าหากภรรยาท่านไม่อนุญาตทาสีนั้นแก่ท่าน ข้าพเจ้าจะลงโทษด้วยการขว้างจนตาย ต่อมาภรรยาเขาให้การว่า อนุญาตทาสีนั้นกับสามีนาง เขาจึงถูกเฆี่ยนหนึ่งร้อยที

รายงานโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

อัตราโทษของการกล่าวหา การด่าทอ และการทำคุณไสย

อัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่า บรรดาผู้ที่กล่าวหาสตรีที่บริสุทธิ์จากซินา โดยที่พวกเขาไม่สามารถนำพยานมาให้การยืนยันได้ครบสี่คน ดังนั้นท่านทั้งหลายจงเฆี่ยนพวกเขา( ผู้ปรักปรำ) แปดสิบที และท่านทั้งหลายอย่ารับฟังการเป็นพยานของพวกเขาตลอดไป และพวกเขาเหล่านั้นคือ ผู้ที่ทำความผิด นอกจากพวกเขาจะกลับตัว (เตาบะห์) หลังจากนั้นได้ปรับปรุงตัว แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้อภัยยิ่งเมตตายิ่ง

เล่าจาก สะห์ลิ บิน สะอ์ดิ ว่า มีชายคนหนึ่งมาหาท่านนบี และได้รับสารภาพว่าเขาทำซินา (โดยเขาระบุนามหล่อน) ต่อมาท่านนบี ได้ส่งตัวแทนไปพาหล่อนเข้าพบ และถามหล่อนว่า ตามข้อกล่าวหาของชายคนหนึ่งนั้น จริงหรือไม่ แต่หล่อนปฏิเสธท่านนบีไป ชายผู้นั้นถูกลงโทษเฆี่ยนตามอัตราโทษซินา หนึ่งร้อยที และได้ปล่อยหญิงนางนั้นไป

และในบางรายงาน ชายผู้นี้เป็นหนุ่มโสด ท่านนบีถามหาพยานหลักฐานจากเขาที่ปรักปรำหล่อน แต่เขาหาพยานหลักฐานไม่ได้ หญิงนั้นให้การว่า ชายผู้นั้นโกหก ปรักปรำหล่อน ท่านนบีจึงเฆี่ยนแปดสิบที  ตามอัตราโทษปรักปรำผู้อื่น

รายงานโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

ท่านผู้หญิง อาอิชะห์ (عائشة A-I-Sha-tu)[27] ได้กล่าวว่า ในขณะที่ข้อแก้ตัวของข้าพเจ้าได้ถูกประทานลงมา ท่านนบี ได้ยืนบนมิมบัร[28] ได้ออกคำสั่งลงโทษชายสองคนและหญิงหนึ่งคน บุคคลเหล่านั้น[29] ถูกเฆี่ยนตามอัตราโทษ ปรักปรำ กล่าวหา คนละแปดสินที

รายงานโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

ตัวบทของบุคอรีมีข้อความว่า ผู้ใดกล่าวหาทาสสาหรือทาสีของตนทำซินา  ทั้งๆที่เขานั้นบริสุทธิ์จากซินาด้วยพยานหลักฐาน ผู้นั้นจะต้องถูกเฆี่ยนในวันกิยามะห์ (นายสมสู่กับทาสีได้ไม่มีความผิดซินา)

เล่าจาก อิบนิ อับบาส จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า เมื่อชายคนหนึ่งเรียกชายอีกคนหนึ่งว่า โอ้ชาวยิว (กล่าวหาคนที่ไม่ใช่ ยิว ว่าเป็น ยิว) ท่านทั้งหลายจงเฆี่ยนเขายี่สิบที และผู้ใดทำซินากับบุคคลที่ห้ามแต่งงานด้วย ท่านทั้งหลายจงฆ่าเขา

รายงานโดย ติรมิซี

เล่าจาก ยุนดุบ จากท่านนบี ได้กล่าวว่า อัตราโทษของผู้กระทำคุณไสยนั้น คือ การฟันด้วยดาบ[30]

รายงานโดย ติรมิซี และฮากีม เป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

ขอ อัลลอฮ์ได้โปรดประทานทางนำที่ถูกต้องด้วยเถิด نَسْالُ اللَّهُ السَّتْرَ وَ التَّوْفِيْقَ

บทที่ 6 อัตราโทษผู้ดื่มสุรา اَلْخَمَرٌ [31]

เล่าจาก อะนัส บิน มาลิก กล่าวว่า ท่านนบีได้เฆี่ยนในคดีผู้ดื่มสุราด้วยทางอินทผาลัมหรือด้วยรองเท้า ในสมัยต่อมาสมัยท่าน อบูบักร์ อัศศิดดิก ได้เฆี่ยนสี่สิบที มาถึงสมัยท่านอุมัร บิน ค็อตต็อบ ประชาชนอยู่ใกล้กับแหล่งเพาะปลูกและชนบท ท่านอุมัรได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายมีทรรศนะอย่างไรกับการเฆี่ยนเพราะดื่มสุรา อับดุรเราะห์มาน บิน เอาฟ์ (عَبْدُ الرَّحْمَانِ بِن عَوْفُ) ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้ามีทรรศนะว่า ท่านควรกำหนดโทษในอัตราต่ำสุดของอัตราโทษทั้งหลาย ท่านอุมัรจึงได้ตัดสินเฆี่ยนแปดสิบที

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

การลงโทษด้วยการเฆี่ยน การคุมขัง และการเนรเทศ

เล่าจาก อะบี บุรดะห์ จากท่านนบี ได้กล่าวว่า จะไม่มีการเฆี่ยนเกินกว่าสิบที นอกจากเป็นอัตราโทษจากบรรดาโทษของอัลลอฮ์ตะอาลา

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อิบนิ อุมัร ได้กล่าวว่า ความจริงท่านนบีเคยเฆี่ยนและเนรเทศ และความจริง อบูบักร์ก็เคยเฆี่ยนและเนรเทศ และความจริงอุมัรเคยเฆี่ยนและเนรเทศ

รายงานหะดีษโดยติรมิซี ฮากิม เป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

ท่านนบีเคยกักขังชายคนหนึ่งที่ถูกกล่าวหาว่าลักขโมยเป็นเวลาหลายวัน หลังจากนั้นได้ปล่อยตัวไป โดยไม่มีการเฆี่ยนและทำทารุณ

รายงานโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจาก อิบนิ อับบาส จากท่านนบี ซ.ล.  ได้สาปแช่งผู้ที่ดัดจริตเป็นผู้หญิงจากพวกผู้ชาย และดัดจริตเป็นชายจากบบรรดาพวกผู้หญิง ท่านนบี ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงขับไสไล่ส่งพวกมันไปให้พ้นบ้านของพวกท่าน และท่านนบีเคยขับไสคนๆหนึ่งออกไป และท่านอุมัรก็เคยขับไสเช่นกัน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

ไม่ให้เฆี่ยนที่ใบหน้า และไม่ให้ลงโทษใน มัสญิด 

เล่าจาก อะบี ฮุร็อยเราะห์  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า เมื่อใครคนใดคนหนึ่งจากพวกท่านได้เฆี่ยน ให้เขาจงระวังบริเวณใบหน้า

รายงานโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก ฮะกีม บิน ฮิชาม เขาได้กล่าวว่า  ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้ห้ามการกิสอส การขับลำนำ และการลงโทษใน มัสญิด

เงื่อนไขต่างๆ ของการลงโทษ

เล่าจาก อะบี ยุไฮฟะห์ ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าถามท่าน อะลี บิน อับดุล มุตตอเล็บ ว่า พงก่านมีสิ่งใดที่ไม่มีอยู่ในคัมภีร์อัลกุรอานไหม และเขาได้กล่าวในครั้งนั้นว่า ที่มีมีอยู่กับมนุษย์ทั้งหลาย (แทนคำว่า ไม่มีอยู่ใน ”อัลกุรอาน” อะลีตอบว่า สาบานต่อผู้ซึ่งผ่าเมล็ด ผู้ซึ่งกำเนิดชีวิต พวกเราไม่มีสิ่งใดนอกจากสิ่งที่ปรากฏใน อัลกุรอานของ อัลลอฮ์ และนอกจากสิ่งที่ปรากฏอยู่ในเอกสารแผ่นนั้น ข้าพเจ้าถามว่า มีอะไรอยู่ในเอกสารแผ่นนั้น ท่าน อะลีตอบว่า มีคำบรรยายเกี่ยวกับเรื่องดิยะห์ การปล่อยเชลยศึกและคำบรรยายว่า มุสลิมจะไม่ถูกฆ่า ในการฆ่ากาฟิร[32]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจาก อัลเกาะมะห์ บิน วาอิล จากบิดาของเขา ได้กล่าวว่า ชายคนหนึ่งได้ถูกนำตัวมาหาท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซึงเขาได้ฆ่าชายคนหนึ่งตาย ท่านเราะซูลุลลอฮ์ไต่สวนเขา และเขายอมรับสารภาพ ท่านเราะซูลุลลอฮ์จึงมอบตัวให้กับผู้ปกครองเหยื่อไป ผู้ปกครองได้นำตัวฆาตกรไปโดยมีเชือกหนังผูกคอ เมื่อเขา(ผู้ปกครองเหยื่อ) ก้าวย่างถอยออกไป ท่านเราะซูลุลลอฮ์ กล่าวตามหลังเขาไปว่า ผู้ฆ่าและผู้ถูกฆ่าล้วนอยู่ในไฟนรก ผู้ปกครองเหยื่อได้ยินคำพูดท่านเราะซูลุลลอฮ์เข้า เขาจึงอภัยโทษแก่ฆาตกรผู้นั้น

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และตัวบทของเจ้าของสุนัน (อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี) มีอยู่ว่า ผู้ใดฆ่าทาสของเขา เราจะฆ่าเขา และถ้าผู้ใดตัดจมูกทาสของเขา เราก็จะตัดจมูกเขา

เล่าจาก สุรอเก๊าะห์ บิน มาลิก ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าปรากฏตัวอยู่กับท่านนบี ท่านได้ดำเนินคดีการกิสอส ให้แก่พ่อคนหนึ่งในการที่ลูกฆ่าพ่อตนเอง และท่านจะมากิสอสให้แก่ลูกที่ถูกพ่อฆ่า และพ่อจะไม่ถูกประหารเนื่องจากฆ่าบุตรตน ในบางรายงานว่า จะไม่มีการลงโทษใน มัสญิด

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี

และเล่าจากท่านอาลี บิน อะบี ตอเล็บ จากท่านนบี ได้กล่าวว่า ปากกาถูกยกออกจากบุคคลสามจำพวก คนนอนหลับจนกว่าจะตื่น เด็กเล็กจนกว่าจะบรรลุ ศาสนะภาวะ (ผู้หญิงเริ่มมีประจำเดือน ผู้ชายเริ่มมีน้ำอสุจิ) คนบ้าจนกว่าจะหาย

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี หะดีษเมากูฟ (หะดีษที่พาดพิงถึงเศาะฮาบะห์)

เล่าจาก อัลเกาะมะห์ บิน วาอิล จากบิดาของเขา จากท่านนบี ได้กล่าวสตรีนางหนึ่งซึ่งถูกข่มขืน ทำซินา ว่า เธอไปได้แล้ว อัลลอฮ์อภัยโทษให้แก่เธอแล้ว

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี หะดีษเศาะฮีหะ

มีสตรีนางหนึ่งถูกข่มขืน ท่านนบี ไม่ได้ลงโทษอะไรหล่อน และได้สั่งลงโทษชายที่ข่มขืน เขา (ผู้เล่า) เพิ่มเติมอีกว่า ท่านนบีไม่ได้กำหนด มะฮัรแก่หล่อน

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี

บทที่ 7 การให้อภัย และปกปิดคดีที่ยังไม่ถึงกระบวนการยุติธรรม 385

อัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่า ผลตอบแทนของความชั่วคือความชั่วเช่นกัน ดังนั้นผู้ใดให้อภัยและทำดี ผลบุญของเขา อัลลอฮ์ทรงรับประกัน[33]

เล่าจาก อะบี ซุร็อยห์ อัลคุซาอี จากท่านนบี ได้กล่าวว่า ผู้ใดพบภัยพิบัติหรือถูกฆ่า หรือเกิดความเสียหายแก่อวัยวะ ให้เขาเลือกเอาหนึ่งจากสามประการ คือ กิสอส อภัย หรือดิยะห์ ถ้าหากเขาต้องการมากกว่านี้ ให้ท่านทั้งหลายจงยับยั้งเขา และผู้ใดละเมิดในภายหลัง เขาจะถูกลงโทษอันเจ็บปวด

รายงานหะดีษโดย บุคอรี ติรมิซี

เล่าจาก อะนัส บิน มาลิก ได้กล่าว่า ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นท่านเราะซูลุลลอฮ์ที่มีคดีหนึ่งคดีใดถูกฟ้องขึ้นมายังท่าน โดยที่คดีนั้นมีการกิสอส นอกจากท่านจะใช้ให้มีการอภัยกันในคดีนั้น

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด นะซาอี และตัวบทของติรมิซีว่า ไม่มีคนใดที่ได้รับบาดแผลบนเรือนร่างของเขาและเขาได้ทำทาน (เศาะดะเก๊าะห์) ด้วยบาดแผลนั้น นอกจากอัลลอฮ์ จะยกตำแหน่งให้เขาหนึ่งขั้นและลบหนึ่งความผิดจากเขา

มาอิซ ได้มาหาท่านนบี แล้วได้มาสารภาพถึงสี่ครั้งว่า ตนทำซินา ท่านนบีจึงลงโทษด้วยการขว้าง และท่านนบี ได้กล่าวแก่ หัซซาล ซึ่งเป็นผู้ร้องขอแนะนำให้มาอิซ มาสารภาพว่า ถ้าหากท่านปกปิดเขาด้วยผ้าของท่าน มันก็จะปรากฏเป็นความดีแก่ท่าน[34] (หะดีษนี้สอนว่า เมื่อความผิดเกิดขึ้นแล้วเรารู้เห็น แต่ไม่มีโจทก์ฟ้อง ร้องเรียน และไม่ได้ทำให้ใครเสียหายเนื่องจากการสมยอม ให้ทำการปกปิดคดีไว้ก็ได้ จะเป็นผลดีแก่ตน)

เล่าจาก อาอิชะห์ จากท่านนบี ฯได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงให้อภัยในความผิดเล็กๆ น้อยๆ ของคนที่มีเกียรติ (มี อิหม่าน) นอกจากโทษในอัตราที่มีกำหนด

และในบางรายงานว่า ท่านทั้งหลายจงให้อภัยกันและกัน ในความผิดที่มีอัตราโทษในหมู่พวกท่าน ดังนั้นคดีใดที่ล่วงมาถึงข้าพเจ้า (ท่านนบี) จากความผิดที่มีอัตราโทษ มันก็จำเป็นต้องดำเนินคดี

รายงานหะดีษทั้งสามโดย อะบูดาวูด นะซาอี

เล่าจาก อาอิชะห์ว่า แท้จริงพวกกุเรชนั้นได้ให้ความเอาใจใส่เรื่องผู้หญิงมาก มีสตรีนางหนึ่งจากตระกูล มัคซูมิยะห์ ได้ทำการลักขโมย พวกเขาได้กล่าวว่าผู้ใดจะไปร้องเรียนกับท่านนบี ในเรื่องหญิงคนนี้บ้าง พวกเขาได้กล่าวว่า ไม่มีใครกล้าไปพูดกับท่านนบี นอกจากอุซามะห์ คนรักของท่านนบี เท่านั้น ต่อมาอุซามะห์ก็ได้ไปร้องเรียนต่อท่านนบี  ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้ถามอุซามะห์ว่า ท่านจะขอคงามช่วยเหลือหล่อนให้ลดหย่อนในอัตราโทษจากอัตราโทษที่อัลลอฮ์ได้กำหนดไว้แล้วหรือ หลังจากนั้นท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้ลุกขึ้นยืนและคุตบะห์ (เทศนา) ว่า โอ้ประชาชนทั้งหลาย ความจริงบุคคลในยุคก่อนพวกท่านได้พินาศไปแล้ว เพราะความจริงพวกเขาเหล่านั้น เมื่อคนมีเกียรติ (มีศักดินา) ลักขโมย พวกท่านได้ปล่อยไว้ แต่เมื่อคนไม่มีเกียรติ ลักขโมย พวกท่านได้จัดการลงโทษ สาบานต่ออัลลอฮ์ ถ้าหาก ฟาฎิมะห์ บุตรีของมุฮัมมัดลักขโมยแล้ว ข้าพเจ้าจะต้องตัดมือของหล่อนแน่นอน และในบางรายงาน หลังจากนั้นท่านได้ออกคำสั่งลงโทษ ตัดมือ หญิงกุเรซที่ลักขโมย

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

บทสุดท้าย 387

การลงโทษเป็นการลบล้างความผิด

เล่าจากอุบาดะห์ บิน ซอมิต ได้กล่าวว่า พวกเราได้อยู่กับท่านนบี ในที่ประชุม (مَجْلِسٌ) จากนั้นท่านได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจะต้องให้คำมั่นแก่ข้าพเจ้าว่า ท่านทั้งหลายจะไม่นำสิ่งใดมาตั้งภาคี (شِرْكُ) กับอัลลอฮ์ ท่านทั้งหลายจะไม่ทำซินา (زِنَى ละเมิดประเวณี) ท่านทั้งหลายจะไม่ลักขโมย ท่านทั้งหลายจะไม่สังหารชีวิตที่อัลลอฮ์สงวน (ทุกๆชีวิต แม้แต่สัตว์ ห้ามฆ่าโดยไร้เหตุผลอันควร) นอกจากผดุงไว้ซึ่งความยุติธรรม ดังนั้นผู้ใดได้ปฏิบัติอย่างสมบูรณ์ ผลบุญของพวกเขา อัลลอฮ์ให้การรับรอง ผู้ใดละเมิดจากที่กล่าว เขาจักต้องถูกลงโทษ และการลงโทษคือการไถ่บาป และถ้าผู้ใดละเมิดจากสิ่งที่กล่าวแล้ว อัลลอฮ์ปกปิดมัน นั่นเป็นหน้าที่ของอัลลอฮ์ ถ้าหากพระองค์ประสงค์จะอภัยแก่เขา และถ้าหากพระองค์ต้องการจะลงโทษเขา ได้เพิ่มเติมในบางรายงานว่า พวกเราให้คำมั่นสัญญากับท่านนบี ตามนั้น

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี

ภาค การปกครอง การตัดสิน(พิพากษา) 389

มีห้าตอนและตอนสุดท้าย

ตอนที่ 1

ใครคือผู้มีสิทธิ์ในการปกครอง

เล่าจาก อิบนิ อุมัร จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าว่า งานชิ้นนี้จะยังคงอยู่กับพวกกุเรช (قُرَيْشٌ Quresh) ตราบเมื่อยังมีคนสองคนเหลืออยู่จากพวกเขา

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

เล่าจาก มุอาวิยะห์ บิน อะบีซุฟยาน ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์ กล่าว่า แท้จริงงานชิ้นนี้จะอยู่กับพวกกุเรช โดยจะไม่มีมีใครขัดขวางพวกเขา เว้นแต่ อัลลอฮ์จะให้เขา (ผู้ขัดขวาง) หน้าคว่ำลงสู่ขุมนรก ตราบใดที่พวกเขา (กุเรช) ผดุงอิสลามไว้

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

เล่าจาก อะบี ฮุร็อยเราะห์  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า ประชาชนจะตามพวกกุเรชในเรื่องนี้ มุสลิมจากพวกเขาจะตามมุสลิมกุเรช กาฟิรก็จะตามกาฟิรจากพวกเขา

และในบางรายงานว่า ประชาชนจะปฏิบัติตามกุเรช ทั้งความดีและความชั่ว

รายงานหะดีษโดย มุสลิม

เล่าจาก ยาบีร บิน สะมุเราะห์ จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า อิสลามจะยังคงยิ่งใหญ่จนถึงสิบสองเคาะลิฟะห์ หลังจากนั้นท่านได้กล่าวคำพูดที่ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ จึงได้ถามบิดาข้าพเจ้าว่า ท่านนบี พูดถึงอะไร บิดาตอบว่า พวกเขาทั้งหมดจากเผ่ากุเรช

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี

เล่าจาก สะอีด บิน ยุมฮาน จากสะฟีนะห์ ฉ ตำแหน่งเคาะลิฟะห์ จะคงอยู่กับประชาชาติของข้าพเจ้าสามสิบปี และจะเป็นตำแหน่งกษัตริย์ในภายหลังจากนั้น ต่อมา สะฟีนะห์เล่าว่า จงยึดมั่นกับตำแหน่งเคาะลิฟะห์ของ อบูบักร์ อุมัร อุษมานและ อะลี พวกเราพบว่าตำแหน่งเคาะลิฟะห์มีอายุอยู่ สามสิบปี สะอีด ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ถาม สะฟีนะห์ว่า แท้จริงพวก บะนีอุมัยยะห์ คิดว่าตำแหน่งเคาะลิฟะห์นั้นอยู่กับพวกตน สะฟีนะห์กล่าวว่า พวกเขาโกหกลูกหลานของ ซัรกออ์ (ชื่อย่าของอุมัยยะห์) แต่พวกเขาเป็นกษัตริย์จากบรรดากษัตริย์ที่ชั่วช้า

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี สายรายงานที่หะซัน

ความไม่พึงปรารถนาในตำแหน่งหน้าที่

เล่าจาก อับดิรเราะห์มาน บิน สะมุเราะห์ ได้กล่าว่า จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า โอ้อับดิรเราะห์มาน ท่านอย่าขอตำแหน่งหน้าที่ เพราะความจริง ถ้าหากท่านได้รับมันไปเพราะการขอ ท่านจะถูกละเลยให้กับตำแหน่งนั้น แต่ ถ้าหากท่านได้รับตำแหน่งโดยไม่ได้ขอ ท่านจะได้รับความช่วยเหลือในการดำรงตำแหน่งนั้น และเมื่อท่านสาบานบนการสาบานอย่างหนึ่ง ต่อมาท่านได้พบอย่างอื่นที่ดีกว่า ดังนั้นให้ท่านจ่าย กัฟฟาเราะห์[35] แทนการเสียสาบานของท่าน และจงปฏิบัติสิ่งที่ดีกว่านั้น

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อะบี ฮุร็อยเราะห์  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า แท้จริงพวกท่านมีความโลภในตำแหน่งหน้าที่ และมันปรากฏเป็นความเศร้าโศกในวันกิยามะห์[36] มันเป็นแม่นมที่ดี และเป็นแม่หย่านมที่เลว

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และนะซาอี

ตอนที่ 2 391

การให้คำมั่น และการปฏิบัติตามคำมั่น اَلْبَيِّعَةَ

 อัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่า แท้จริงผู้ที่ให้คำมั่นแก่ท่าน เท่ากับเขาได้ให้คำมั่นกับอัลลอฮ์ มือของ อัลลอฮ์อยู่เหนือบนมือของพวกเขา และผู้ใดเสียคำมั่นเท่ากับเขาได้เสียคำมั่นเท่ากับตนเอง และผู้ใดได้ปฏิบัติตามสิ่งที่อัลลอฮ์ได้สัญญากับเขา ต่อไป อัลลอฮ์จะประทานผลบุญอันยิ่งใหญ่

เล่าจาก มุญาชิอิ บิน มัสอูด (مُجَاشِعِ بِنْ مَسعُوْدٍ) ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้มาหาท่านนยีฯ หลังจากได้เข้ายึดครองมักกะห์แล้ว ข้าพเจ้าให้คำมั่นแก่ท่านว่าจะฮิจญะเราะห์ (อพยพ) ท่านได้กล่าว่า แท้จริงการอพยพนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว (เพราะพิชิตมักกะห์ได้แล้ว ไม่มีศัตรูบนแผ่นดินหะรอมแล้ว)  แต่ที่เหลืออยู่คืออิสลาม อิสลาม สงครามศักดิ์สิทธิ์และการทำความดี

รายงานหะดีษโดย มุสลิม

เล่าจาก อิบนิ อุมัรได้กล่าว่า พวกเราเคยให้คำมั่นแก่ท่านนบี ว่าจะเชื่อฟังและปฏิบัติตาม และท่านได้เตือนพวกเราว่า ในเรื่องที่พวกท่านมีความสามารถ

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอุบาดะห์ บิน ซอมิต ได้กล่าวว่า พวกเราได้ให้คำมั่นแก่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ว่าจะเชื่อฟังและปฏิบัติตามในสิ่งที่ยากลำบากและง่ายดาย ทั้งในยามมีความกระตือรือร้น และในสถานการณ์ที่ไม่ราบรื่น และว่าจะเห็นแก่ผู้อื่นมากกว่าตนเอง และจะไม่ขัดคำสั่งของผู้มีอำนาจออกคำสั่ง และพวกเราจะพูดแต่สัจจะไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใด และเราจะไม่หวั่นเกรงคำตำหนิของผู้ใดในเรื่องของอัลลอฮ์

และในบางรายงานว่า พวกเราจะไม่ขัดคำสั่งของผู้มีอำนาจออกคำสั่ง ท่านนบี ได้กล่าวเสริมว่า เว้นแต่พวกท่านพบเห็นการทรยศ (กุฟุร ปฏิเสธอัลลอฮ์) อย่างโจ่งแจ้งในขณะพวกท่านมีข้อแก้ตัวกับอัลลอฮ์ ในอันที่จะขัดขืนคำสั่ง (คือคำสั่งที่ผิดต่อบัญญัติอิสลาม)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และนะซาอี

เล่าจาก อะบี ฮุร็อยเราะห์  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า ปรากฏว่าพวก บะนี (ลูกหลาน) อิสรออีลนั้น มีบรรดานบีคอยแนะนำพวกเขา ในการดำเนินชีวิตทุกครั้งที่ท่านนบีคนหนึ่งเสียชีวิต ก็จะมีนบีอีกท่านหนึ่งมาทำหน้าที่แทน และความจริงจะไม่มีนบีหลังจากข้าพเจ้าอีกต่อไป แต่จะมีเคาะลิฟะห์เป็นจำนวนมาก พวกเขา (เหล่าอัครสาวก – เศาะฮาบะห์) ได้กล่าวว่า ท่านนบีจะสั่งอะไรแก่พวกเราบ้าง ท่านนบีได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงให้คำมั่นกับคนแรกแล้วคนแรกตามลำดับอย่างสมบูรณ์ (ให้คำมั่นแก่เคาะลิฟะห์ (หรือพวกศอลิฮีน-พวกมีคุณธรรมอันประเสริฐ) และท่านทั้งหลายจงให้จงให้ความนับถือแก่พวกเขาตามสิทธิพวกเขา เพราะความจริงอัลลอฮ์จะสอบถามพวกเขาถึงสิ่งที่อยู่ใต้การปกครอง รับผิดชอบเขา

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

และตัวบทมุสลิมว่า เมื่อเคาะลิฟะห์สองคนถูกสถาปนาขึ้น ให้ท่านจงฆ่าคนสุดท้ายจากสองคนนั้น

เล่าจาก อะบี ฮุร็อยเราะห์  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า สามจำพวกนี้ อัลลอฮ์จะไม่พูดกับเขาในวันกิยามะห์ และจะไม่ทำให้เขาสะอาดบริสุทธิ์ และพวกเขาจะถูกลงโทษที่เจ็บปวด นั้นคือ คน คนหนึ่ง เขามีน้ำเหลือในขณะเดินทางและไม่ยอมแบ่งปันให้กับคนที่ต้องเดินทางต่อ คน คนหนึ่ง ได้ให้คำมั่นแก่ผู้นำเพื่อแลกกับผลประโยชน์ในดุนยา ผู้นำให้สิ่งใด เขาจะปฏิบัติตาม แต่     ถ้าผู้นำไม่ให้เขาจะขัดขืน ไม่ยอมทำตามคำมั่นสัญญา และคน คนหนึ่ง ได้ขายสินค้าให้กับชายคนหนึ่งในช่วงเวลาหลังจาก อัสรี และเขาได้ได้สาบานต่ออัลลอฮ์ว่า ความจริงเขาขายสินค้านั้นด้วยราคาเท่านั้นเท่านี้ ลูกค้าอีกคนหนึ่งก็เชื่อเขา และได้ตกลงซื้อแต่ไม่ได้รับสินค้ามา (พ่อค้าขอขึ้นราคาเล็กน้อยอ้างว่าสินค้าหมด สุดท้ายในร้านแล้ว)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อับดิลละฮ์ จากท่านนบี ได้กล่าวว่า สำหรับผู้หักหลัง (ผิดคำมั่นสัญญา- غَادِرٍ لِوَاءٌ) ทุกคนจะมีธงประจานประจำตัว ในวันกิยามะห์ธงนั้น (غَادِرٍ) ของคนนั้นคนนี้

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี

เล่าจากอาอิชะห์ ได้กล่าวว่า ท่านนบี เคยให้คำมั่นกับพวกผู้หญิงด้วยโองการนี้ “พวกหล่อนจะไม่นำสิ่งใดมาตั้งภาคีกับอัลลอฮ์ และมือของท่านเราะซูลุลลอฮ์นั้น จะไม่สัมผัสกับมือหญิงอื่นใด นอกจากหญิงที่ท่านปกครองอยู่

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

เล่าจาก อุไมมะห์ บินติ รุกอยเกาะห์ (أُمَيْمَةُ بِنْتِ رُقَيْقَةَ) ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้มาหาท่านนบี ในกลุ่มของผู้หญิงชาวอันศอร พวกเราให้คำมั่นกันท่านนบีว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ เราขอให้คำมั่นสัญญาแก่ท่านว่า เราจะไม่ตั้งภาคีกับอัลลอฮ์ พวกเราจะไม่ลักขโมย พวกเราจะไม่ทำซินา (ผิดประเวณี) พวกเราจะไม่โกหก กุเรื่องเท็จใดๆ ระหว่างมือและเท้าทั้งสองของเรา พวกเราจะไม่ขัดขืนท่านในการความดี ท่านนบี ได้กล่าวว่า ในสิ่งที่พวกเธอ มีความสามารถ และที่พวกเธอสามารถปฏิบัติได้ อุไมมะห์ กล่าวว่า พวกเรากล่าวชมว่า  อัลลอฮ์และเราะซูลุลลอฮ์ของพระองค์มีความเมตตาต่อพวกเรามาก มาเถิดโอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ พวกเราจะให้คำมั่นสัญญาแก่ท่าน (ทำทีจะมาจับมือสาบานกับเราะซูลุลลอฮ์) ท่านได้กล่าวว่า แท้จริงข้าพเจ้าจะไม่จับสัมผัสมือกับพวกผู้หญิง ความจริงข้าพเจ้าพูดกับผู้หญิงร้อยคน ก็เหมือนพูดกับผู้หญิงเพียงคนเดียว (เพราะผู้หญิง ลืมง่าย และใจอ่อน)

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี และนะซาอี ในเรื่องชีวประวัติ

จำเป็นต้องให้การเชื่อฟังผู้นำ (اَلْطَاعَةٌ اَلاَمِيْرٌ) และห้ามปลีกตัวออกจากผู้นำ เพื่อก่อความกระด้างกระเดื่อง หรือกบฏ 393

เล่าจาก อะบี ฮุร็อยเราะห์  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า ผู้ใดเชื่อฟังข้าพเจ้าก็เท่ากับเชื่อฟัง อัลลอฮ์ ผู้ใดไม่เชื่อฟังข้าพเจ้าก็เท่ากับไม่เชื่อฟัง อัลลอฮ์ และผู้ใดเชื่อฟังผู้นำที่ข้าพเจ้าแต่งตั้ง ก็เท่ากับเชื่อฟังข้าพเจ้า และผู้ใดไม่เชื่อฟังผู้นำที่ข้าพเจ้าแต่งตั้ง ก็เท่ากับไม่เชื่อฟังข้าพเจ้า

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และนะซาอี

เล่าจาก อิบนิ อุมัร จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าว่า การเชื่อฟังและปฏิบัติตาม เป็นหน้าที่ของมุสิลมทั้งในสิ่งที่ตนชอบและไม่ชอบ ตราบเท่าที่เขา(ประชาชน) ไม่ถูกใช้ให้ทำความชั่ว ดังนั้นเสื่อเขาถูกใช้ให้ทำความชั่ว ก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตาม

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และตัวบทของบุคอรีว่า ท่านทั้งหลายจงเชื่อฟังและปฏิบัติตาม ถึงแม้ว่าผู่ที่ถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้นำของพวกท่านนั้นจะเป็นทาสผิวดำ ที่หัวหยิกติดหนังศีรษะก็ตาม

          เล่าจาก อะบี ซัร (اَبِي  ذَرٍّ) ได้กล่าวว่า คนรักของข้าพเจ้า (คือท่านนบี) ได้สั่งเสียแก่ข้าพเจ้าว่า ให้ข้าพเจ้าเชื่อฟังและปฏิบัติตาม แม้ผู้นำจะเป็นทาสที่อวัยวะกุดด้วนก็ตาม ในบางรายงานว่า ถ้าหากทาสนั้นจมูกแหว่ง ผิวดำ ถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้นำของพวกท่าน และเขาปกครองพวกท่านด้วยคัมภีร์ของอัลลอฮ์ ท่านทั้งหลายจงเชื่อฟังและปฏิบัติตาม

รายงานหะดีษโดย มุสลิม

เล่าจาก อิบนิ อับบาส จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า ผู้ใดได้พบเห็นสิ่งหนึ่งที่ทำให่เขาไม่พอใจจากผู้นำของเขา ขอให้จงอดทน เพราะความจริงผู้ที่ปลีกตัวออกจากคนส่วนใหญ่เพียงคืบเดียว แล้วต่อมาเขาได้เสียชีวิตลง ดังนั้นมันเป็นการเสียชีวิตของคนยุค ญาฮิลิยะห์ (กุฟุร-ปฏิเสธอัลลอฮ์)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

และตัวบทของมุสลิม และ อะบู ดาวูดว่า แท้จริงจะมีผู้นำหลายคนถูกแต่งตั้งให้มาปกครองพวกท่าน ดังนั้นพวกท่านจะยอมรับผลงานที่ดีงามของพวกเขา และพวกท่านก็จะปฏิเสธผลงานที่เลวทรามของเขา ดังนั้นใครรังเกียจผลงานที่เลวของผู้นำนั้นก็พ้นมลทิน และผู้ใดปฏิเสธผลงานที่เลวผู้นั้นก็ปลอดภัย แต่ถ้ามีผู้พอใจและปฏิบัติตามในอธรรมของผู้นำนั้น มีผู้ถามขึ้นว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์เราจะไม่ทำสงครามกับพวกเขาหรือ ท่านตอบว่า ไม่ ตราบเท่าที่เขาดำรงละหมาด (ปล่อยให้พวกหลงเชื่อความอธรรมผู้นำนั้นไปตามยถากรรม)

     เล่าจากฮุไซฟะห์ บิน ยะมาน ว่า ข้าพเจ้าถามว่าโอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ความจริงพวกเราเคยอยู่กับความชั่ว ต่อมา อัลลอฮ์ได้นำความดีมา และพวกเราก็ได้อยู่กับความดีนั้น ดังนั้นจะมีความชั่วมาภายหลังจากความดีไหม ท่านนบีตอบว่า มี ข้าพเจ้า(ฮุไซฟะห์)ถามว่า จะมีความดีมาหลังจากความชั่วไหม ท่านนบีตอบว่า มี ข้าพเจ้า(ฮุไซฟะห์)ถามว่า อย่างไร ท่านนบีตอบว่า จะมีผู้นำหลายคนที่ไม่ได้รับทางนำของข้าพเจ้า และพวกเขาไม่ได้ดำเนินตามซุนนะห์(แนวทาง)ของฉัน (سُنَّتِى) และต่อไปจะมีพวกผู้ชายที่หัวใจของพวกเขาเป็นหัวใจชัยฎอน ที่อยู่ในเรือนร่างมนุษย์ ยืนหยัดอยู่ในหมู่ผู้นำเหล่านั้น ข้าพเจ้า(ฮุไซฟะห์)ถามว่า ข้าพเจ้าจะทำเช่นไร เมื่อประสบกับเหตุการณ์นั้น ท่านนบีตอบว่า ท่านจงเชื่อฟังและปฏิบัติตามผู้นำ แม้ว่าหลังของท่านจะถูกโบย ทรัพย์สินจะถูกยึด ท่านก็ต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตาม (ผู้นำที่ใช้กิตาบุลลอฮ์ และซุนนะต์ท่านนบีเป็นแนวทาง) ในบางรายงานว่า ท่านต้องอยู่กับกลุ่มชนมุสลิมและผู้นำของพวกเขา(มุสลิม) ข้าพเจ้า(ฮุไซฟะห์)ถามว่า ถ้าหากไม่มีกลุ่มชนมุสลิมและไม่มีผู้นำ ท่านนบีตอบว่า ดังนั้นท่านจงปลีกตัวออกจากพวกอธรรมเหล่านั้นทั้งหมด  แม้ว่าท่านจะต้องกัดโคนต้นไม้ก็ตาม จนกว่าความตายจะมาประสบกับท่าน โดยท่านจะต้องอยู่ในสภาพอย่างนั้น

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

เล่าจาก อะบี ฮุร็อยเราะห์  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า ผู้ใดออกจากการเชื่อฟังและปฏิบัติตาม และแยกตัวออกจากกลุ่มชนมุสลิม ต่อมาเขาได้เสียชีวิตลง ดังนั้นมันเป็นการเสียชีวิตของคนยุค ญาฮิลิยะห์ (กุฟุร-ปฏิเสธอัลลอฮ์) และผู้ใดถูกสังหารภายใต้ธงที่มืดบอด[37] เขาจะโกรธเคืองเพราะเห็นแก่พรรคพวก และจะต่อสู้เพื่อพรรคพวก (ไม่เอาความแค้นมาเป็นที่ตั้ง เพราะมันจะบานปลายเป็นสงคราม) เขาผู้นั้นไม่ใช่ประชาชาติของข้าพเจ้า และผู้ใดได้ปลีกตัว แยกตัวออกจากออกจากกลุ่มชนมุสลิม ความเป็นมุสลิมของข้าพเจ้าเพ่อจะทำร้ายประชากรมุสลิมของข้าพเจ้า เขาจะฆ่าผันทั้งคนดีและคนเลว โดยไม่ยกเว้นผู้ศรัทธา และโดยไม่ได้ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญากับผู้ที่มีพันธะสัญญาจากประชากรข้าพเจ้า พวกเขาไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งของข้าพเจ้า

ล่าจาก อิบนิ อุมัร จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าว่า ผู้ใดถอนมือออกจากการเชื่อฟังและปฏิบัติตาม พวกเขาจะพบกับอัลลอฮ์ในวันกิยามะห์ โดยไม่มีหลักฐานที่เป็นประโยชน์แก่เขา  และผู้ใดได้เสียชีวิตลง โดยไม่มี มุบัยยิอะห์ (คำมั่นสัญญา)ใดๆ แขวนที่ต้นคอเขา ก็เหมือนเขาตายเหมือนคนยุค ญาฮิลิยะห์ (กุฟุร-ปฏิเสธอัลลอฮ์)

เล่าจาก อัรหะยะห์ ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าดิ้นท่านนบี กล่าวว่า ความจริงจะปรากฏความชั่วร้าย และเกิดความชั่วร้ายขึ้น ดังนั้น ผู้ใดต้องการจะให้เกิดความแตกแยกขึ้น (โดยมีผู้ยุแหย่) ในกิจการของประชากรนี้ โดยที่พวกเขามีความสามัคคีกัน ให้ท่านทั้งหลายจงฟันเขา (ผู้ยุแหย่) ด้วยดาบ ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะเป็นใครก็ตาม ในบางรายงานว่า ผู้ใดได้มาหาท่านในขณะที่กิจการของพวกท่านผนึกกันอยู่บนผู้นำคนเดียวกัน และเขาทำลายความสามัคคีของพวกท่าน หรือต้องการกลุ่มชนของพวกท่านแตกแยกความสามัคคีกัน ดังนั้นให้ท่านทั้งหลายจงสังหาร (فَاقْـتُـلُوْهُ) เขาเสีย

เล่าจากเอาฟ์ บิน มาลิก จากท่านนบี ได้กล่าวว่า คนดีที่สุดในบรรดาผู้นำของพวกท่าน คือบรรดาบุคคลที่พวกท่านทั้งหลายรักเขา และเขารักพวกท่าน และเขาจะขอดุอาอ์ให้แก่พวกท่าน และท่านจะขอดุอาอ์ให้แก่พวกเขา และคนที่เลวที่สุดในบรรดาผู้นำของพวกท่าน คือบรรดาบุคคลที่พวกท่านทั้งหลายโกรธเคืองเขา พวกท่านสาปแช่งเขา และพวกเขาสาปแช่งท่าน มีผู้ถามว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ พวกเราจะมาฆ่าฟันกับพวกเขาด้วยดาบหรือ ท่านนบี ตอบว่า ไม่ ตราบเท่าที่เขายังดำรงละหมาด ในขณะที่อยู่ในหมู่บวกท่าน และเมื่อท่านทั้งหลายพบเห็นว่าเขาทำสิ่งที่ท่านทั้งหลายรังเกียจ ให้ท่านทังหลายจงรัวเกียจการกระทำของเขา แต่ท่านหลายอย่าถอนมือออกจากการเชื่อฟังและปฏิบัติตาม

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี ตัวบทเป็นของมุสลิม

ตอนที่ 3 396

หน้าที่ของผู้นำ (فَمَا يُجِبَ عَلَى اَلاَمِيْرٌ)

อัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่า และท่านทั้งกลายจงให้ความยุติธรรม เพราะแท้จริงพระองค์รักความยุติธรรม وَاَفْسطُوا اِنَّاللهَ يُحِبُّ الْمُقْسِطِيْنَ (อัลกุรอานกล่าวถึง”ความยุติธรรมถึง 39 อายะห์)

เล่าจาก อิบนิ อุมัร จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าว่า โปรดทราบ พวกท่านทุกคนมีหน้าที่ดูแลและรับผิดชอบในสิ่งที่อยู่ในความปกครอง ดูแล ดังนั้นผู้นำเป็นผู้ปกครอง ดูแลประชาชน ของเขา ผู้ชายมีหน้าที่ปกครอง ดูแล รับผิดชอบครอบครัว ให้อยู่ดีมีสุข มีอิสลาม ผู้หญิงมีหน้าที่ดูแลความเป็นอยู่อาหาร เครื่องนุ่งห่มทุกข์สุขสามีและบุตรและคนใต้ปกครอง ทาสคนหนึ่งๆ มีหน้าที่ดูแลทรัพย์สินของนายให้ครบถ้วนในสภาพที่ดี ดังนั้นพึงทราบเถิดว่าพวกท่านทุกคนมีหน้าที่ดูแล และพวกท่านทุกคนต้องรับผิดชอบในสิ่งที่อยู่ใต้ความดูแลนั้น

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

อุบัยดุลลอฮ์ บิน ซิยาด (عُبَيْدُ اللهِ بِنْ زِيَادٍ) ได้เข้าไปเยี่ยมท่าน มะอ์กอล บิน ยะซาร (مَعْقِلِ بِنْ يَسَار)  มะอ์กอล ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าจะเล่าหะดีษบทหนึ่งแก่ท่าน ซึ่งข้าพเจ้าได้ยินมาจากท่านเราะซูลุลลอฮ์ โดยท่านนบี กล่าวว่า ไม่มีผู้ปกครองคนใดที่ปกครองประชาชนของเขาที่เป็นมุสลิม ต่อมาเขา(ผู้นำ)ได้เสียชีวิตในสภาพหลอกลวง รอยลึกของบาดแผลที่หลอกลวงของเขา (غاَشٌ لَهُمْ) นอกจากอัลลอฮ์จะห้ามเข้าสวรรค์

ในบางรายงานว่า ไม่มีบ่าวคนไหนที่อัลลอฮ์ ได้แต่งตั้งผู้ปกครองคนใดที่ปกครองประชาชน และเขาไม่ได้คุ้มครองประชาชนของเขาด้วยการสั่งสอน อบรมให้เป็นที่เป็นมุสลิม นอกจากเขาจะไม่ได้พบกลิ่นไอสวรรค์

เล่าจาก อะบี ฮุร็อยเราะห์  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า แท้จริงผู้นำนั้นเป็นโล่ที่ถูกใช้ในการสู้รบเพื่อป้องกันอันตราย ดังนั้นถ้าหากผู้นำได้ใช้ให้ประชาชนของเขาเกรงกลัว อัลลอฮ์ ผู้ยิ่งใหญ่และเกรียงไกร (عَزُوَجَلَ) และเขามีความยุติธรรม การกระทำเช่นนั้นจะเป็นผลบุญแก่เขา แต่ถ้าหากเขาใช้ประชาชนของเขานอกเหนือจากนั้น (ไม่สอนอิสลามและเตาฮีด) บาปก็จะตกอยู่แก่เขา

รายงานหะดีษทั้งสามโดย บุคอรี มุสลิม

เล่าจาก อะบี ฮุร็อยเราะห์  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า บุคคลสามจำพวกที่อัลลอฮ์จะไม่พูดด้วยกับพวกเขาในวันกิยามะห์ และจะไม่ชำระให้บริสุทธิ์ และจะไม่มองพวกเขา และพวกเขาจะได้รับการลงโทษที่เจ็บปวด คือ คนชราที่ทำซินา ผู้นำที่โกหก คนจนที่หยิ่งยะโส

อาอิดฺ บิน อัมริ (بِنْ عَمْرٍ عائِد) ได้เข้าไปหาอุบัยดุลลอฮ์ บิน ซิยาด (عُبَيْدُ اللهِ بِنْ زِيَادٍ) แล้วได้กล่าวสั่งสอนว่า โอ้ลูกรักข้าพเจ้าได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์ กล่าวว่า แท้จริงคนเลี้ยงสัตว์ที่เลว คือคนที่ไม่มีความปรานีแก่สัตว์ ดังนั้นท่านจงออดห่างไกลจากการเป็นคนเลี้ยงสัตว์ดังกล่าว (ไม่มีความปรานีแก่สัตว์) และต่อมา อาอิดฺ ได้กล่าวแก่ อุบัยดุลลอฮ์ว่า จงนั่งลงเถิด เพราะท่านเป็นส่วนหนึ่งของกากของบรรดาเศาะฮาบะห์ของ นบีมุฮัมมัด อาอิดฺ ได้กล่าวว่า พวกเขามีกากหรือ ความจริงกากนั้นมีหลังจากพวกเขาและนอกจากพวกเขา

เล่าจากอาอิชะห์ จากท่านนบี ได้กล่าวในขณะอยู่ในบ้านของข้าพเจ้า (อาอิชะห์) หลังนี้ว่า โอ้ อัลลอฮ์ ผู้ใดได้ทำหน้าที่ปกครองสิ่งใดจากกิจการของประชากรของข้าพเจ้า และเขาได้ทำให้เกิดความยากลำบากและเข้มงวดกับพวกเขา(ประชากร)  ขอพระองค์จงทำให้เกิดความยากลำบากและเข้มงวดเอากับเขา(ผู้นำ)ด้วยเถิด และผู้ใดได้ปกครองสิ่งใดจากกิจการของประชากรของข้าพเจ้า และเขาได้ให้ความสะดวกแก่พวกเขา(ประชากร) ขอพระองค์จงทำให้เกิดสะดวกแก่เขา (ผู้นำ) ด้วยเถิด

รายงานหะดีษทั้งสามโดย มุสลิม

อัมร์ บิน มุรเราะห์ ได้กล่าวแก่ มุอาวิยะห์ว่า แท้จริงข้าพเจ้าได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์กล่าวว่า ไม่มีผู้นำคนใดที่ปิดประตูใส่สลัก ไม่ยอมให้คนมีธุระจำเป็น คนที่ยากจนและเข็ญใจ (ذوى الحاجة والخلة) เข้าพบ นอกจากอัลลอฮ์จะปิดประตูฟ้าไม่ยอมให้ความยากจนของเขา (ผู้นำ) ความจำเป็นของเขา(ผู้นำ) และความเข็ญใจของเขา (ผู้นำ) เข้าไป ต่อมา มุอาวิยะห์ ได้แต่งตั้งคน คนหนึ่งให้ทำหน้าที่ดูแลความเดือดร้อน ในการเข้าร้องทุกข์ของประชาชน

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี

ตัวบทของ อะห์มัด อะบูดาวูด และฮากีมว่า จะไม่ได้เข้าสวรรค์ ผู้นำที่เก็บภาษีร้องทุกข์

เล่าจาก อะบี ฮุร็อยเราะห์  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า เจ็ดจำพวกที่อัลลอฮ์จะให้อยู่ใต้ร่มเงาของพระองค์ ในวันที่ไม่มีร่มเงาใดๆ นอกจากร่มเงาของอัลลอฮ์ ชายที่หัวใจของเขาผูกพันอยู่กับ มัสญิด ชายสองคนที่เขารักกันเพื่ออัลลอฮ์ รวมกันเพื่ออัลลอฮ์  แยกกันเพื่ออัลลอฮ์ (ดำเนินชีวิตตามอิสลาม) ผู้ชายคนหนึ่งซึ่งหญิงตระกูลสูงศักดิ์ มีความงาม เชิญชวนเขาทำซินา แล้วเขาปฏิเสธว่า ข้าพเจ้ากลัว อัลลอฮ์ ผู้ชายคนหนึ่งที่ระลึกถึง อัลลอฮ์เมื่ออยู่ตามลำพังอันโดดเดี่ยว จนดวงตาของเขาเอ่อท้นด้วยน้ำตา

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อับดิลลาฮ์ บิน อัมร์ จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า แท้จริงผู้ที่มีความยุติธรรม ณ พระองค์อัลลอฮ์นั้นเขาจะอยู่บนแท่นจากรัศมี อยู่ทางด้านขวาของอัลลอฮ์ ผู้ยิ่งใหญ่และเกรียงไกร พระหัตถ์ทั้งสองข้างของพระองค์นั้นเป็นด้านขวา ได้แก่บรรดาผู้ซึ่งมีความยุติธรรมในการตัดสินประชาชน และในสิ่งที่เขาปกครองอย่างยุติธรรม

และตัวบทของติรมิซีว่า แท้จริงผู้ที่อัลลอฮ์ในวันกิยามะห์ และคนที่อยู่ใกล้ชิดกับพระองค์มากที่สุดในหมู่มนุษย์คือ ผู้นำที่มีความยุติธรรม และคนที่อัลลอฮ์โกรธกริ้ว และอยู่ห่างไกลมากที่สุดคือ  ผู้นำที่ อยุติธรรม

ผู้นำต้องคัดเลือกคณะผู้ช่วยและคณะผู้ปกครอง โดยมีเงินเดือนให้ 399

อัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่า ท่านนบี มูซาได้ขอร้องต่ออัลลอฮ์ว่า ขอพระองค์แต่งตั้งผู้ช่วยจากครอบครัวของข้าพเจ้าให้แก่ข้าพเจ้าคือ น้องชายของข้าพเจ้า ฮารูน ได้โปรดให้เขาเป็นเครื่องเสริมพลังแก่ข้าพเจ้า และได้โปรดให้เขาได้ร่วมกิจกรรมของข้าพเจ้า เพื่อเราจะได้สดุดี (ตัสบีหะห์-ซุบฮานัลลอฮุ) แก่ท่านอย่างมากมาย และซิกร์(ذِكْرُ – citation - ระลึก)ถึงท่านอย่างมากมาย แท้จริงท่านนั้น แลเห็นพวกเรา

เล่าจากอาอิชะห์ จากท่านนบี ได้กล่าว เมื่ออัลลอฮ์ปรารถนาจะให้ผู้นำคนใดได้รับความดี พระองค์จะให้เขามีผู้ช่วยที่มีคุณธรรม ถ้าหากผู้นำหลงลืม ผู้ช่วยจะคอยตักเตือนเขา และถ้าหากเขาระลึกได้ ผู้ช่วยก็จะช่วยเหลือส่งเสริมเขา และเมื่ออัลลอฮ์เป็นไปนอกเหนือจากนั้น อัลลอฮ์จะให้ผู้ช่วยที่เลวทราม ถ้าหากผู้นำลืม ผู้ช่วยจะไม่ตักเตือน และถ้าหากเขาระลึกได้ ผู้ช่วยก็จะไม่ช่วยเหลือเขา

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจาก มิกดาม บิน มะอฺดีกะริบะ ว่า  ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ได้ตบบ่า (كَتَفَهٌ) ของเขาแล้วกล่าวว่า ท่านมีความสุขแล้วท่านกุดัยมุ (قُدَيْمُ) ถ้าหากท่านเสียชีวิตโดยที่ไม่ได้เป็นผู้นำ ไม่ได้เป็นเสมียน ไม่เป็นหัวหน้าเผ่า ในบางรายงานว่า แท้จริงตำแหน่งหัวหน้า (ผู้นำ) นั้นเป็นสัจธรรม และประชาชนต้องมีผู้นำ แต่ทว่าผู้นำนั้นอยู่ในขุมนรก (เพราะ อยุติธรรม และทุจริต)

เล่าจาก อิบนิ อุมัร และ อิบนิ อับบาส ได้กล่าวว่า “อัซซิจญิลุ” เป็นเสมียน (كَاتِبٌ) ที่เคยอยู่กับท่านนบี

รายงานหะดีษทั้งสามโดย อะบูดาวูด

เล่าจาก สะอีด บิน อะบีบุรดะห์ จากบิดาของเขาได้กล่าวว่า ท่านนบีได้ส่งบิดาของข้าพเจ้า และมุอาซ บิน ญะบัลไปยัง ยะมันโดยที่ท่านได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงทำให้ง่าย อย่าทำให้ลำบาก จงแจ้งข่าวดีอย่าให้เตลิด และท่านทั้งสองจงใช้ (ปฏิบัติศาสนาอิสลามอย่างง่ายๆ) ในสิ่งที่ท่านทั้งสองจะได้รับการปฏิบัติตาม

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

เล่าจาก มุสเตาริด บิน ซัดดาด จากท่านนบี ได้กล่าวว่า ผู้ใดเป็นเจ้าหน้าที่ทำงานให้แก่เรา ให้เขาจงหาภรรยา ถ้าหากเขาไม่มีคนรับใช้ ให้เขาหาคนรับใช้ และถ้าหากเขาไม่มีที่พักอาศัย ให้เขาหาที่พักอาศัย ท่าน อะบู บักร์ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้รับการบอกเล่าว่า ท่านนบี ได้กล่าวว่า ผู้ใดยึดเอา นอกจากที่กล่าวนั้นถือว่าเป็นผู้ทุจริตหรือขโมย (ให้เอาเงินซะกาต(เงินหลวง)ไปใช้จ่ายตามที่ท่านนบีอนุญาต)

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด

เล่าจาก บุรอยดะห์ จากท่านนบี ได้กล่าวว่า ผู้ใดที่เราแต่งตั้งเขาขึ้นปฏิบัติหน้าที่อย่างหนึ่ง และเราไดกำหนดปัจจัยยังชีพแก่เขา (เงินเดือน) ดังนั้นสิ่งใดที่เขาเอาเป็นกรรมสิทธิ์นอกเหนือจากนั้น ถือว่าเป็นการทุจริต (فَسَادٌ - corruption)

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และฮากีม

ท่าน อะบู บักร์ ได้กล่าวขณะที่ได้รับตำแหน่งแต่งตั้งให้เป็นเคาะลิหะห์ว่า  ความจริงพวกพ้องของข้าพเจ้าทราบกันดีว่า อาชีพการงานของข้าพเจ้า ไม่เคยทำให้ค่าใช้จ่ายภายในครอบครัวของข้าพเจ้าขาดแคลนเลย มาบัดนี้กิจการของมุสลิมีนทำให้ข้าพเจ้าต้องเลิกประกอบอาชีพเดิมไป ดังนั้นต่อไปครอบครัวของ อะบู บักร์ จะต้องยังชีพจากทรัพย์นี้ (ซะกาตจาก บัยตุ้ลมาล – เงินหลวง) และข้าพเจ้าจะทำหน้าที่ในตำแหน่งให้แก่มวลชนโดยแลกเปลี่ยนกับทรัพย์นั้น

รายงานหะดีษโดย บุคอรี เรื่องการซื้อขาย

ให้มีความบริสุทธิ์ใจต่อผู้นำ 401

จาก อะบี สะอีด จามท่านนบี ได้กล่าวว่า อัลลอฮ์ ส่ง นบีท่านใด และไม่มีผุ้ใดได้รับตำแหน่งเคาะลิฟะห์ นอกจากมีคนสนิทสองประเภท ประเภทที่หนึ่งคือ ใช้เขาให้ทำความดี และเร่งรัดเขาให้ทำความดี อีกประเภทหนึ่ง ใช้เขาให้ทำความชั่ว และเร่งรัดเขาให้ทำความชั่ว ดังนั้นอยู่เหนือความผิด คือ บรรดาบุคคลที่อัลลอฮ์ปกป้องคุ้มครอง

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และนะซาอี

เล่าจาก อะบี ฮุร็อยเราะห์  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า แท้จริงมนุษย์ที่เลวที่สุด คือคนสองหน้า ซึ่งเข้าหาพวกนี้ด้วยหน้าหนึ่ง และเข้าหาพวกโน้นด้วยอีกหน้าหนึ่ง

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจาก อะบี บักเราะห์ ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์กล่าวว่า ผู้ใดดูถูกสุลฎอน(ผู้มีอำนาจ) ของอัลลอฮ์ในหน้าแผ่นดิน อัลลอฮ์จะดูถูกเขา

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี ในเรื่อง”ความชั่วร้าย”

เล่าจาก ฏอริก บิน ชิฮาบ ว่า มีชายคนหนึ่งเรียนถามท่านนบี  โดยเขาวางเท้าไว้ในโกลน(ที่วางเท้าคนขี่ม้า)ว่า การต่อสู่อย่างใดประเสริฐที่สุด ท่านนบี ตอบว่า พูดความจริงกับผู้มีอำนาจที่ อยุติธรรม

และเล่าจาก กะอับ บิน อุจเราะห์ ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ได้ออกมาหาพวกเราโดยพวกเรามีกันเก้าคน ท่านได้กล่าวว่า แท้จริงจะมีบรรดาผู้นำหลังจากข้าพเจ้า ผู้ใดยืนยันความจริงตามที่พวกเขาโกหก และให้ความช่วยเหลือพวกเขาในการทุจริต ดัวนั้นเขาก็จะไม่เกี่ยวข้องกับข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็จะไม่เกี่ยวข้องกับเขา และเขาจะไม่ได้มาหาข้าพเจ้าที่สระน้ำ และผู้ใดไม่ให้ความสนับสนุนในสิ่งที่เขาโกหก และไม่ให้ความช่วยเหลือในการทุจริตของเขา ดังนั้นเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็เป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา และเขาจะได้มาหาข้าพเจ้าที่สระน้ำ

รายงานหะดีษทั้งสองโดย ติรมิซี และนะซาอี

ห้ามติดสินบน และห้ามมอบของกำนัลให้แก่ผู้พิพากษา 402

เล่าจาก อะบี ฮุมัยดิ ได้กล่าวว่า ท่านนบี ได้แต่งตั้งชายคนหนึ่งจากตระกูลอะสัด ซึ่งมีชื่อเรียกว่า อิบนุล ลุตบียะห์ ให้เป็นเจ้าหน้าที่ควบคุมซะกาต หลังจากเขากลับจากการไปตระเวนเก็บซะกาต เขาได้กล่าวแก่ท่านนบีว่า นี่เป็นกรรมสิทธิ์ของพวกท่าน และสิ่งนี้เป็นของกำนัลสำหรับข้าพเจ้า ต่อมาท่านเราะซูลุลลอฮ์ ได้ยืนขึ้นแท่นเทศนา (มิมบัร) แล้วกล่าวคำสรรเสริญอัลลอฮ์ เยินยอเกียรติพระองค์และได้กล่าวว่า จะมีสภาพเป็นอย่างไร ที่เจ้าหน้าที่ของข้าพเจ้าเมื่อส่งเขาไป แล้วเขากลับมา กล่าวว่า นี่เป็นกรรมสิทธิ์ของพวกท่าน และสิ่งนี้เป็นของกำนัลสำหรับข้าพเจ้า ทำไมเขาไม่ลองนั่งอยู่ในบ้านพ่อบ้านแม่เขา แล้วคอยดูว่าใครจะนำของกำนัลมามอบให้แก่เขาบ้างหรือไม่ สาบานต่อผู้ซึ่งชีวิตมุฮัมมัดอยู่ในกำมือของพระองค์ว่า คนหนึ่งคนใดจากพวกท่านจะแตะต้องซะกาตไม่ได้ (เพราะผู้ที่มอบของกำนัล ก็เพื่อจะจ่ายซะกาตให้น้อยลง) นอกจากเขาจะต้องนำสิ่งนั้นมาในวันกิยามะห์ เขาจะแบกมันมันมาบนต้นคอของเขา ถ้าหากสิ่งที่ถูกยักยอก หรือรับของกำนัลมาเป็น อูฐ มันก็จะมีเสียงร้อง หรือถ้าหากเป็นวัว มันก็จะมีเสียงร้อง หรือถ้ามันแกะ มันก็จะมีเสียงร้อง หลังจากนั้นท่านนบี ยกมือทั้งสองขึ้นจนพวกเราเห็นรักแร้ขาวทั้งสองข้างของท่าน แล้วท่านได้กล่าวว่า โอ้พระองค์อัลลอฮ์ ข้าพเจ้าได้ประกาศศาสนา (بَلَغْتُ - تَبَلِيْغٌ) ทั่วถึงแล้วใช่ไหม ท่านกล่าวถึงสองครั้ง

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อะบี ฮุร็อยเราะห์  ได้กล่าว่า  ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้ยืนอยู่ท่ามกลางพวกเขา ในวันหนึ่งท่านได้กล่าวถึงเรื่องการยักยอก โดยท่านได้บอกให้รู้ว่ามันใหญ่และเป็นเรื่องใหญ่ ต่อมาท่านได้กล่าวว่า ไม่สมควรที่ข้าพเจ้าจะพบคนใดคนหนึ่งจากพวกท่านมาในวันกิยามะห์ ในสภาพที่ต้นคอของเขาแบกอูฐที่ส่งเสียงร้องมาด้วย เขาจะกล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ โปรดช่วยข้าพเจ้า(ผู้ยักยอก)ด้วย ข้าพเจ้า (ท่านเราะซูลุลลอฮ์)จะตอบว่า ข้าพเจ้าไม่มีสิทธิ์ช่วยเหลือใดๆแก่ท่าน เพราะความจริงข้าพเจ้าได้แจ้งให้พวกท่านทราบแล้วว่า การยักยอกเป็นบาป ไม่สมควรที่ข้าพเจ้าจะพบคนใดคนหนึ่งจากพวกท่านมาในวันกิยามะห์ ในสภาพที่ต้นคอของเขาแบกแกะที่ส่งเสียงร้องมาด้วย เขาจะกล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ โปรดช่วยข้าพเจ้า(ผู้ยักยอก)ด้วย ข้าพเจ้า (ท่านเราะซูลุลลอฮ์)จะตอบว่า ข้าพเจ้าไม่มีสิทธิ์ช่วยเหลือใดๆแก่ท่าน เพราะความจริงข้าพเจ้าได้แจ้งให้พวกท่านทราบแล้วว่า การยักยอกเป็นบาป ไม่สมควรที่ข้าพเจ้าจะพบคนใดคนหนึ่งจากพวกท่านมาในวันกิยามะห์ ในสภาพที่ต้นคอของเขาแบกชีวิตที่ส่งเสียงร้องมาด้วย เขาจะกล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ โปรดช่วยข้าพเจ้า(ผู้ยักยอก)ด้วย ข้าพเจ้า (ท่านเราะซูลุลลอฮ์)จะตอบว่า ข้าพเจ้าไม่มีสิทธิ์ช่วยเหลือใดๆแก่ท่าน เพราะความจริงข้าพเจ้าได้แจ้งให้พวกท่านทราบแล้วว่า การยักยอกเป็นบาป ไม่สมควรที่ข้าพเจ้าจะพบคนใดคนหนึ่งจากพวกท่านมาในวันกิยามะห์ ในสภาพที่ต้นคอของเขาแบกริ้วผ้าที่โบกสะบัด เขาจะกล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ โปรดช่วยข้าพเจ้า(ผู้ยักยอก)ด้วย ข้าพเจ้า (ท่านเราะซูลุลลอฮ์)จะตอบว่า ข้าพเจ้าไม่มีสิทธิ์ช่วยเหลือใดๆแก่ท่าน เพราะความจริงข้าพเจ้าได้แจ้งให้พวกท่านทราบแล้วว่า การยักยอกเป็นบาป ไม่สมควรที่ข้าพเจ้าจะพบคนใดคนหนึ่งจากพวกท่านมาในวันกิยามะห์ ในสภาพที่ต้นคอของเขาแบกทรัพย์สิมนที่พูดไม่ได้ เขาจะกล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ โปรดช่วยข้าพเจ้า(ผู้ยักยอก)ด้วย ข้าพเจ้า (ท่านเราะซูลุลลอฮ์)จะตอบว่า ข้าพเจ้าไม่มีสิทธิ์ช่วยเหลือใดๆแก่ท่าน เพราะความจริงข้าพเจ้าได้แจ้งให้พวกท่านทราบแล้วว่า การยักยอกเป็นบาป ในบางรายงานว่า โอ้ประชาชนทั้งหลาย ผู้ใดจากพวกท่านถูกแต่งตั้งให้เป็นเจ้าหน้าที่ของเราให้ไปปฏิบัติหน้าที่อย่างหนึ่ง แล้วเขาได้เบียดบังเราโดยเอาเข็มเย็บผ้าไว้เล่มหนึ่ง หรือน้อยกว่านั้น โดยอาศัยหน้าที่นั้นๆ ดังนั้นถือว่าเป็นการทุจริต และเขาต้องนำมันมาในวันกิยามะห์

รายงานหะดีษทั้งสองโดย มุสลิม และ อะบูดาวูด

เล่าจาก มุอาซ บิน ญะบัล ได้กล่าวว่า ท่านนบี ได้ส่งข้าพเจ้าไปยะมัน เมื่อข้าพเจ้าเริ่มออกเดินทาง ท่านได้ส่งคนตามตัวข้าพเจ้ากลับไปก่อน เมื่อข้าพเจ้าถูกนำตัวกลับ ท่านนบีกล่าวว่า ท่านทราบไหมว่า ทำไมข้าพเจ้า(นบีฯ)จึงส่งคนไปตามท่านกลับมาก่อน และท่านนบีกล่าวว่า ท่าน(มุอาซ)อย่ารับสิ่งของใดๆที่ข้าพเจ้า(นบี)ไม่อนุญาต เพราะมันเป็นการทุจริต และผู้ใดทุจริต เขาจะต้องนำสิ่งที่ทุจริตมาแสดงในวันกิยามะห์ ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้า(นบี)จึงเรียกตัวท่านกลับมาเตือนไว้ก่อน ดังนั้นท่าน(มุอาซ)จงไปปฏิบัติหน้าที่ได้แล้ว

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี

เล่าจาก อะบี ฮุร็อยเราะห์  ได้กล่าว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้สาปแช่งคนที่ติดสินบน (رَشَوَةٌ – رَاشِىَ คนติดสินบน – اَلْمَرْتَشِىَ คนรับสินบน) และคนรับสินบนในเรื่องการรักษากฎหมาย اَلْحُـكْمِ

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และ อะห์มัด ด้วยสายรายงานที่เศาะฮีหะห์

ผู้นำมีสิทธิ์แต่งตั้งคนที่ไว้ใจได้ ให้ทำหน้าที่แทน 403

เล่าจาก ญุบัยริ บิน มุฏอิม ได้กล่าวว่า หญิงคนหนึ่งได้มาหาท่านนบี และพูดกับท่านในเรื่องหนึ่ง แล้วท่านก็ให้หญิงนั้นกลับมาหาท่านอีกครั้งหนึ่ง หญิงนั้นได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้โปรดบอกข้าพเจ้าว่า ถ้ามาพบท่านครั้งหน้าแล้วไม่พบท่าน (คล้ายกับว่า ถ้าหากท่านตายไปแล้ว) ท่านนบีได้กล่าวว่า ถ้าหากไม่พบข้าพเจ้า เธอจงไปหา อะบู บักร์

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

เล่าจาก อิบนิ อุมัร ได้กล่าว่า มีผู้กล่าวแก่อุมัรว่า ท่านจะไม่แต่งตั้งตัวแทนไว้หรือ ท่านอุมัรตอบว่า ถ้าหากข้าพเจ้าจะแต่งตั้งตัวแทนไว้ แล้วความจริง คนที่ดีกว่าข้าพเจ้าคือ ท่าน อะบู บักร์ ก็คงแต่งตั้งไว้แล้ว และถ้าหากข้าพเจ้าจะให้ (ตำแหน่งเคาะลิฟะห์) สืบทอดด้วยการรับมรดกแล้ว ความจริงคนที่ดีกว่าข้าพเจ้าคือท่านเราะซูลุลลอฮ์ ฯ ก็คงให้มีการสืบทอดตำแหน่งด้วยการรับมรดกแล้ว  ประชาชนได้พากันสรรเสริญท่านอุมัร ต่อมาท่านอุมัรได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าพอใจ (สิ่งที่อยู่ ณ อัลลอฮ์) และเกรงกลัว (อัลลอฮ์) ข้าพเจ้าต้องการพ้นตำแหน่งในสภาพคนที่มักน้อย ไม่ต้องการให้ตำแหน่งเป็นประโยชน์ และเป็นโทษกับตัวข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าจะไม่รับตำแหน่งเคาะลิฟะห์ ทั้งที่มีชีวิตอยู่และตายไปแล้ว

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจาก อะบีบักเราะห์ ได้กล่าวว่า อัลลอฮ์คุ้มครองข้าพเจ้าด้วย (عَصَمِنِى اللَّهُ – มาจาก عَصَمٌ ) สิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าได้ยินมาจากท่านนบี ว่า ขณะที่กษัตริย์กิสรอเสียชีวิต โดยท่านนบี ได้กล่าวว่า ใครที่พวกเขาแต่งตั้งเป็นกษัตริย์ต่อไป พวกเศาะฮาบะห์ตอบว่า บุตรสาวของเขา ท่านนบี กล่าวว่า จะไม่มีความสุข พวกที่แต่งตั้งผู้หญิงให้ปกครองกิจการของพวกเขา

รายงานหะดีษโดย บุคอรี ติรมิซี และนะซาอี

ตอนที่ 4 404

อัลลอฮ์อยู่กับ ผู้ตัดสินที่ทรงธรรม

เล่าจาก อับดิลลอฮ์ จากท่านนบี ได้กล่าวว่า ไม่มีการอิจฉา นอกจากสองสิ่งนี้ คือ ชายผู้หนึ่งที่อัลลอฮ์ได้ประทานทรัพย์แก่เขา เขาได้ปกครองมันบนการใช้จ่ายไปบนหนทางที่ถูกต้อง และอีกคนหนึ่งที่อัลลอฮ์ได้ประทานวิทยปัญญาแก่เขา เขาใช้วิทยปัญญาในการตัดสินคดี และจะนำมันไปเผยแผ่สั่งสอน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี

เล่าจาก อับดิลลอฮ์ บิน อะบีเอาฟา จากท่านนบี ได้กล่าวว่า อัลลอฮ์จะอยู่กับผู้ตัดสินตราบเท่าที่เขายังไม่ทุจริต ดังนั้นเมื่อเขาทำการทุจริต อัลลอฮ์จะทิ้งเขา ชัยฎอนจะเข้ามาแทรกอยู่กับเขาแทน

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี

เล่าจาก อะนัส บิน มาลิก จากท่านนบี ได้กล่าว่า ผู้ใดต้องการทำหน้าที่ตัดสิน และขอให้ผู้อื่นช่วยเหลือในการตัดสิน เขาจะถูกปล่อยให้พึ่งตนเอง และผู้ใดถูกบังคับให้ทำหน้าที่ตัดสิน อัลลอฮ์จะส่งมะลาอิกะห์ลงมาช่วยให้เขาตัดสินได้อย่างถูกต้อง

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจาก อะบี ฮุร็อยเราะห์  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า ผู้ใดต้องการทำหน้าที่ตัดสินมวลมุสลิม จนกระทั่งเขาได้ทำหน้าที่ตัดสิน ต่อมาภายหลัง ความยุติธรรมของเขาสามารถข่มความ อยุติธรรมของเขาลงได้ ดังนั้นสวรรค์จะเป็นของเขา และผู้ใดที่ความ อยุติธรรมข่มความยุติธรรมไป ดังนั้น นรกจะเป็นของเขา

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด เป็นหะดีษศอลิฮะห์

ให้พยายามออกห่างการตัดสิน

เล่าจาก อิบนิ บุร็อยดะห์ จากบิดาของเขา จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า ผู้ทำหน้าที่ตัดสินมีสามคน คือ คนหนึ่งอยู่บนสวรรค์ อีกสองคนอยู่ในนรก คนที่อยู่บนสวรรค์ คือ คนที่รู้ข้อเท็จจริงและตัดสินตามข้อเท็จจริงนั้นๆ  คนที่รู้ข้อเท็จจริงแต่ตัดสินด้วยความ อยุติธรรม เขาจะอยู่ในนรก และคนที่ทำหน้าที่ตัดสินให้แก่ประชาชนบนความโง่เขลา เขาก็อยู่ในนรก

เล่าจาก อะบี ฮุร็อยเราะห์  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า ผู้ใดที่ถูกแต่งตั้งให้เป็นกอฎี (اَلْقَضَى - ผู้พิพากษา) ระหว่างประชาชน เท่ากับถูกเชือดโดยไม่ใช้มีด

รายงานหะดีษทั้งสองโดย อะบูดาวูด ติรมิซี

ระเบียบการตัดสิน

เล่าจาก อับดิรเราะห์มาน บิน อะบีบักเราะห์ ได้กล่าว่า บิดาของข้าพเจ้าได้ส่งหนังสือมาถึงข้าพเจ้าขณะที่อยู่ที่เมือง สิยิสตาน มีใจความว่า มิให้ท่านทำหน้าที่ตัดสินคดีความขณะที่ข้าพเจ้ามีความโกรธ เพราะแท้จริงข้าเจ้าได้ยินท่านนบี กล่าวว่า ไม่ให้ผู้ตัดสินทำหน้าที่ตัดสินคดีความในขณะที่เขาโกรธ

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากท่านอาลี บิน อะบี ตอเล็บ ได้กล่าว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้ส่งข้าพเจ้าไปยะมัน ในฐานะเป็นกอฎี (اَلْقَضَى - ผู้พิพากษา) ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ท่านส่งข้าพเจ้าไปทั้งๆที่ข้าพเจ้าอ่อนวัยและไม่มีความรู้ในเรื่องการตัดสินคดีความ ท่านนบี กล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮ์จะทรงชี้นำแก่หัวใจของท่านและจะทำให้ลิ้นของท่านมั่นคง ดังนั้นเมื่อคู่กรณีทั้งสองได้อยู่ต่อหน้าท่าน ท่านอย่ารีบตัดสินจนกว่าจะฟังจากอีกฝ่ายหนึ่ง เหมือนที่ท่านได้รับฟังจากฝ่ายแรก เพราะความจริงมันเป็นการป้องกันที่จะให้การตัดสินนั้นปรากฏชัดแก่ท่าน ท่าน อะลี ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าคงทำหน้าที่กอฎี (ผู้พิพากษา) หรือข้าพเจ้าไม่เคยสงสัยในการตัดสินใดเลยหลังจากนั้น

รายงานหะดีษทั้งสองโดย อะบูดาวูด ติรมิซี หะดีษหะซัน

โจทก์ต้องหาพยาน และคำสาบานเหนือจำเลยผู้ปฏิเสธ 406

เล่าจาก อิบนิ อับบาส จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า ถ้าหากมนุษย์จะได้รับสิทธิ์ตามคำกล่าวอ้างของพวกเขาแล้ว มนุษย์ก็จะอ้างเอาสิทธิ์ในเรื่องเลือดและทรัพย์สินของผู้คนอย่างแน่นอน แต่ทว่าการสาบานอยู่เหนือจำเลย[38]

 และได้มีชายคนหนึ่งมาจากหัฎเราะเมาต์ (حَضَرَ مَوْتَ) และอีกคนหนึ่งมาจากกินดะห์ มาหาท่านนบี ชายคนที่มาจากหัฎเราะเมาต์กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ แท้จริงชายผู้นี้ (จากกินดะห์) ได้ข่มเหงข้าพเจ้า ยึดเอาผืนดินที่เคยเป็นของบิดาข้าพเจ้าไปเป็นกรรมสิทธิ์ หลังจากนั้นชายชาวกิดะห์ได้กล่าวว่า มันเป็นผืนดินที่อยู่ในกรรมสิทธิ์ของข้าพเจ้าที่ใช้เพาะปลูก ชายชาวหัฎเราะเมาต์กล่าวว่าเขาไม่มีสิทธิ์บนผืนดินนี้เลย ท่านนบี ถามชาวหัฎเราะเมาต์ว่า มีพยานไหม เขาตอบว่า ไม่มีพยานหลักฐาน ท่านนบีจึงตอบเขาว่า ดังนั้นที่ท่านจะได้จากเขา คือการสาบาน ชาวหัฎเราะเมาต์กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ แท้จริงชายผู้นี้เขาเป็นคนชั่วที่ไม่หวั่นไหวต่อคำสาบานใดๆ ท่านนบีจึงตอบเขาว่า ท่าน(ชาวหัฎเราะเมาต์)ไม่มีสิทธิ์จะได้อะไร จากเขานอกจากคำสาบาน ต่อมาชายชาวกินดะห์ จึงได้สาบาน ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ได้กล่าวว่า ถ้าแม้นเขาสาบานเหนือทรัพย์ของท่านเพื่อยึดครองโดยทุจริต เขาจะต้องพบกับอัลลอฮ์ในลักษณะที่พระองค์เบือนหน้าหนีจากเขา

รายงานหะดีษทั้งสองโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อับดิลลาฮ์ บิน อุมัร จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า พยานจำเป็นเหนือโจทก์ และคำสาบานจำเป็นเหนือจำเลย

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี

คำที่ใช้สาบาน (اَلْيَمِيْنَ)

เล่าจาก อิบนิ อับบาส จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวแก่ชายคนหนึ่งที่ท่านสอนให้เขาสาบานว่า ท่านจงสาบานต่ออัลลอฮ์ ซึ่งไม่มีพระเจ้าอื่นใด ที่ควรแก่การเคารพสักการะ นอกจากอัลลอฮ์ เขาไม่มีสิทธิใดๆติดอยู่ที่ข้าพเจ้า

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

พยาน (اَلشَّهُودٌ)

อัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่า ท่านทั้งหลายจงหาพยานที่เป็นชายสองคนจากพวกท่าน ดังนั้นถ้าหากเขาทั้งสองไม่ใช่ผู้ชาย ก็ให้ใช้ผู้หญิงสองคนและผู้ชายหนึ่งคน จากบุคคลที่ท่านพอใจจากผู้ที่มีคุณสมบัติเป็นพยานได้ เพื่อว่าคนหนึ่งหลงผิด อีกคนหนึ่งจะได้นึกขึ้นได้ และบรรดาพยานนั้นจะขัดขืนไม่ได้เมื่อถูกเรียกไปให้การ

เล่าจาก อิบนิ อับบาส จากท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้ตัดสินด้วยการใช้การสาบานหนึ่งครั้งกับพยานหนึ่งคน

เล่าจาก เซด บิน คอลิด อัลญุฮะนี จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าจะบอกแก่พวกท่าน ถึงพวกพยานที่ดีเอาไหม นั่นคือผู้ที่มาให้การเป็นพยาน ก่อนที่เขาจะถูกขอร้องให้เป็นพยาน

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อัมร์ บิน ชุเอบ จากบิดาของเขา จากปู่ของเขา ว่าท่านนบี ได้ปฏิเสธการเป็นพยานของผู้ทุจริตที่เป็นชายและหญิง และผู้มีความอาฆาตค้าเหนือพี่น้องร่วมศาสนาของเขา และท่านได้ปฏิเสธการเป็นพยานของคนที่เป็นคนใครอบครัว และท่านได้อนุญาตการเป็นพยานเข้าข้างคนอื่นจากพวกเขา และในบางรายงาน ไม่อนุญาตการเป็นพยานของผู้ทุจริตที่เป็นชายและหญิง และไม่อนุญาตการเป็นพยานของผู้ทำซินาทั้งชายและหญิง

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี

ตัวบทของ อะบูดาวูดว่า ไม่อนุญาตการเป็นพยานของอาหรับเร่ร่อน ในการปรักปรำชาวเมือง[39]

เตือนให้ระวังการเป็นพยานเท็จ 408

เล่าจาก คุร็อยม์ บิน ฟาติก ได้กล่าวว่า ท่านนบี ได้ละหมาดฟัจรี แลเมื่อเสร็จแล้วท่านได้ลุกขึ้นยืน แล้วเทศนาว่า การเป็นพยานเท็จนั้นเท่ากับการตั้งภาคีกับอัลลอฮ์ ท่านได้กล่าวซ้ำสามครั้งต่อจากนั้นท่านได้อ่านโองการ (อายะห์)ที่มีความหมายว่า “ดังนั้น พวกท่านทั้งหลายจงออกให้ห่างไกลจากความโสมมของรูปเคารพ และจงออกห่างจากคำพูดที่เป็นเท็จ(فَٱجۡتَنِبُواْ ٱلرِّجۡسَ مِنَ   ٱلۡأَوۡثَـٰنِ وَٱجۡتَنِبُواْ قَوۡلَ ٱلزُّورِ)(22:30) โดยเอนเอียงสู่ อัลลอฮ์ ไม่ตั้งภาคีกับอัลลอฮ์

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจาก อะบีบักเราะห์ จากท่านบีฯ ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าจะไม่บอกพวกท่านถึงบาปใหญ่ที่สุดหรือ พวกเขาตอบว่า ได้โปรดบอกเถิด โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ท่านจึงได้กล่าวว่า มันคือการตั้งภาคี (ชิริก - اَلشَّرِيْكُ)กับอัลลอฮ์ และการเนรคุณต่อบิดามารดา และการเป็นพยานเท็จ หรือคำพูดที่เป็นเท็จ(พูดปด) ผู้เล่าได้กล่าวว่า ท่านได้พูดอยู่เช่นนั้น จนพวกเราหวังว่าท่านจะหยุดพูด

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี

และได้มีผู้เรียนถามท่านนบี ว่า ประชาชนใดที่ดีที่สุด ท่านตอบว่า คือประชาชนที่อยู่ในยุคของข้าพเจ้า หลังจากนั้น คือผู้ที่อยู่ในยุคถัดไป หลังจากนั้น คือผู้ที่อยู่ในยุคถัดไป หลังจากนั้นจะมีกลุ่มชนที่ การเป็นพยานของคนใดคนหนึ่งจากพวกเขาอยู่ก่อนการสาบานของพวกเขา และการสาบานของพวกเขาอยู่ก่อนการเป็นพยานของพวกเขา[40]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด ติรมิซี และตัวบทของติรมิซีว่า คือประชาชนที่อยู่ในยุคของข้าพเจ้า หลังจากนั้น คือผู้ที่อยู่ในยุคถัดไป หลังจากนั้น คือผู้ที่อยู่ในยุคถัดไป ท่านได้กล่าวสามครั้ง หลังจากนั้นจะมีกลุ่มชนกระทำสิ่งที่ทำให้ท้องและร่างกายอ้วนท้วน และพวกเขาจะรักความอ้วนพี พวกเขาจะให้การเป็นพยานก่อนที่พวกเขาจะถูกขอร้องให้เป็นพยาน

เล่าจาก อิบนิ อุมัร จากท่านนบี ได้กล่าวว่า เท้าทั้งสองข้างของผู้ที่เป็นพยานเท็จจะยังไม่ทันขยับเขยื่อน อัลลอฮ์ได้ตัดสินให้เขาได้ไฟนรกไปแล้ว

รายงานหะดีษโดย อิบนุ มายะห์

ตอนที่ 5 409

การวินิจฉัย

อัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่า ดาวูดและสุลัยมาน ขณะที่ทั้งสองตัดสินคดีเกี่ยวกับแปลงเพาะปลูก ขณะที่แพะของชนกลุ่มหนึ่งได้บุกเข้าไปทำลายแปลงเพาะปลูก และเราได้ประจักข้อตัดสินของพวกเขา ดังนั้นเราได้ให้ความเข้าใจ (หลักการตัดสิน) แก่สุลัยมาน แต่ทั้งหมดนั้น เราได้มอบวิทยปัญญาและความรู้ให้ (21:78-79)

เล่าจาก อัมร์ บิน อัลอาซ จากท่านนบี ได้กล่าวว่า เมื่อผู้ตัดสินได้ทำหน้าที่ตัดสิน เขาได้ใช้การวินิจฉัยและได้ตัดสินอย่างถูกต้อง เขาจะได้รับสองผลบุญ และเมื่อเขาได้ตัดสินเขาใช้การวินิจฉัยที่ผิดพลาด เขาจะได้รับผลบุญเดียว

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

ขณะที่ท่านนบี ได้ส่งมุอาซ บิน ญะบัล ไปยะมัน ท่านได้กล่าวแก่ มุอาซว่า ท่านจะตัดสินอย่างไร มุอาซตอบว่า ข้าพเจ้าจะตัดสินตามหลักการที่มีอยู่ในคัมภีร์ของอัลลอฮ์ ท่านนบีถามต่อไปอีกว่าถ้าหากไม่ปรากฏในคัมภีร์ของอัลลอฮ์ มุอาซตอบว่า ข้าพเจ้าจะวินิจฉัยโดยอาศัยความคิดเห็นของข้าพเจ้า ท่านได้กล่าวว่าขอขอบพระคุณพระองค์อัลลอฮ์ที่ได้แนะแนวทางที่ถูกต้องแก่ทูตของเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี

อุมมุซะลามะห์ ได้กล่าวว่า มีชายสองคนได้มาหาท่านนบี คนทั้งสองมีเรื่องขัดแย้งกัน ในการแบ่งมรดกของเขาทั้งสอง โดยคนทั้งสองไม่มีพยานหลักฐาน นอกจากคำอ้างของเขาทั้งสองเท่านั้น ดังนั้นท่านนบี จึงได้กล่าวแก่คนทั้งสองว่า ผู้ใดที่ข้าพเจ้าตัดสินให้แก่เขาด้วยสิ่งใดๆ จากกรรมสิทธิ์ของพี่น้องของเขา เขาอย่ารับมันเอาไป เพราะความจริงเท่ากับข้าพเจ้าได้ตัดก้อนไฟนรกหยิบยื่นให้แก่เขา ปรากฏว่าชายทั้งสองคนร้องไห้ และได้กล่าวแก่กันว่า ส่วนของฉันยกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของท่าน ท่านนบี จึงได้กล่าวแก่คนทั้งสองว่า เมื่อท่านทั้งสองทำดังนี้ ก็ให้ท่านทั้งสองจงแบ่งและรักษาสิทธิ์ของกันและกัน หลังจากนั้นให้ท่านทั้งสองรับเอาส่วนที่จะได้จากการจับฉลาก และให้ท่านทั้งสองจงยกกรรมสิทธิ์ให้แก่กันในส่วนที่แต่ละฝ่ายได้รับ และในบางรายงานว่า ความจริงข้าพเจ้าตัดสินระหว่างท่านทั้งสองตามความคิดเห็นของข้าพเจ้า ในสิ่งที่ไม่มีข้อตัดสินแจ้งลงมายังข้าพเจ้า

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด

เล่าจาก อะบี มูซา ว่า มีชายสองคนอ้างเอาอูฐตัวหนึ่ง หรือสัตว์พาหนะตัวหนึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ ทั้งสองได้พากันมาหาท่านนบี โดยที่ทั้งสองไม่มีพยานหลักฐาน ดังนั้นท่านนบี จึงได้แบ่งมันให้แก่เขาทั้งสองถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และนะซาอี หะดีษ ฎออิฟ- ضَعِيْفٌ

เล่าจาก อะบี ฮุร็อยเราะห์  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า ได้เสนอให้คนพวกหนึ่งสาบาน พวกเขารีบชิงกันสาบาน ท่านนบีจึงใช้ ให้จับสลากระหว่างพวกเขา ในการสาบานว่าใครจากพวกเขาจะเป็นผู้ให้คำสาบาน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

เล่าจาก อะบี ฮุร็อยเราะห์  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า มีหญิงสองนางซึ่งมีบุตรชายกันคนละหนึ่งคนอยู่กับหล่อน ได้มีหมาป่ามาเอาลูกชายของหญิงคนหนึ่งไป อีกฝ่ายก็อ้างเช่นเดียวกัน หญิงทั้งสองมาหานบีดาวูด เพื่อให้ตัดสิน นบีดาวูดตัดสินให้เด็กชายเป็นของหญิงอายุมาก หญิงทั้งสองยังไม่พอใจ ได้พากันมาพบ นบีสุลัยมาน บุตร นบีดาวูด ท่านได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายเอามีด (ซิกกีน) มาให้ข้าพเจ้า เพื่อจะได้ตัดแบ่งเด็กให้หญิงทั้งสองไป หญิงคนที่อายุน้อยกว่า รีบพูดขึ้นว่า ไม่ ขอ อัลลอฮ์เมตตาท่าน เด็กคนนี้เป็นลูกของหญิงที่อายุมากกว่านาง นบีสุลัยมานจึงตัดสินว่า เด็กชายคนนี้เป็นบุตรของหญิงที่อายุน้อยกว่า อะบี ฮุร็อยเราะห์ ได้กล่าวว่า สาบานต่ออัลลอฮ์ ข้าพเจ้าไม่เคยได้ยินคำว่ามีด ซิกกีนนอกจากในวันนั้น (ที่ท่านนบีสุลัยมานเรียกหา) พวกเราไม่เคยพูดคำว่า ซิกกีน นอกจาก มุดยะห์(มีด)( مُدْيَةٌ- Knife)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และนะซาอี

ผู้พิพากษามีสิทธิ์กักขังผู้ถูกกล่าวหา 412

เล่าจาก บะฮ์ซิ บิน หะกีม จากบิดาของเขา จากปู่ของเขา ว่าท่านนบี ได้ขังชายคนหนึ่งในข้อกล่าวหาหนึ่ง ภายหลังได้ปล่อยตัวไป

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก ชิรีด บิน สุวัยดิ จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า การผัดวันประกันพรุ่งของคนรวยนั้น ทำให้อนุมัติการละเมิดศักดิ์ศรีของเขา

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด นะซาอี และ อะห์มัด

คำตัดสินของผู้พิพากษา (ฮากิม) ไม่ทำให้สิ่งต้องห้าม (หะรอม) กลายเป็นสิ่งอนุมัติได้ (หะลาล) 

เล่าจาก อุมมุซะลามะห์ ว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์ ได้กล่าว่า ความจริงข้าพเจ้าเป็นเพียงมนุษย์ และพวกท่านได้พิพาทกันมาหาข้าพเจ้า และเป็นไปได้ว่าพวกท่านบางคนอ้างหลักฐานเหนือกว่า บางคน ข้าพเจ้าก็ต้องตัดสินให้(ตกเป็นของเขาที่มีหลักฐานเหนือกว่า)เขาตามที่ข้าพเจ้าได้ยิน ดังนั้นผู้ใดที่ข้าพเจ้าตัดสินสิ่งใดที่เป็นกรรมสิทธิ์ของพี่น้อง (ร่วมศาสนา)ของเขา ให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของเขา อย่าให้เขายึดเอาไปเป็นกรรมสิทธิ์ เพราะความจริง(มันเท่ากับ) ข้าพเจ้าตัดไฟนรกก้อนหนึ่งให้แก่เขา (ผู้ที่มีหลักฐานแน่นหนากว่า อาจจะไม่ใช่ผู้ถูกก็ได้ ผู้มีหลักฐานอ่อนอาจจะเป็นผู้ถูกก็ได้)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อิบนิ อุมัร จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าว่า ผู้ใดที่การช่วยเหลือ (พยาน หลักฐานเท็จ) ของเขาขัดขวางไม่ให้มีการลงโทษใดๆ จากอัตราโทษของอัลลอฮ์ เท่ากับเขาประกาศตนเป็นศัตรูของอัลลอฮ์ และผู้ใดขัดแย้งในเรื่องที่เหลวไหลทั้งๆที่รู้ว่าเป็นเรื่องเหลวไหล เขาจะอยู่ในความกริ้วโกรธของอัลลอฮ์ จนกว่าเขาจะถอนตัวออก และผู้ใดกล่าวหาผู้ศรัทธา ด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ในตัวเขา(ผู้ศรัทธา) อัลลอฮ์จะให้เขา(ผู้กล่าวหา) อยู่ในน้ำเหลืองน้ำหนองของชาวนรก จนกว่าเขาจะถอนตัวออกจากสิ่งที่กล่าวหา และผู้ใดให้ความช่วยเหลือในกรณีพิพาทโดยอยุติธรรม ความจริงก็เท่ากับเขาได้กลับมาพร้อมด้วยความกริ้วโกรธของอัลลอฮ์ผู้เกรียงไกร

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด เป็นหะดีษศอลิฮะห์

อนุญาตให้แต่งตั้งอนุญาโตตุลาการ[41]  413

อัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่า และถ้าหากว่าท่านกลัวจะเกิดการแตกแยกระหว่างคนทั้งสอง (ผัว-เมีย) ก็ให้พวกท่านตั้งอนุญาโตตุลาการขึ้นคนหนึ่งจากครอบครัวของเขา(สามี) และตั้งอนุญาโตตุลาการขึ้นอีกคนหนึ่งจากฝ่ายภรรยา ถ้าหากอนุญาโตตุลาการทั้งสอง ปรารถนาจะไกล่เกลี่ย อัลลอฮ์จะแนะแนวทางให้ แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรอบรู้(عَلِيْماً) ทรงรอบคอบ(خَبِيْراً – ผู้เชี่ยวชาญ)

เล่าจาก อะบี ฮุร็อยเราะห์  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า มีชายคนหนึ่งได้ซื้อผืนดินแปลงหนึ่งจากชายอีกคนหนึ่ง ต่อมาผู้ซื้อได้พบโอ่งใบหนึ่งมีทองบรรจุอยู่ภายใน เขาจึงกล่าวแก่ผู้ขายว่า จงเอาทองไปจากข้าพเจ้า ความจริงข้าพเจ้าซื้อเพียงผืนดินจากท่านเท่านั้น และข้าพเจ้าไม่ได้ซื้อทองจากท่าน ต่อมาผู้ขายได้กล่าวว่า ความจริงข้าพเจ้าขายผืนดินพร้อมสิ่งที่อยู่ในผืนดินนั้นด้วย อะบี ฮุร็อยเราะห์ ได้กล่าวว่า หลังจากนั้นคนทั้งสองได้ไปหาชายคนหนึ่ง (อนุญาโตตุลาการ) เพื่อให้การตัดสิน อนุญาโตตุลาการกล่าวว่า ท่านทั้งสองมีบุตรไหม ชายคนหนึ่งตอบว่า ข้าเจ้ามีบุตรชายคนหนึ่ง ชายอีกคนกล่าวว่า ข้าพเจ้ามีบุตรหญิงคนหนึ่ง อนุญาโตตุลาการกล่าวว่า ท่านทั้งหลาย จงแต่งงานลูกของท่านทั้งสองด้วยกัน และท่านทั้งสองจงจ่ายทองไปกับการแต่งงานนั้น และจากทองที่พบยังเหลือให้ท่านทั้งสองจงบริจาคเป็นทาน (ให้แก่ลูกทั้งสอง)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

บทสุดท้าย 413

การไกล่เกลี่ย صَلِحَ reconciliation

อัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่า ไม่มีความดีในส่วนใหญ่ของพวกเขาจากการซุบซิบ นอกจากผู้ที่บริจาคทานและผู้ที่ทำความดี หรือไกล่เกลี่ยในระหว่างมนุษย์ด้วยกัน และผู้ใดกระทำดังนั้น โดยแสวงหาความพอใจของอัลลอฮ์ ดังนั้นต่อไปเราจะให้ผลบุญแก่เขาอย่างใหญ่หลวง

เล่าจากอาอิชะห์ จากท่านนบี ได้กล่าวว่า ผู้ที่อัลลอฮ์โกรธกริ้วจากบรรดาผู้ชาย คือผู้ที่ชอบพิพาท

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และนาซาอี

เล่าจาก ซะหัล อัซซาอิดี ได้กล่าวว่า ได้ปรากฏว่ามีการสู่รบกันระหว่างตระกูลบะนีอัมร์ ต่อมาท่านนบี ได้ทราบข่าว ท่านได้ละหมาด ดุฮรี จากนั้นท่านได้มายังพวกเขา ทำการไกล่เกลี่ยระหว่างพวกเขา

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และนาซาอี

เล่าจากอุมมิกัสโซม บินติ อุกบะห์ จากท่านนบี ได้กล่าวว่า ไม่ใช่เป็นคนโกหก ผู้ที่ไกล่เกลี่ยระหว่างเพื่อนมนุษย์ โดยเขากล่าวสิ่งที่ดี หรือยุแหย่สิ่งที่ดี

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด

เล่าจาก อะบี ดัรดาอ์ จากท่านนบี ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าจะไม่บอกให้พวกท่านรู้ถึง สิ่งที่มีภาคผลยอดเยี่ยมกว่าขั้นการถือศีลอด การละหมาด และการบริจาคทานหรือ พวกเหล่าเศาะฮาบะห์ตอบว่า ได้โปรดบอกเถิด โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ท่านได้กล่าวว่า การไกล่เกลี่ยให้ผู้ที่แตกแยกได้คืนดีกัน และทำลายการไกล่เกลี่ยนั้นเป็นมีดโกน ที่จะโกนเอาศาสนาทิ้งไป

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และตัวบทของติรมิซีกล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่ได้กล่าวว่ามันจะโกนขนแต่มันจะโกนศาสนาออกไป

ภาคการสาบาน (أقْسَمٌ) และการบนบาน (اَلْنَذَوْرٌ) 415

มีสองบทและตอนสุดท้าย

บทที่ 1 การสาบาน

จะไม่มีการสาบาน นอกจากต้องสาบานด้วยนามหนึ่ง จากบรรดานามของอัลลอฮ์ตะอาลา

อัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่า สาบานต่อผู้อภิบาลฟ้าละแผ่นดิน แท้จริงสิ่งที่กล่าวนั้นเป็นเรื่องจริงเหมือนที่พวกเจ้าได้พูดกัน

และอัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่าเราขอสาบานกับ (ความยิ่งใหญ่ของเราผู้เป็น ผู้อภิบาล ทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ว่าแท้จริงเรามีอานุภาพที่จะเปลี่ยนเอาประชาชาติที่ดี กว่าพวกเขา และเราไม่ใช่ผู้อ่อนแอ

เล่าจาก อิบนิ อุมัรได้กล่าว่า ปรากฏว่าคำสาบานของท่านนบี คือ คำว่า ไม่ ขอสาบานต่อผู้เปลี่ยน ความคิดและจิตใจ

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อะบี สะอีด ได้กล่าวว่า ปรากฏว่า ท่านนบี เอาจริงเอาจังในการสาบานท่านจะกล่าวคำสาบานว่า สาบานต่อพระผู้ซึ่งชีวิต อะบู อัลกอซิม อยู่ในเงื้อมือของพระองค์

รายงานโดย อะบูดาวูด

เล่าจาก อะบี ฮุร็อยเราะห์  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า เมื่อกษัตริย์ กิสรอตาย และหลังจากนั้น กษัตริย์กอยซอรตายท่านนบี กล่าวว่า สาบานต่อชีวิตของมุฮัมมัดอยู่ในเงื้อมมือของพระองค์ แท้จริงทรัพย์สมบัตินั้นจะต้องถูกนำมาแบ่งแจกจ่ายในหนทางของอัลลอฮ์ (ฟี สะบี ลิลละฮ์)

เล่าจากอาอิชะห์ จากท่านนบี ได้กล่าวว่า โอ้ประชากรของมุฮัมมัด สาบานต่ออัลลอฮ์ว่า ถ้าแม้นพวกท่านรู้ในสิ่งที่ข้าพเจ้ารู้ พวกท่านจะร้องไห้อย่างมากมาย และจะหัวเราะเพียงเล็กน้อย

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี มุสลิม

ผู้ใดสาบานจากิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮ์ แท้จริงเขาทำบาป

เล่าจาก อิบนิ อุมัรว่า แท้จริง นบีฯ ได้ตามกองคาราวานท่านอุมัรไป โดยทีอุมัรได้กล่าวสาบานด้วยบรรพบุรุษ ท่านเราะซูลุลลอฮ์จึงได้ประกาศแก่กองคาราวานว่าโปรดทราบแท้จริงอัลลอฮ์ผู้ยิ่งใหญ่และเกรียงไกรได้ห้ามพวกท่านสาบานด้วยบรรพบุรุษ ดังนั้นผู้ใดจะสาบานให้เขาจงสาบานด้วย อัลลอฮ์ หรือมิเช่นนั้น นิ่งเสีย ท่านอุมัรกล่าวว่า ข้าพเจ้าสาบานต่ออัลลอฮ์ ไม่ได้สาบานต่อบรรพบุรุษอีกเลย นับตั้งแต่ท่านนบีห้าม ไม่ว่าจะกล่าวเอง หรือกล่าวอ้างจากผู้อื่น

เล่าจาก อะบี ฮุร็อยเราะห์  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่าผู้ใดสาบานจากพวกท่านโดยกล่าวว่า ขอสาบานด้วย ล๊าต และอุซซา (เป็นเทวรูปในมักกะห์สมัยเถื่อน “ญาฮิลิยะห์”) ให้เขาเปลี่ยนคำสาบานเป็น ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่ควรสักการบูชา นอกจากอัลลอฮ์ และผู้ใดได้เชิญชวนท่านมาเล่นการพนัน ให้ท่านจงไปบริจาคทาน

เล่าจากซาบิต บิน เดาะห์ฮาก จากท่านนบี ได้กล่าวว่า ผู้ใดสาบานด้วยอื่นใดจากอิสลาม เขาก็จะเป็นอย่างที่กล่าว คือจะได้ตามศาสนานั้นๆ และผู้ใดฆ่าตัวตายด้วยสิ่งใด เขาก็จะถูกลงโทษด้วยสิ่งนั้นในนรก ญะฮันนัม และการแช่งด่าผู้ศรัทธาเท่ากับฆ่าเขา และผู้ใดกล่าวหาผู้ศรัทธาว่าเป็นผู้ทรยศ (กาเฟร) เท่ากับฆ่าเขา

รายงานหะดีษทั้งสามโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อิบนิ อุมัร ได้ยินชายผู้หนึ่งสาบานว่า ไม่ สาบานด้วยกะอะบะห์  อิบนิ อุมัรจึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านนบี กล่าวว่า ผู้ใดสาบานด้วยนามอื่น นอกจากอัลลอฮ์ เท่ากับเขาตั้งภาคี

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และอะห์มัด

เล่าจาก บุรอยดะห์ จากบิดาของเขา จากท่านนบี ได้กล่าวว่า ผู้ใดสาบานโดยกล่าวว่า แท้จริงพ้นจากอิสลาม ดังนั้นถ้าหากเขาโกหก เท่ากับเขาก็เป็นไปตามคำสาบาน ถ้าเขาพูดจริง เขาก็จะไม่กลับสู่อิสลามอย่างปลอดภัย

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

การสาบานเท็จ 417

เล่าจากอับดิลลาฮ์  บิน อัมร์ จากท่านนบี ได้กล่าวว่า บาปใหญ่นั้นคือ การตั้งภาคีกับอัลลอฮ์ การเนรคุณต่อบิดามารดา การสังหารชีวิต และการสาบานเท็จ (ล้วนเป็นบาปใหญ่)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

เล่าจากอับดิลลาฮ์  จากท่านนบี ได้กล่าวว่า ผู้ใดสาบาน บนสาบานเท็จ เพื่อตัดสิทธิ์ด้วยการสาบานนั้นจากทรัพย์ของมุสลิมคนหนึ่ง หรือ(ผู้เล่า)ได้กล่าวว่า ทรัพย์ของพี่น้องของเขา เขาจะพบกับอัลลอฮ์ในสภาพที่พระองค์โกรธกริ้วเขา อัลลอฮ์ได้ประทานโองการเพื่อยืนยันเรื่องนี้ว่า “แท้จริงบรรดาผู้ใดซึ่งนำเอาข้อสัญญาของอัลลอฮ์และคำสาบานมาแลกเปลี่ยนกับราคาเพียงเล็กน้อย ซึ่งพวกเขาเหล่านั้น จะไม่มีส่วนได้ใดๆ เป็นของพวกเขาในวันอาคิเราะห์” จนจบโองการ (3:77)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อินรอน บิน ฮุซอยน์ จากท่านนบี ได้กล่าวว่า ผู้ใดได้สาบานบนการสาบานที่เขาถูกกำหนดให้ (และเขาได้สาบานเป็นเท็จตามนั้น) ให้เขาจงเตรียมตัวที่อยู่ และนั่งด้วยใบหน้าของเขาอยู่ในไฟนรก

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด

เล่าจาก ยาบิร จากท่านนบี ได้กล่าวว่า คนหนึ่งคนใด จะไม่สาบาน ณ มิมบัร (แท่นเทศนา) ของข้าพเจ้านี้ โดยเป็นสาบานที่เป็นบาป แม้เป็นการสาบานบนไม้มิสวาก (مِسْوَاكِ – Tooth Brush) (ไม้สำหรับถู แปรงฟันของชาวอาหรับโบราณ) ที่ยังสดเขียวอยู่ก็ตาม นอกจากได้เตรียมที่อยู่ของเขาจากไฟนรก หรือไฟนรกนั้นจะเป็นของเขา

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ได้กล่าวว่า ได้มีชายสองคนพิพาทกันมายังท่านนบี ท่านได้ถามห่พยานหลักฐานจากโจทก์ ปรากฏว่าโจทก์ไม่มีพยานหลักฐาน ท่านจึงให้จำเลยสาบาน จำเลยสาบานด้วย อัลลอฮ์ ซึ่งไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่ควรเคารพสักการะนอกจากอัลลอฮ์ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ กล่าว่า ใช่ ความจริงท่านได้กระทำ[42] แต่ท่านได้รับการอภัยแล้วจากการที่กล่าว ลาอิ้ลาหะ อิลลัลลอฮุ

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

ไม่สมควรดันทุรังในคำสาบาน 418

เล่าจาก อะบี ฮุร็อยเราะห์  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า พวกเรามาทีหลัง (ในโลกนี้) แต่เป็นพวกที่ล่วงหน้าไปก่อนวันกิยามะห์ และได้กล่าวว่า สาบานต่ออัลลอฮ์ การที่คนใดจากพวกท่านดันทุรังด้วยคำสาบานของเขา (แล้วเกิดภัยขึ้น) ในครอบครับเขา จะเป็นบาปแก่เขายิ่งกว่าการที่เขาจะยอมจ่ายค่าปรับ (ที่เสียคำสาบาน) ซึ่ง อัลลอฮ์ได้กำหนดเหนือเขา (ดันทุรังสาบาน ทั้งๆที่จะหนีความผิดไม่พ้น พอเรื่องแดง ครอบครัวก็ต้องมาจ่ายค่าปรับอยู่ดี ตามกำหนดสินไหม)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

สาบานที่ไร้สาระ

เล่าจากอาอิชะห์ ได้กล่าวว่า ในการอธิบายคำดำรัสของอัลลอฮ์ที่ว่า “อัลลอฮ์ไม่เอาผิดกับพวกท่าน เพราะไร้สาระในคำสาบานของพวกท่าน” โดยกล่าวว่า โองการนี้ลงมาในคำพูดของคนที่พูดว่า ใช่ สาบานต่ออัลลอฮ์ และ ใช่ สาบานต่ออัลลอฮ์ (รับปากสาบานมั่วไปหมด ทั้ง รับและไม่รับว่าจะสาบาน)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

เล่าจากอาอิชะห์ ได้กล่าวว่า แท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์ กล่าว่า มันเป็นคำพูดของชายที่อยู่ภายในบ้านของเขา คือ ไม่ สาบานต่ออัลลอฮ์ และ ใช่ สาบาน ต่ออัลลอฮ์ (ทั้ง รับและไม่รับว่าจะสาบาน)

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด อิบนุ ฮิบบาน และบัยหะกี

การสาบานขี้นอยู่กับเจตนาของผู้ขอให้สาบาน 419

เล่าจาก อะบี ฮุร็อยเราะห์  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า คำสาบานขึ้นอยู่กับเจตนาของผู้ขอ ให้สาบาน และในบางรายงาน คำสาบานของ่านขึ้นอยู่กับสิ่งที่เพื่อนของท่าน(คือผู้ที่ขอให้ท่านสาบาน) จะยืนยันว่าท่านพูดจริง

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจาก สุวัยด์ บิน ฮันฎอละห์ ได้กล่าว่า พวกเราเจตนาออกไปหาท่านนบี และท่าน วาอิล บิต ฮุจร์ ได้ร่วมไปด้วย ต่อมาศัตรูของของวาอิล ได้จับตัวเขาไป พวกเขาไม่สบายใจที่จะสาบาน ข้าพเจ้าจึงได้สาบานว่าเขาเป็นน้องชายของข้าพเจ้า ศัตรูจึงได้ปล่อยตัวเขา จากนั้นพวกเราได้มาถึงท่านนบี ข้าพเจ้าจึงเล่าให้ท่านนบีฟังว่า พรรคพวกไม่สบายใจที่จะสาบาน ข้าพเจ้าจึงได้สาบานว่า เขาเป็นน้องชายของข้าพเจ้า ท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่าท่านพูดถูกแล้ว มุสลิมเป็นพี่น้องของมุสลิม

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และ อิบนุมายะห์ เป็นหะดีษศอลิฮะห์

ไม่เป็นการทวนคำสาบานพร้อมด้วยคำยกเว้น

อัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่า เจ้าอย่าพูดว่า แท้จริงข้าพเจ้าจะกระทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ นอกจากพูดว่า สุดแล้วแต่ อัลลอฮ์ต้องการ (อินชา อัลลอฮ์ - اِنْ شَاءَ اللَّهُ ) และเจ้าจงรำลึกถึงพระผู้อภิบาลของเจ้า เมื่อเจ้าหลงลืม และจงกล่าวว่า หวังว่าพระผู้อภิบาลของข้าพเจ้า จะชี้นำความถูกต้องแก่ข้าพเจ้าใกล้ชิดยิ่งกว่านี้

เล่าจาก อิบนิ อุมัร จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าว่า ผู้ใดได้กล่าวคำสาบานอย่างหนึ่ง แล้วเขากล่าวว่า ถ้าหาก อัลลอฮ์ทรงประสงค์ (อินชา อัลลอฮ์ - اِنْ شَاءَ اللَّهُ )  เขาจะได้รับการยกเว้น

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอิกริมะห์ จากท่านนบี ได้กล่าวว่า สาบานด้วย อัลลอฮ์ ข้าพเจ้าต้องทำสงครามกับพวกกุเรช (ท่านกล่าวสามครั้ง) หลังจากนั้นท่านได้กล่าวว่า ถ้าหาก อัลลอฮ์ทรงประสงค์ (อินชา อัลลอฮ์ - اِنْ شَاءَ اللَّهُ )

ในบางรายงานว่า หลังจากนั้นท่านหยุดนิ่งแล้วกล่าวว่า ถ้าหาก อัลลอฮ์ทรงประสงค์ (อินชา อัลลอฮ์ - اِنْ شَاءَ اللَّهُ ) ปรากฏว่าภายหลังจากนั้นท่านไม่ได้ทำสงครามกับกุเรช

 รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด บัยหะกี และอิบนุ ฮิบบาน

และตัวบทของ อิบนุ ฮิบบานว่า สาบานด้วย อัลลอฮ์ ข้าพเจ้าต้องทำสงครามกับพวกกุเรช (ท่านกล่าวสามครั้ง) หลังจากนั้นท่านได้หยุดนิ่งชั่วครู่ แล้วกล่าวว่า ถ้าหาก อัลลอฮ์ทรงประสงค์ (อินชา อัลลอฮ์ - اِنْ شَاءَ اللَّهُ )

บทที่ 2 421

การบนบาน نَذَرٌ

อัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่า “สิ่งใดที่พวกเจ้าได้จ่ายเป็นค่าใช้จ่าย หรือการบนบานใดที่พวกเจ้าบนบานไว้ แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรอบรู้ในสิ่งนั้น และสำหรับผู้ทุจริตนั้น (ไม่ยอมแก้บน) ย่อมไม่มีผู้ช่วยเหลือ”

อัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่า “หลังจากนั้นให้เขาชำระร่างกายให้สะอาด และให้พวกเขาจงทำตามที่พวกเขาได้บาบานไว้ และให้เขาตอวาฟ ณ บัยตุ้ลลอฮ์อันเก่าแก่”

อัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่า “พวกเขาจะทำตามที่ได้บนบานไว้อย่างสมบูรณ์ และพวกเขากลัววันหนึ่งซึ่งโทษทัณฑ์ของมันบินว่อนอยู่ทั่วไป และพวกเขาจะให้อาหารทั้งที่ชอบมันแก่คนอนาถา مِسْكِيْنٌ , اَلْفَقِراء(คนยากจนข้นแค้น) เด็กกำพร้า يَتِيْمِ – orphan และเชลยศึก

เล่าจาก อิบนิ อุมัร ได้กล่าว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้ห้ามการบนบานและได้กล่าวว่า เพราะความจริงมัน(การบนบาน) ไม่สามารถป้องกันสิ่งใดได้ แต่การบนบานนั้นจะเป็นเหตุให้ถูกนำออกมาจากตระหนี่ถี่เหนียว بَخِيْلُ – stingy

เล่าจาก อะบี ฮุร็อยเราะห์  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า แท้จริงการบนบานนั้น จะไม่ทำให้สิ่งใดเข้ามาใกล้ลูกหลานอาดัม โดยที่อัลลอฮ์ไม่ได้กำหนดสิ่งนั้นไว้ให้แก่เขา แต่การบนบานนั้น จะตรงกับกำหนดของอัลลอฮ์ นั่นมันก็จะเป็นเหตุให้ถูกนำออกมาจากคนตระหนี่ สิ่งที่คนตระหนี่ไม่เคยตั้งใจจะนำออกมา

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอาอิชะห์ จากท่านนบี ได้กล่าวว่า ผู้ใดบนบานว่าจะภักดีต่ออัลลอฮ์ (يُطِيْعَ اللَّهُ - طَاعَهٌ) ดังนั้นจงให้เขาภักดีเถิด และผู้ใดที่บนบานว่า จะทำความชั่วต่ออัลลอฮ์ ดังนั้นอย่าให้เขาทำชั่วต่ออัลลอฮ์เลย

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อิมรอน บิ ฮุซัยนิ จากท่านนบี ได้กล่าวว่า ที่ดีที่สุดของพวกท่านทั้งหลายคือ ผู้ที่อยู่ในยุคของข้าพเจ้า หลังจากนั้นคือผู้ที่อยู่ในยุคถัดไป อิมรอนได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่ทราบว่า ท่านนบี กล่าวสองหรือสามครั้ง และท่านนบีกล่าวต่อไปอีกว่า หลังจากยุคของข้าพเจ้า(นบีฯ) ภายหลังจะมีคนพวกหนึ่ง พวกเขาบาบานไว้แต่ไม่ทำตามสิ่งที่บนบานไว้ พวกเขาจะทุจริต ไว้ใจไม่ได้ พวกเขาจะให้การเป็นพยานโดยไม่ได้ถูกเชิญให้เป็นพยาน และความอ้วนพลีจะปรากฏในหมู่พวกเขา

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และนะซาอี

ได้มีชายคนหนึ่งเดินมาหาท่านนบี ในวันที่เข้าพิชิตมักกะห์แล้ว เขากล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ แท้จริงข้าพเจ้าบนบานต่ออัลลอฮ์ว่า ถ้าหาก อัลลอฮ์ให้ท่าน(นบี)พิชิตมักกะห์ได้ ข้าพเจ้าจะละหมาดที่ บัยติลมักดิส (بَيْتُ الْمَقْدِسِ – قُدُّوْسٌ – ศักดิ์สิทธิ์) สองเราะกะอัต ท่านนบี ได้กล่าวว่า ท่านจงละหมาดที่นี่ (มัสญิดิลหะรอม[43]) ต่อมา เขาได้กลับมาถามอีก(เพื่อความมั่นใจ) ท่านนบี ได้กล่าวว่า ท่านจงละหมาดที่นี่ และเขาก็จากไป แล้วย้อนถามซ้ำอีก ท่านนบี ได้กล่าวว่า แล้วแต่ท่านเถิด และได้มีเพิ่มเติมในบางรายงานว่า สาบานต่อผู้ซึ่งได้แต่งตั้ง มุฮัมมัดพร้อมด้วยสัจธรรม ถ้าหากท่านได้ละหมาดที่นี่ (บัยตุลลอฮ์) มันก็จะทดแทนให้ท่านจากการไปละหมาดที่ บัยติลมักดิส

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด บัยหะกี และฮากีม เป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

ได้มีหญิงคนหนึ่งเดินมาหาท่านนบี และได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ข้าพเจ้าบนบานว่าจะตีกลองเหนือศีรษะท่าน ท่านนบีได้ตอบว่า จงทำตามคำบนบานของเธอนั้นให้สมบูรณ์เถิด หญิงคนหนึ่งได้กล่าวว่า แท้จริงข้าพเจ้าบนบานว่าจะเชือด ณ สถานที่แห่งหนึ่ง (หล่อนระบุชื่อสถานที่ที่เป็นที่ตั้งรูปปั้น) ท่านนบีกล่าวว่า เพื่อรูปปั้นหรือ หล่อนตอบว่า ไม่ใช่ ท่านนบีกล่าวซ้ำอีกว่า เพื่อรูปปั้นหรือ หล่อนตอบว่า ไม่ใช่ เธอจงทำตามคำบนบานของเธอนั้นให้สมบูรณ์เถิด

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี เป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

ให้แก้บนแทนคนตาย 422

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ได้กล่าว่า ท่านสะอัด บิน อุบาดะห์ ได้เรียนถามท่านนบี ในเรื่องการบนบานที่ติดค้างอยู่กับมารดา ซึ่งเสียชีวิตไปก่อนแล้ว ท่านนบี ตอบว่า ท่านจงแก้บนแทนมารดาที่เสียชีวิตไปแล้วเถิด

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ว่า ได้มีชายคนหนึ่งเดินมาหาท่านนบี แล้วกล่าวว่า พี่สาวข้าพเจ้าบนบานไว้ว่าจะทำฮัจญ์ แต่หล่อนเสียชีวิตไปก่อนแล้ว ท่านนบี ตอบว่า ถ้าหากหล่อนติดค้างหนี้สินอยู่ ท่านจะใช้หนี้แทนหล่อนไหม เขาตอบว่า ใช้หนี้แทนให้ครับ ท่านตอบว่า ดังนั้นท่านจงใช้หนี้ให้อัลลอฮ์เถิด (ไปทำฮัจญ์แทนพี่สาว) เพราะอัลลอฮ์นั้นสมควรจะใช้หนี้ยิ่งกว่า

รายงานหะดีษโดย บุคอรี นะซาอี  ضعيف

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ว่า ได้มีหญิงคนหนึ่งได้โดยสารเรือเดินทะเล และหล่อนได้บนบานไว้ว่า ถ้าหาก อัลลอฮ์ให้เดินทางโดยปลอดภัย แล้วจะถือศิลอดหนึ่งเดือน ปรากฏว่าการเดินทางนั้นปลอดภัยดี แต่หล่อนยังมิทันได้ถือศิลอดแก้บน หล่อนได้เสียชีวิตไปก่อน บุตรสาวหรือน้องสาวหล่อนมาถามท่านนบี ในเรื่องนี้ ท่านตอบว่า จงถือศิลอดทดแทนหล่อนเสีย

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

ไม่ถือว่าเป็นการบนบานในสิ่งที่ตนไม่สามารถ และไม่เป็นการบนบานในสิ่งที่เป็นความชั่ว

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ว่า ขณะที่ท่านนบี กำลังคุตบะห์ (แสดงธรรมเทศนา)อยู่นั้น บังเอิญมีชายคนหนึ่งยืนอยู่กลางแดด ท่านนบีจึงถามถึงชายผู้นั้น บรรดาเหล่าเศาะฮาบะห์ตอบว่า เขาคือ อะบูอิสรออีล เขาบนบานว่าจะยืน จะไม่นั่ง จะไม่อยู่ในร่ม จะไม่พูด จะถือศิลอด ท่านนบี จึงกล่าวว่า จงใช้ให้เขาพูด ให้เขาอยู่ในที่ร่ม ให้เขานั่ง ให้เขาถือศิลอดให้ครบเดือน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อะบี ฮุร็อยเราะห์  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า ได้พบชายชราคนหนึ่งเดินอยู่ระหว่างบุตรชายทั้งสองข้าง โดยเข้าปีกไปกัน ท่านนบี ถามว่า ชายผู้ชรานี้เป็นอย่างไร บุตรชายทั้งสองตอบว่า โอ้แท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์บิดาเขาได้บนบานไว้ว่า จะเดินไปยัง บัยตุลลอฮ์ ท่านนบี ได้กล่าวว่า โอ้ชายชรา (اَلْشَيْغُ) ท่านจงขี่พาหนะเถิด แท้จริงอัลลอฮ์ร่ำรวยเกินกว่าจะต้องการอะไรจากท่าน และเกินกว่าจะต้องการ การบนบานของท่าน

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด และติรมิซี 423

ผู้ใดบนบานว่าจะบริจาคทานด้วยทรัพย์สิน ของเขาตกเป็นการบนบานเพียงหนึ่งในสาม 425

เล่าจาก กะอับ บิน มาลิก ได้กล่าวว่า แท้จริงส่วนหนึ่งจากการกลับตัว (เตาบะห์) ของข้าพเจ้าคือ การที่ข้าพเจ้าจะสละทรัพย์ของข้าพเจ้าเป็นทานเพื่ออัลลอฮ์และเราซูลุลลอฮ์ของพระองค์ ดังนั้นท่านนบี จึงได้กล่าวว่า จงเก็บทรัพย์บางส่วน มันเป็นการดีแก่ท่าน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี โดยมีรายงานเพิ่มเติมว่า ดังนั้นข้าพเจ้า(กะอับ) ได้กล่าวว่า แท้จริงข้าพเจ้าได้เก็บเอาส่วนของข้าพเจ้าที่คอยบัรไว้

เล่าจาก กะอับ บิน มาลิก ได้กล่าวแก่ท่านนบี หรืออะบู ลุบาบะห์ หรือใครที่อัลลอฮ์ประสงค์ได้กล่าวแก่ท่านนบี ว่า แท้จริงส่วนหนึ่งจากการกลับตัว(เตาบะห์)ของข้าพเจ้า คือ ข้าพเจ้าจะอพยพออกจากบ้านเรือนพรรคพวกของข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าได้ทำความผิดในบ้านนี้ และข้าพเจ้าจะสละทรัพย์ทั้งหมดให้เป็นทาน ท่านนบี ได้กล่าวว่า เพียงพอแล้ว แค่หนึ่งในสาม (1/3)

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และอะห์มัด

เล่าจาก กะอับ บิน มาลิก ได้กล่าวว่า แท้จริงส่วนหนึ่งจากการกลับตัว(เตาบะห์)ของข้าพเจ้าคือ ข้าพเจ้าจะสละทรัพย์ทั้งหมดให้เป็นทานเพื่ออัลลอฮ์และเราซูลุลลอฮ์ของพระองค์ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ กล่าว่า ไม่  ข้าพเจ้า(กะอับ)จึงกล่าวว่า ครึ่งหนึ่งจากทรัพย์ของข้าพเจ้า ท่านกล่าวว่า ไม่ ข้าพเจ้า(กะอับ)จึงกล่าวว่า หนึ่งในสามจากทรัพย์ของข้าพเจ้า ท่านกล่าวว่า ได้ ข้าพเจ้า(กะอับ) แท้จริงข้าพเจ้าได้เก็บเอาส่วนของข้าพเจ้าที่คอยบัรไว้

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด

ยอมให้ทวนคำสาบาน และบนบานโดยต้องเสียค่าปรับ(กัฟฟาเราะห์) 426

อัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่า “แท้จริงอัลลอฮ์ได้กำหนดแก่พวกท่านไว้แล้ว ในการแก้คำสาบานของพวกท่าน (ด้วย กัฟฟาเราะห์) และพระองค์เป็นผู้ปกครองพวกท่านและทรงรอบรู้ทรงเชี่ยวชาญยิ่ง” (66:2 / قَدۡ فَرَضَ ٱللَّهُ لَكُمۡ تَحِلَّةَ أَيۡمَـٰنِكُمۡ‌ۚ وَٱللَّهُ مَوۡلَٮٰكُمۡ‌ۖ وَهُوَ ٱلۡعَلِيمُ ٱلۡحَكِيمُ (٢)

เล่าจาก อะบีมูซา ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้มาหาท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  พร้อมด้วยคนกลุ่มหนึ่งจากพวก “อัชอะรียีน - اَلأشْعَرِيِيْنَ “ ข้าพเจ้าบังเอิญพบท่านขณะที่ท่านกำลังโกรธ พวกเราได้ขอพาหนะจากท่าน ท่านได้สาบานว่าจะไม่ให้พาหนะขับขี่แก่พวกเรา ต่อมาภายหลังท่านได้กล่าวว่า สาบานต่ออัลลอฮ์ ถ้าหาก อัลลอฮ์ทรงประสงค์ ข้าพเจ้า(ท่านนบี[44])จะไม่สาบานบนการสาบานใดๆ ต่อมาข้าพเจ้า อาจพบว่าอย่างอื่นดีกว่าที่ได้สาบานไว้ นอกจากข้าพเจ้าจะนำของที่ดีกว่านั้นมา(ปฏิบัติ) และข้าพเจ้าได้ยอมเสียค่าปรับการสาบานนั้น

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี และตัวบทของมุสลิมว่า ชายคนหนึ่งได้อยู่กับท่านนบี ซ.ล.  จนดึก ภายหลังเขาได้กลับไปยังครอบครัวเขา เขาพบเด็กๆนอนหลับอยู่ ต่อมาภรรยาของเขาได้นำอาหารให้เขา เขาได้สาบานว่าจะไม่รับประทาน เพราะลูกๆของเขานอนหลับอยู่ ภายหลังได้ประจักแก่เขา(เขาจึงกลับคำ – ภรรยาอาจจะอธิบายว่าลูกๆได้กินอาหารกันเรียบร้อยแล้วจึงได้หลับไปก่อนท่าน) และได้รับประทานอาหาร ต่อมาเขาได้มาหาท่านนบี เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ท่านฟัง ท่านได้กล่าวว่า ผู้ใดได้สาบานบนการสาบานอย่างหนึ่ง แล้วต่อมาเขาพบสิ่งอื่นที่ดีกว่าที่สาบานไว้ ให้เขาจงนำสิ่งที่ดีกว่ามาปฏิบัติ และให้เขาจงเสียค่าปรับแทนคำสาบานของเขา และตัวบทของมุสลิมและนะซาอีว่า และแท้จริงข้าพเจ้าขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ถ้าหาก อัลลอฮ์ทรงประสงค์ (اِنْ شَاءَ اللَّهُ-อ่านว่า อินชา อัลลอฮ์) ข้าพเจ้าจะไม่สาบานบนการสาบานใดๆ ที่ข้าพเจ้าพบว่าอย่างอื่นดีกว่าที่สาบานไว้ นอกจากข้าพเจ้าจะจ่ายค่าปรับ แทนการสาบาน และนำสิ่งที่ดีกว่ามาปฏิบัติ และตัวบทของมุสลิมและติรมิซี และ อะบูดาวูดว่า ผู้ใดรายงานบนการสาบานใดๆ และพบว่าอย่างอื่นดีกว่าที่สาบานไว้นั้น ให้เขาจงเสียค่าปรับแทนคำสาบานของเขา และให้เขาจงกระทำสิ่งที่ดีกว่า

เล่าจาก อุกบะห์ บิน อามีร ร.ฎ. [45]  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ค่าปรับของการบนบานก็เท่ากับค่าปรับของการสาบาน (كَفَّارَةُ اَلنَّذْرِ كَفَّارَةُ يَمِيْنٍ) *   ขอ อัลลอฮ์ได้โปรดประทานทางนำที่ถูกต้อง - نَسْألُ اللَّهَ التَّوْفِيْقَ وَاللَّهُ أعْلَمُ

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

บทสุดท้าย 427

ค่าปรับ (กัฟฟาเราะห์) ของการบนบานก็เท่ากับค่าปรับของการสาบาน

อัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่า “อัลลอฮ์จะไม่เอาผิดพวกท่านในการสาบาน ที่ไม่ได้จงใจของพวกท่าน แต่พระองค์จะเอาความผิดพวกท่านในสิ่งที่พวกท่านตั้งใจสาบาน ดังนั้น ค่าปรับของการสาบานคือ - ให้อาหารหนึ่งมื้อแก่คนยากจนสิบคน จากอาหารชนิดพื้นฐานที่พวกท่านใช้เลี้ยงครอบครัว - หรือชุดนุ่งห่มแก่พวกเขา(สิบคน) - หรือปลดปล่อยทาสีหนึ่งคนให้เป็นอิสระ - หรือถ้าผู้ใดไม่มีความสามารถให้ถือศีลอดสามวัน นั่นเป็นค่าปรับของการสาบาน และให้พวกท่านรักษาคำสาบาน เช่นนั้นแหละที่พระองค์อัลลอฮ์ชี้แจงแก่พวกท่าน ซึ่งโองการต่างๆของพระองค์ หวังว่าท่านทั้งหลายจะรู้สำนึกในบุญคุณ” (سُوۡرَةُ المَائدة 5:89)

เล่าจาก อัซซาอิบ บิน ยะซีด (ร.ด) ได้กล่าวว่า ปรากฏว่า หนึ่งศออุ[46] (اَلصَّاعُ) ในสมัยท่านนบี ซ.ล.  นั้นเท่ากับ หนึ่งมุดกับอีกหนึ่งส่วนสาม โดยพิจารณา มุดของพวกท่านในปัจจุบันนี้ แต่ได้เพิ่มปริมาณของศออุ ในสมัยอุมัร อิบนิ อับดิลอะซีซ[47] As-Sa'ib bin Yazid said, "The Sa' at the time of the Prophet (ﷺ) was equal to one Mudd plus one-third of a Mudd of your time, and then it was increased in the time of Caliph `Umar bin `Abdul `Aziz." عَنِ السَّائِبِ بْنِ يَزِيدَ، قَالَ كَانَ الصَّاعُ عَلَى عَهْدِ النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم مُدًّا وَثُلُثًا بِمُدِّكُمُ الْيَوْمَ فَزِيدَ فِيهِ فِي زَمَنِ عُمَرَ بْنِ عَبْدِ الْعَزِيزِ‏.‏

ท่าน นาฟิอะ ร.ฎ.  [48]ได้กล่าวว่า อิบนุอุมัร ได้เคยให้ซะกาตฟิตรีด้วย “มุด” ของท่านนบี ซ.ล.  ที่เป็นมุดในสมัยก่อน และในการจ่ายค่าปรับสาบาน ด้วย “มุด”ของท่านนบี

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

เล่าจาก อะบี อุมามะห์ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า ชายมุสลิมคนใดได้ปลดปล่อยทาสชายมุสลิมให้เป็นอิสระ ทาสนั้นจะเป็นเครื่องไถ่ตัวเขาจากไฟนรก ทุกอวัยวะของทาสจะช่วยให้อวัยวะจากร่างของเขาหลุดพ้น และชายมุสลิมคนใด ได้ปลดปล่อยทาสีมุสลิมสองคนให้เป็นอิสระ  ทาสีมุสลิมสองคนนั้นจะเป็นเครื่องไถ่ตัวเขาจากไฟนรก ทุกอวัยวะของทาสีทั้งสองจะช่วยให้อวัยวะจากร่างของเขาหลุดพ้น และหญิงมุสลิม(มุสลิมะห์)คนใดได้ปลดปล่อยทาสีมุสลิมให้เป็นอิสระ ทาสีมุสลิม นั้นจะเป็นเครื่องไถ่ตัวเขาจากไฟนรก นรก ทุกอวัยวะของทาสีจะช่วยให้อวัยวะจากร่างของเขาหลุดพ้น

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจาก มุอาวิยะห์ บิน หะกัม ว่า ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ข้าพเจ้ามีทาสีคนหนึ่ง ข้าพเจ้าตบหล่อนอย่างแรง ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้แสดงให้ข้าพเจ้าเห็นว่าการกระทำนั้นเป็นเรื่องใหญ่ ข้าพเจ้าจึงได้ถามว่า จะต้องปลดปล่อยทาสีนี้หรือไม่ ท่านนบีตอบว่า จงไปนำตัวหล่อนมาพบ เมื่อนำตัวหล่อนมาพบท่านนบีแล้ว ท่านถามว่า อัลลอฮ์อยู่ไหน หล่อนตอบว่า อยู่บนฟ้า และท่านนบีถามต่ออีกว่า แล้วข้าพเจ้าเป็นใคร หล่อนตอบว่า  ท่านเป็น ศาสนทูตของอัลลอฮ์ ท่านนบีจึงได้กล่าวว่า จงปล่อยนางเป็นอิสระจากทาส เพราะความจริงแล้วนางคือผู้ศรัทธา

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และมุสลิม

ภาค สัตว์ที่ถูกล่าและสัตว์ที่ถูกเชือด 429

มีสี่ตอน และตอนสุดท้าย أرْبَعَةُ فَصُولٌ وَ خَاتَمَةٌ

ตอนที่ 1 สัตว์ที่ศาสนาอนุญาตให้ทานได้

อัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่า ได้อนุมัติแก่พวกท่าน ซึ่งบรรดาปศุสัตว์ทั้งหลาย ยกเว้นสัตว์ที่ได้ถูกแจ้งให้พวกท่านทราบ

เล่าจาก อะบีมูซา ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าเห็นท่านนบี ซ.ล.  รับประทาน ไก่

รายงานหะดีษโดย บุคอรี ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อิบนิ อะบี เอาฟา ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า พวกเราออกทำสงครามพร้อมกับท่านนบี เจ็ดสงคราม หรือหก พวกเราได้เคยรับประทาน ตั๊กแตน (اَلْجَرَادَ - Locusts)

เล่าจาก อะนัส ได้กล่าวว่าเราได้ติดตามกระต่ายตัวหนึ่ง ขณะนั้นพวกเราอยู่ที่ “มัรริด ดะห์รอน - مَرِ الظَّهْرَانِ” กลุ่มชนทั้ง้หลายก็ได้พยายามติดตาม ในที่สุด ข้าพเจ้าจับตัวมันได้ จึงได้นำมาหา อะบี ฏอลหะห์ เขาได้เชือดมัน และได้ส่งสะโพกทั้งสองให้ท่านนบี หรือ(ผู้เล่าได้กล่าวว่าขาอ่อนของมันทั้งสองข้างไปให้ท่านนบี และท่านได้รับมันไว้

เล่าจาก เคาะลิด บิน วาลีด ร.ฎ.  ว่า ตัวเขาและท่านนบี ได้เข้าไปในบ้าน ท่านหญิงมัยมุนะห์ ต่อมาแย้ย่างได้ถูกนำมา ท่านนบี ซ.ล.  ได้เอื้อมมือไปหยิบมัน ภรรยาบางคนของท่าน ได้กล่าวขึ้นว่า พวกท่านจงเรียนให้ท่านนบทราบก่อนว่า สิ่งที่ท่านจะรับทานเข้าไปนั้นเป็นอะไร พวกเขากล่าวว่า มันคือแย้ โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ท่านจึงยกมือขึ้น ข้าพเจ้า (เคาะลิด)จึงถามท่านว่า มันเป็นสิ่งต้องห้ามกระนั้นหรือ โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ท่านตอบว่าไม่ใช่ แต่มันไม่เคยมีในกลุ่มชนของข้าพเจ้า(นบี) ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่ชอบมัน เคาะลิดกล่าวว่า ข้าพเจ้าจะหยิบมัน และรับประทานมัน โดยท่านนบี ซ.ล. มองดูเฉยๆ

เล่าจาก ยาบิร ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้ห้ามในวันคอยบัรจากเนื้อลาบ้าน และอนุญาตเนื้อม้า

รายงานหะดีษทั้งสี่โดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อัสมาอ์ ร.ฎ.  ไดกล่าวว่าพวกเราได้เชือดม้าในสมัยท่านนบี ซ.ล.  และพวกเราได้รับประทานมัน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

เล่าจาก อะบี เกาะตาดะห์ ร.ฎ.  ว่าแท้จริงตัวเขาได้ลาป่า มาตัวหนึ่งในสภาพที่เขาไม่ได้ครองอี้ห์รอม เขาจึงได้นำลาป่าไปยังเพื่อนๆ ของเขาที่ครอง อี้ห์รอม ดังนั้นพวกเขาจึงได้รับประทานมัน ได้มีพวกเขาบางคนกล่าวว่า พวกเราควรถามท่านนบีเสียก่อนถึงเรื่องลาป่า ดังนั้นพวกเราจึงไปถามท่านนบี ท่านตอบว่า ความจริงพวกท่านทำดีแล้ว พวกท่านยังมีเนื้อลาป่าเหลืออยู่บ้างไหม พวกเราตอบว่า มี ท่านนบีกล่าวว่า ดังนั้นพวกท่านจงมอบให้ข้าพเจ้าเป็น”ฮะดิยะห์(ของกำนัล “ท่านนบีรับเศาะดะเกาะห์ไม่ได้”) ต่อมาพวกเราจึงได้นำมันมามอบให้ท่านนบี และท่านได้รับประทานมันในสภาพครองอี้ห์รอม

รายงานหะดีษโดย บุคอรี นะซาอี

เล่าจาก ยาบิร ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ถามท่านนบี ซ.ล.  ถึง “ดอบุอิ[49]”  ท่านได้ตอบว่ามันเป็นสัตว์เปรียว และในตัวมันนั้น ต้องเสียค่าปรับเป็นแกะ เมื่อผู้ครองอิ้ห์รอมได้ล่าตัวมันมาได้

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อัมร์ บิน ซาฟินะห์ ร.ฎ.  จากบิดาของเขาได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้รับประทานเนื้อ “ฮุบารอ -  حُبَارَى[50] พร้อมกับท่านนบี ซ.ล.  

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจาก อับดิลลอฮ์ บิน อัมร์ จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า ไม่มีมนุษย์คนใดที่ฆ่านกกระจอกหรือเล็กกว่านั้น โดยไม่ให้สิทธิ์แก่มัน นอกจากอัลลอฮ์ตะอาลาจะสอบสวนเขาเกี่ยวกับนกกระจอกนั้น ได้มีผู้ถามว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ อะไรคือสิทธิ์ของนกกระจอก ท่านตอบว่า เขาจะต้องเชือดมันและรับประทานมันโดยจะต้องไม่ตัดหัวมัน ขว้างทิ้ง

รายงานหะดีษโดย นะซาอี ชาฟิอี และฮากีม

และได้มีผู้ถามท่านนบี ซ.ล.  ถึงเนย (اَلسَّمْنِ – Butter” a natural oily or greasy”)  เนยแข็ง(اَلجُبْنِ - Cheese) และลาป่า ท่านได้ตอบว่าสิ่งที่อนุญาต (ฮาลาล)นั้นคือสิ่งที่อัลลอฮ์ได้อนุญาตไว้ในคัมภีร์ของพระองค์ และสิ่งต้องห้าม(หะรอม)นั้นคือสิ่งที่อัลลอฮ์ไม่อนุญาต(ห้าม)ไว้ในคัมภีร์ของพระองค์ และสิ่งที่พระองค์ไม่ได้ระบุถึงมัน ก็ถือเป็นสิ่งที่พระองค์อภัยให้

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ปรากฏว่า ชาว ญาฮิลิยะห์นั้นเคยรับทานหลายสิ่งหลายอย่าง และไม่ยอมรับทานหลายสิ่งหลายอย่าง เพราะถือว่าเปรอะเปื้อน ต่อมา อัลลอฮ์ได้ส่ง นบีของพระองค์มา และได้ประทานคัมภีร์ของพระองค์ลงมา และได้อนุญาตสิ่งที่พระองค์อนุญาต และได้ห้ามสิ่งที่พระองค์ห้าม ดังนั้นสิ่งใดที่พระองค์อนุญาต ก็ให้รับประทานมัน และสิ่งใดที่พระองค์ห้ามก็ถือว่าเป็นสิ่งต้องห้าม และสิ่งที่พระองค์ไม่ได้ระบุถึงมัน ก็ถือเป็นสิ่งที่พระองค์อภัยให้ และอิบนิ อับบาสได้อ่านโองการที่มีความหมายว่า “จงประกาศเถิด โอ้มุฮัมมัดว่า ข้าพเจ้าไม่พบเลยในบทบัญญัติ ที่ถูกประทานลงมาเป็นวะฮีย์ยังข้าพเจ้าว่ามีสิ่งที่ต้องห้ามแก่ผู้ต้องการบริโภคที่จะบริโภคสิ่งนั้น นอกจากมันเป็นซากสัตว์ หรือเลือดที่ไหลริน หรือเนื้อหมูเพราะมันเป็นสิ่งโสโครก หรือเป็นสิ่งที่ฝ่าฝืนที่ถูกเปล่งนามอื่นจากอัลลอฮ์ที่มัน(สัตว์ที่เชือด)

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และฮากีม เป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

สัตว์ทะเลและซากของมัน 431

อัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่า ได้ถูกอนุมัติแกท่านทั้งหลายสัตว์ทะเล และอาหารทะเล เพื่ออำนวยความสุขแก่พวกท่าน และเพื่อนักเดินทาง

เล่าจาก ยาบีร ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้ส่งทหารม้าสามร้อยนาย ผู้นำคือ อะบู อุบัยดะห์ พวกเราออกไปคอยดักกองคาราวาน ทำการค้าของชาวกุเรช ต่อมาความหิวโหยได้เกิดขึ้นแก่พวกเรา จนพวกเราต้องกินใบไม้ ดังนั้นต่อมาจึงถูกเรียกว่ากองทหารใบไม้ และท้องทะเลได้หยิบยื่นปลาให้ตัวหนึ่ง เรียกว่า ปลาวาฬ พวกเราได้รับประทานมันครึ่งเดือน และเราได้ทาตัวเราด้วยไขมันของมัน จนร่างกายของเราดีขึ้น (ผู้เล่า)ได้กล่าวว่า ท่าน อะบู อุบัยดะห์ได้เอาซี่โครงของมันมาซี่หนึ่ง แล้วปักไว้ ปรากฏว่าผู้ขี่พาหนะสามารถรอดไปได้ และได้ปรากฏว่ามีชายคนหนึ่งในหมู่พวกเราเกิดความหิวจัด เขาได้เชือดอูฐสามตัว และภายหลังก็เชือดเพิ่มอีกสามตัว ต่อมาท่าน อะบู อุบัยดะห์ ได้ห้ามเขา

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

และตัวบทเจ้าของสุนันว่า คือน้ำทะเลสะอาด ซากตายของมันฮาลาล

เล่าจาก อิบนิ อุมัร ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าว่า เป็นที่อนุญาตแก่พวกเรา สองซากตายและสองเลือดสองซากตายคือปลาและตั๊กแตน และสองเลือดคือตับและม้าม

รายงานหะดีษโดย อิบนุ มายะห์ และฮากีม เป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

ตอนที่ 2 สัตว์ที่ศาสนาไม่อนุญาตให้รับทาน 432

อัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่า ได้ถูกกำหนดเป็นข้อห้ามเหนือท่านทั้งหลาย ซากตาย เลือด เนื้อหมู และสัตว์ที่ถูกเปล่งนามอื่นจากอัลลอฮ์ที่มัน (ก่อนจะฆ่ามัน) สัตว์ที่ถูกรัดคอ สัตว์ที่ถูกตีตาย สัตว์ที่ตกจากที่สูง สัตว์ที่ถูกชนตาย และสัตว์ที่สัตว์ร้ายได้กิน นอกจากที่ท่านทั้งหลายเชือด และสัตว์ที่เชือดสังเวยอื่นๆ

          ได้ถูกห้ามแก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งสัตว์ที่ตายเอง และเลือด และเนื้อสุกร และสัตว์ที่ถูกเปล่งนามอื่นจากอัลลอฮ์ ที่มัน (ขณะเชือด) และสัตว์ที่ถูกรัดคอตาย และสัตว์ที่ถูกตีตาย และสัตว์ที่ตกเหวตาย และสัตว์ที่ถูกขวิดตาย และสัตว์ที่สัตว์ร้ายกัดกิน นอกจากที่พวกเจ้าเชือดกัน และสัตว์ที่ถูกเชือดบนแท่นหินบูชา และการที่พวกเจ้าเสี่ยงทายด้วยไม้ติ้ว เหล่านั้นเป็นการละเมิด วันนี้ บรรดาผู้ปฏิเสธการศรัทธา หมดหวังในศาสนาของพวกเจ้าแล้ว ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่ากลัวพวกเขา และจงกลัวข้าเถิด วันนี้ข้าได้ให้สมบูรณ์แก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งศาสนาของพวกเจ้าและข้าได้ให้ครบถ้วนแก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งความกรุณาเมตตาของข้า และข้าได้เลือกอิสลามให้เป็นศาสนาแก่พวกเจ้าแล้ว ผู้ใดได้รับความคับขันในความหิวโหย โดยมิใช่เป็นผู้จงใจกระทำบาปแล้วไซร้ แน่นอนอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษผู้ทรงเมตตาเสมอ (อัลกุรอาน 5:3 سُوۡرَةُ المَائدة )

เล่าจาก อะนัส บิน มาลิก ร.ฎ.  ได้กล่าว่า เมื่อท่านนบี ซ.ล.  เข้าพิชิตคอยบัร พวกเราได้พบลาในหมู่บ้าน พสกเราได้นำมาต้ม ต่อมาท่านนบี ได้ประกาศว่า โปรดทราบแท้จริงอัลลอฮ์และเราะซูลของพระองค์ ได้ห้ามพวกท่านรับประทานเนื้อลาบ้าน (ยกเว้นลาป่า) เพราะแท้จริงมันเป็นสิ่งโสโครก จากการกระทำของชัยฏอน ดังนั้นหม้อจึงถูกเททิ้ง ความจริงน้ำและเนื้อในหม้อกำลังเดือดอยู่

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก มิกดาม บิน มะอฺดี กะริบะ ร.ฎ.  จากท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวว่า โปรดทราบ แท้จริงข้าพเจ้าได้รับคัมภีร์(อัลกุรอาน) และได้รับสิ่งที่เหมือนกับคัมภีร์พร้อมกัน(ซุนนะห์) โปรดทราบเกือบแล้วที่ชายคนหนึ่ง อิ่มหนำอยู่บนเตียงของเขา เขาจะกล่าวว่า พวกท่านทั้งหลายจงยึดมั่นต่อคัมภีร์อัลกุรอานนี้ ดังนั้นสิ่งใดที่พวกท่านพบในคัมภีร์ จากสิ่งที่ฮาลาล  ท่านทั้งหลายจงถือว่าสิ่งนั้นฮาลาล และถ้า  สิ่งใดที่พวกท่านพบในคัมภีร์ จากสิ่งที่ต้องห้าม ก็ให้ท่านทั้งหลายจงถือว่าสิ่งนั้นหะรอม[51] (ต้องห้าม) โปรดทราบจะไม่เป็นที่อนุญาตแก่พวกท่านลาบ้าน( ห้ามกิน) และสัตว์ที่มีเขี้ยวจากสัตว์ร้ายทุกชนิด ไม่เป็นที่อนุญาตแก่พวกท่านกับข้าวของที่ตกหล่นจากกาฟิรที่มีสัญญาสันติภาพ นอกจากเจ้าของจะไม่ติดเนื้อต้องใจกับมัน และผู้ใดที่ลงพำนักที่ชนกลุ่มหนึ่ง ดังนั้นให้ชนกลุ่มนั้นจงรับรองเขาเป็นอาคันตุกะ ถ้าหากพวกเขา(เจ้าบ้าน)ไม่ให้การรับรองแก่เขา(แขก) เขาก็มีสิทธิ์ติดตามเอาการรับรองพวกนั้น[52]

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจาก ยาบิร ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า จากท่านนบี ได้ห้ามพวกเราในวันคอยบัรจาก ล่อ (ลูกผสมระหว่างม้าและลา) และลาบ้าน โดยท่านไม่ไดห้ามเราจากม้า

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และมุสลิม

และได้มีผู้กล่าวถึงเม่น ท่านนบี ซ.ล.  ท่านได้กล่าวว่าเป็นสิ่งโสโครกจากบรรดาสิ่งโสโครก

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และอะห์มัด

ได้มีผู้เรียนถามท่านนบีซ.ล.  ถึง ดี๊บ (اَلْذِءْبِ – wolf – หมาป่า) ท่านได้ตอบว่า และจะรับประทานหมาป่ากันหรือ คนที่ยังมีความดีอยู่ในตัวเขา

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี และอิบนุ มายะห์

และได้มีผู้กล่าว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ข้าพเจ้ามาหาท่านเพื่อเรียนถามถึงสัตว์ที่เลื้อยคลานอยู่บนพื้นดิน ท่านจะว่าอย่างไร และเรื่องสุนัขจิ้งจอก (اَلْثَعْلَبٌ - Fox) ท่านกล่าวว่า แล้วใครจะรับประทานสุนัขจิ้งจอก (ห้ามรับประทาน)

รายงานหะดีษโดย อิบนุ มายะห์

เล่าจาก อะบี วากิด อัลลัยชี ได้กล่าวว่า ท่านนบี ได้มายังมะดินะห์ ขณะที่ชาวมะดินะห์กำลังนิยมผ่าตะโหงกอูฐ และนิยมตัดสะโพกแพะ ท่านได้กล่าวว่า สิ่งที่ถูกตัดออกจากร่างสัตว์เป็นๆ นั้น มันคือ ซากตาย (ห้ามรับประทาน)

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด

เล่าจาก อิบนิ อุมัร ร.ฎ.  ได้กล่าว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้ห้ามสัตว์ที่กินอุจจาระเป็นอาหาร และน้ำนมของมัน(ก็เป็นที่ต้องห้ามด้วย) และในบางรายงานว่า ท่านได้ห้ามสัตว์ที่กินอุจจาระเป็นอาหาร หากเป็นอูฐห้ามขี่มัน และห้มดื่มนมของมัน

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้ห้ามจากสัตว์ที่มีเขี้ยวงา จากสัตว์ดุร้ายทุกชนิด จากนก(สัตว์ปีก)ที่มีกรงเล็บทุกชนิด

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และมุสลิม

สัตว์ที่ห้ามฆ่า และสัตว์ที่ใช้ให้ฆ่า 434

เล่าจาก อะบี ฮุร็อยเราะห์  ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า แท้จริงมีมดตัวหนึ่งกัดท่านนบีท่านหนึ่งจากบรรดานบี ต่อมาท่านนบีนั้นได้ออกคำสั่งให้จัดการกับรังมดที่ตัวนั้นอาศัยอยู่ รังมดจึงถูกเผา ต่ออัลลอฮ์ได้ประทานโองการลงมายัง นบีท่านนั้นว่า เพราะมดตัวหนึ่งที่กัดท่าน ท่านถึงกับเผาทำลายประชากรหนึ่งจากบรรดาประชากรที่กล่าวตัสบีหะห์หรือ

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจาก ยาบิร ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้ห้ามรับประทานแมว และห้ามรับประทานราคาของมัน (ห้ามซื้อขาย และฆ่า)

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อับดิรเราะห์มาน บิน อุสมาน ว่าแท้จริงแพทย์คนหนึ่งเรียนถามท่านนบี ซ.ล.  ถึงเรื่องกบ ที่เขานำไปใช้ทำยา ท่านห้ามจากการฆ่ามัน

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด นะซาอี  และอะห์มัด

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้ห้ามฆ่าสัตว์สี่ชนิดคือ มด ผึ้ง นกฮุดฮุด(นกหัวหวาน)และนกซุร๊อด[53] (اَلْصُرَدِ)

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และอะห์มัด

เล่าจาก ยาบิร ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้ใช้พวกเราฆ่าสุนัข วันหนึ่งมีหญิงมาจากบ้านนอกพร้อมด้วยสุนัขของหล่อน พวกเราได้ฆ่าสุนัขนั้น ในภายหลังท่านนบีได้ห้ามฆ่าสุนัข และกล่าวเสริมอีกว่า ให้ฆ่าตัวที่มีสีดำและมีสองจุดเหนือตา มันเหมือนสุนัขชัยฏอน และในบางรายงานว่า ถ้าแม้ว่าสุนัขไม่ใช่ประชากรหนึ่งจากประชากรแล้ว ข้าพเจ้าจะต้องใช้ให้ฆ่ามัน ดังนั้นให้พวกท่านฆ่าตัวที่มีสีดำและมีสองจุดเหนือตา

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก สะอัด ว่า แท้จริงท่านนบีซ.ล.  ได้ใช้ให้ฆ่าจิ้งจก และท่านเรียกมันว่าเป็นผู้ละเมิดตัวน้อยๆ

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

เล่าจาก อะบี ฮุร็อยเราะห์  ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า ผู้ใดฆ่าจิ้งจกตัวหนึ่งโดยการตีครั้งแรก เขาจะได้เท่านั้นเท่านี้ความดี และผู้ใดฆ่าจิ้งจกโดยตีครั้งที่สอง เขาจะได้เท่านั้นเท่านี้ความดี ความดีน้อยกว่าทีเดียว และผู้ใดฆ่าจิ้งจกโดยตีครั้งที่สาม เขาจะได้เท่านั้นเท่านี้ความดี ความดีน้อยกว่าตีสองที

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด และติรมิซี

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้ให้ฆ่าสัตว์ห้าชนิดที่ชอบละเมิดทั้งในและนอกแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ คือ หนู แมงป่อง อีกา เหยี่ยว และสุนัขที่ดุร้าย

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ได้มีประชากร(ชาวบ้านกลุ่มหนึ่ง)หนึ่งของพวก บะนีอิสรออีลได้สาบสูญไป โดยไม่มีใครรู้ว่าประชากรนั้นทำอะไร และแท้จริงข้าพเจ้าไม่คิดว่าประชากรกลุ่มนั้นจะเป็นอะไร นอกจากหนู เพราะเมื่อนมอูฐถูกวางไว้ หนูมันจะไม่ยอมดื่ม และเมื่อนมแพะถูกวางไว้หนู มันจะมาดื่ม

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

งูที่พบในบ้านให้เตือนสามครั้ง 436

เล่าจาก อิบนิ อุมัร ร.ฎ.  ว่า ได้ยินท่านนบี ซ.ล.  ขณะคุตบะห์ (แสดงธรรมเทศนา)โดยท่านได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงฆ่างู และจงฆ่างูที่มีทางดำสองทางพาดหลัง และงูหางด้วน เพราะงูทั้งสองชนิดนี้จะทำให้ตาฝ้าฟาง และจะทำให้หญิงมีครรภ์แท้งบุตร ในขณะที่ข้าพเจ้าติดตามไล่งูตัวหนึ่ง เพื่อจะฆ่ามัน ท่าน อะบู ลุบาบะห์ได้ตะโกนบอกข้าพเจ้าว่า อย่าฆ่ามันข้าพเจ้าตอบไปว่า แท้จริงข้าพเจ้าได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้ใช้ให้ฆ่างูต่างๆ ท่าน อะบู ลุบาบะห์ได้กล่าวว่า แท้จริงท่านได้ห้ามหลังจากนั้น จากงูที่พบในบ้าน เพราะมันเป็นสัตว์ที่อายุยืน และในบางรายงาน วันหนึ่ง อิบนุ อุมัรได้อยู่ในบ้านที่ปรักหักพัง เขา แลเห็นความมันเลื่อมของญิน (جِنَ-Jinn)ในร่างของงู เขากล่าวว่า พวกท่านจงติดตามงูตัวนี้ และฆ่ามัน อะบู ลุบาบะห์ได้กล่าวว่า แท้จริงข้าพเจ้าได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ห้ามฆ่างูซึ่งพบในบ้าน นอกจากงูหางด้วน และงูที่มีทางดำสองทางพาดหลัง เพราะแท้จริงมันทั้งสองจะทำให้ตาฝ้าฟาง และทำให้สิ่งที่อยู่ในท้องผู้หญิงไหลออกมา และในบางรายงาน แท้จริงในนครมะดินะห์นั้น มีญินพวกหนึ่งเข้ารับอิสลาม ดังนั้นผู้ใดพบสิ่งใดจากบรรดางูเหล่านี้ให้เตือนก่อนสามครั้ง[54] ถ้าปรากฏยังอยู่หรือพบภายหลังให้ฆ่าได้[55]เพราะมันคือชัยฏอน และในบางรายงาน แท้จริงบ้านเรือนนี้มีงูอาศัยอยู่ ดังนั้นเมื่อท่านทั้งหลายได้พบเห็นสิ่งใดจากงู ให้ท่านเตือนมันสามครั้ง ถ้าหากมันไป ก็ปล่อยมันไป และถ้าหากมันไม่ไป ให้พวกท่านทั้งหลายฆ่ามันได้ เพราะมันเป็นกาฟิร

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจาก อะบี ลัยลา ร.ฎ.  ว่าแท้จริงท่านนบี ซ.ล.  ได้ถูกถามถึงงูในบ้าน ท่านตอบว่า เมื่อท่านทั้งหลายพบสิ่งใดจากงูภายในบ้านพักอาศัยของพวกท่าน ให้ท่านทั้งหลายจงกล่าวว่า ข้าพเจ้าขอสัญญาจากท่าน(งู) ซึ่ง นบีนุห์ได้เคยเอาจากท่าน(เอาขึ้นเรือ) ข้าพเจ้าขอสัญญาจากท่าน(งู) ซึ่งท่านนบีสุลัยมานได้เคยเอาจากพวกท่าน(เป็นทาสรับใช้) ว่าท่าน(งู)จะไม่ทำร้ายเรา ดังนั้นถ้าหากมันกลับมาอีกให้พวกท่าน(เจ้าบ้านผู้พบเห็น)ฆ่ามันได้

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

ตอนที่ 3 437

การล่าสัตว์ และการเชือดสัตว์

อัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่า และสัตว์ทั้งหลายที่พวกท่านฝึกสอนไว้ จากสัตว์ที่มีนิสัยทำร้ายสัตว์อื่น โดยพวกท่านสอนมันตามที่อัลลอฮ์ได้สอนพวกท่าน ดังนั้น พวกท่านทั้งหลายจงบริโภคสัตว์ที่พวกมันจับมาให้พวกท่าน และจงรีบกล่าวนามของอัลลอฮ์เหนือเหยื่อที่จับมาได้ และท่านทั้งหลายจงยำเกรงอัลลอฮ์ แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้สอบสวนอย่างรวดเร็ว

سُوۡرَةُ المَائدة يَسۡـَٔلُونَكَ مَاذَآ أُحِلَّ لَهُمۡ‌ۖ قُلۡ أُحِلَّ لَكُمُ ٱلطَّيِّبَـٰتُ‌ۙ وَمَا عَلَّمۡتُم مِّنَ ٱلۡجَوَارِحِ مُكَلِّبِينَ تُعَلِّمُونَہُنَّ مِمَّا عَلَّمَكُمُ ٱللَّهُ‌ۖ فَكُلُواْ مِمَّآ أَمۡسَكۡنَ عَلَيۡكُمۡ وَٱذۡكُرُواْ ٱسۡمَ ٱللَّهِ عَلَيۡهِ‌ۖ وَٱتَّقُواْ ٱللَّهَ‌ۚ إِنَّ ٱللَّهَ سَرِيعُ ٱلۡحِسَابِ (٤)

เล่าจาก อะบี ฮุร็อยเราะห์  ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า ผู้ใดเอาสุนัขมาเลี้ยง นอกจากจะเลี้ยงสุนัขเลี้ยงปศุสัตว์ สุนัขล่าสัตว์ สุนัขเฝ้าไร่สวน ผลบุญของเขาจะลดลงไปทุกวัน วันละหนึ่งกิร็อต (หนึ่งกิร็อตเท่ากับภูเขา อุฮุด)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี ตัวบทของ บุคอรี มุสลิม ติรมิซี ว่า ผลบุญของเขาจะลดลงไปทุกวัน วันละสองกิร็อต

เล่าจาก อะดี บิน หาติม  ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ถามท่านนบี ซ.ล.  ถึงสัตว์ที่ล่ามาได้โดยเหยี่ยว ททท่านตอบว่า สิ่งใดที่มันจับมาให้ท่าน ก็จงรับทานเถิด

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี

เล่าจาก อะดี บิน หาติม  ว่าข้าพเจ้าได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  แท้จริงข้าพเจ้าจะส่งสุนัขที่ถูกฝึกหัดแล้วหลายตัวออกไป ต่อมาพวกมันจับสัตว์มาให้ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะกล่าวนาม อัลลอฮ์บนสัตว์ที่จับมาได้นั้น ท่านได้กล่าวว่า เมื่อท่านได้ส่งสุนัขที่ฝึกสอนแล้วของท่านออกไป และท่านได้กล่าวนาม อัลลอฮ์บนมัน(กลุ่มสุนัขนักล่า) ดังนั้นท่านจงรับประทานมันเถิด ถึงแม้สุนัขมันฆ่าเหยื่อตายมาได้ก็ตาม ตราบใดที่สุนัขฝูงนี้ที่ส่งไปไม่ได้ร่วมกันฆ่าเหยื่อ(ฆ่าโดยสุนัขตัวเดียว) ข้าพเจ้าถาม(ท่านนบี”ซ.ล.”)ว่า แท้จริงข้าพเจ้าได้ขว้างสัตว์เปรียวด้วยหอกสั้น และได้ขว้างไปถูกสัตว์นั้น ท่านนบีตอบว่า เมื่อท่านได้ขว้างหอกสั้นไปและมันได้เจาะ(ลำตัวสัตว์ จนเลือดไหล) ดังนั้นท่านจงรับประทานมันเถิด และถ้าหาก หอกสั้นไปถูกสัตว์ตามขวางของตัวมัน(ไม่ได้ทิ่มแทง แต่คล้ายกับว่าโดนตีด้วยหอก) ดังนั้นท่านอย่ารับประทานมัน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และตัวบทของบุคอรีและติรมิซีว่า ถ้าหากท่านได้ยิงสัตว์เปรียวแล้วหลังจากนั้น หนึ่งหรือสองวัน ไม่มีร่องรอยอย่างอื่น นอกจากลูกธนูของท่าน ดังนั้นให้ท่านจงรับประทาน และถ้าหากมันตกลงไปในน้ำ ดังนั้นท่านอย่ารับประทาน และตัวบทของบุคอรี และอะบีดาวูดว่า เขายิงสัตว์เปรียว ต่อมาได้ติดตามรอยของมันเป็นเวลาสองหรือสามวัน โดยมันตายด้วยลูกธนู(ที่ยังติดอยู่)ของท่าน ท่าน(ท่านนบี “ซ.ล.”)กล่าวว่า เขาจะได้รับประทานมัน ถ้าหาก อัลลอฮ์ทรงประสงค์ และตัวบทของมุสลิม อะบูดาวูด บุคคลใดที่พบสัตว์ที่ตนล่าได้หลังจากสามวันว่า ดังนั้นท่านจงรับประทานมันตราบเท่าที่มันยังไม่เน่า

ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  กล่าวว่า ผู้ใดอาศัยอยู่ในป่า นิสัยจะหยาบกระด้าง และผู้ใดล่าสัตว์เปรียวเขาเผลอไผล และผู้ใดมาสู่สุลฏอน เขาจะได้รับความวุ่นวาย

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และอับดุลลอฮ์ บิน มุฆอฟฟัล ได้เห็นชายคนหนึ่งกำลังขว้างก้อนหิน(เพื่อล่าสัตว์) เขากล่าวว่า ท่านอย่าขว้าง เพราะท่านนบี ซ.ล.  ได้ห้ามจากการขว้าง หรือท่านไม่ชอบการขว้าง และท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า แท้จริงการขว้างนั้นจะใช้ล่าสัตว์ที่ปราดเปรียวไม่ได้ และจะไม่ทำให้สัตว์บาดเจ็บ แต่ก้อนหินนั้นบางทีอาจทำให้ฟันหัก ตาแตก ต่อมาภายหลังอับดุลลอฮ์ ได้เห็นชายคนนั้นกำลังขว้างก้อนหินอยู่อีก เขากล่าวแก่ชายคนนั้นว่า ข้าพเจ้าจะเล่าให้ท่านฟังจากท่านนบี ว่าท่านห้ามจากการขว้างและท่านก็ยังคงขว้างอยู่อีก ข้าพเจ้าจะไม่พูดอย่างนั้นอย่างนี้กับท่านอีกต่อไป (เขาไม่พูดด้วยกับชายคนขว้างสัตว์หนึ่งเดือนหรือหนึ่งปี)

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

การเชือด 439

เล่าจาก รอเฟียอ์ บิน เคาะดีจ ว่า ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  แท้จริงพวกเราจะเผชิญกับสัตว์ที่จะเชือดมันในวันพรุ่งนี้ โดยเราไม่มีมีด (مُدْيَةٌ-knife) อยู่ที่พวกเราเลย ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ท่านจงรีบหา สิ่งที่ทำให้สัตว์นั้นเลือดไหลออกมาอย่างเร็ว และกล่าวนามบนมันด้วยนามของอัลลอฮ์ จากนั้นท่านจงรับประทานมันเถิด โดยสิ่งที่ทำให้เลือดไหลนั้นไม่ใช่ฟันและเล็บ และข้าพเจ้าจะบอกแก่ท่านว่า ฟันนั้นคือกระดูก ส่วนเล็บนั้นเป็นมีดของชาวฮะบะซะห์ เขา(รอเฟียอ์) ได้กล่าวว่า พวกเราได้ทรัพย์จากศัตรูเป็นอูฐ และแพะ ต่อมาอูฐตัวหนึ่งเตลิดหนีไป ชายคนหนึ่งจึงยิงมันด้วยธนู จึงทำให้มันหยุด ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวว่า แท้จริงอูฐนี้พยศเหมือนอาการพยศของสัตว์ป่า เมื่อมีสิ่งใดเกิดจากมันสามารถข่มพวกท่านได้ ให้ท่านทั้งหลายจงกระทำกับมันเช่นเดียวกัน[56]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และได้มีทาสี(ทาสหญิง) คนหนึ่งของ กะอับ บิน มาลิก เลี้ยงแพะของเขาอยู่ ณ ภูเขาซัลอ์ ต่อมามีแพะตัวหนึ่งจากฝูงนั้นบาดเจ็บ หล่อนได้มาพบแพะตัวนั้นนางจึงเชือดมันด้วยหินมีคม ต่อมามีคนนำเรื่องนี้ไปถามท่านนบี ซ.ล.  ท่านตอบว่า พวกท่านทั้งหลายจงรับประทานมันเถิด

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และตัวบทของ อะบูดาวูดว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้ห้ามจากสัตว์ที่ถูกแหวะของชัยฏอน คือถูกเชือดเพียงหนังขาด ไม่ได้ตัดหลอดเลือดคอให้ขาด แล้วปล่อยสัตว์ทิ้งไว้ให้เลือดไหลอยู่นานจนตายไป ได้มีผู้ถาม ท่านนบี ซ.ล.  ว่า การเชือดสัตว์นั้นจะไม่ปรากฏนอกจากที่ลำคอและต้นคอ ท่านนบี ซ.ล.  ตอบว่า ถ้าหากท่านแทงลงไปที่ขาอ่อนของสัตว์ มันก็ทำให้การเชือดของท่านใช้ได้แล้ว

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เชือดลูกในท้องด้วยการเชือดแม่ของมัน 440

เล่าจาก อะบี สะอีด ร.ฎ.  ว่า พวกเราได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์อูฐที่ถูกเชือด วัวแพะที่ถูกเชือดนั้น ต่อมาเราพบลูกอยู่ในท้องมัน เราจะโยนมันทิ้งไป หรือเราจะรับประทานมัน ท่านตอบว่า พวกท่านจงรับประทานมันเถิด ถ้าท่านต้องการ เพราะความจริงนับว่าเป็นการเชือดมันแล้วด้วยการเชือดแม่ของมัน

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และอะห์มัด

การกล่าวบิสมิลลาฮิ และให้มีการประณีตในการเชือด

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ.  ว่า แท้จริงพวกเราได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ แท้จริงคนพวกหนึ่ง เพิ่งพ้นยุค ญาฮิลิยะห์ ได้มาหาพวกเราพร้อมด้วยเนื้อ พวกเราไม่ทราบว่าพวกเขากล่าวนาม อัลลอฮ์บนสัตว์นั้นหรือไม่  พวกเราจะรับประทานเนื้อนั้นได้หรือไม่ ท่านได้กล่าวว่า พวกท่านจงกล่าวนามของอัลลอฮ์และจงรับประทานมัน (คนเชือดเป็นมุสลิมแล้ว ถึงแม้นจะลืมกล่าวนาม อัลลอฮ์บนสัตว์ที่เชือด ก็ให้ผู้รับเนื้อนั้นกล่าวนาม อัลลอฮ์ก่อน นักวิชาการบางท่าน กล่าวว่า การกล่าวนาม อัลลอฮ์ มิใช่วาญิบ(ไม่เป็นข้อบังคับขั้นเด็ดขาด)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจาก ชัดดาด บิน เอาส์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า สองประการที่ข้าพเจ้าจดจำมาจากท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  โดยท่านได้กล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮ์ได้กำหนดให้กระทำอย่างประณีตเหนือทุกสิ่ง ดังนั้นเมื่อท่านทั้งหลายจะฆ่า ก็ให้ฆ่าอย่างประณีต และเมื่อท่านทั้งหลายจะเชือด ให้กระทำอย่างประณีต และให้คนใดคนหนึ่งลับมีดให้คม และจงให้ความสบายแก่สัตว์ที่จะเชือด[57]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และท่าน อิบนิ อุมัร ร.ฎ.  ได้เข้าไปหา ยะห์ยา บิน สะอีด ขณะที่ทาสคนหนึ่งจากตระกูลของเขา ผูกไก่ไว้ตัวหนึ่ง และกำลังขว้างไก่ตัวนั้นอยู่ ท่าน อิบนิ อุมัรได้เดินไปยังไก่ตัวนั้น และได้แก้มัดออก ต่อมาได้นำไก่พร้อมทาสคนนั้นมาหา ยะห์ยา แล้วกล่าวว่า ท่านจงว่ากล่าวทาสของท่านให้มีความอดทนในการฆ่าไก่ตัวนี้ เพราะความจริงข้าพเจ้าได้ยินมาจากท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ว่า ห้ามที่จะให้สัตว์หรืออย่างอื่นต้องอดทนในการที่จะถูกฆ่า (ห้ามในที่นี้คือ หะรอม ให้เชือดด้วยความประณีต และกล่าวนาม อัลลอฮ์)

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

สัตว์ที่ถูกเชือดโดยพวกที่ศรัทธาในคัมภีร์เป็นสิ่งฮะลาล

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ.  จากอายะห์อัลกุรอานว่า “ท่านทั้งหลายจงรับประทาน จากสัตว์ที่ถูกกล่าวนาม อัลลอฮ์บนมัน และท่านทั้งหลาย อย่ารับประทานจากสัตว์ที่ไม่ได้กล่าวนาม อัลลอฮ์บนมัน”  سُوۡرَةُ الاٴنعَام (6:121) وَلَا تَأۡڪُلُواْ مِمَّا لَمۡ يُذۡكَرِ ٱسۡمُ ٱللَّهِ عَلَيۡهِ وَإِنَّهُ ۥ لَفِسۡقٌ۬‌ۗ وَإِنَّ ٱلشَّيَـٰطِينَ لَيُوحُونَ إِلَىٰٓ أَوۡلِيَآٮِٕهِمۡ لِيُجَـٰدِلُوكُمۡ‌ۖ وَإِنۡ أَطَعۡتُمُوهُمۡ إِنَّكُمۡ لَمُشۡرِكُونَ (١٢١) และอิบนิ อับบาส ได้กล่าวต่อไปอีกว่า ทั้งสองอายะห์(โองการ)นั้นถูกยกเลิกและรับการยกเว้น จาก อายะห์ดังกล่าวนั้นคือ สัตว์ที่ถูกเชือดโดยพวกที่ศรัทธาในคัมภีร์ โดย อัลลอฮ์ตรัสว่า “อาหารของพวกที่ได้รับคัมภีร์นั้นเป็นที่อนุมัติแก่พวกท่าน” سُوۡرَةُ المَائدة (5:5) ٱلۡيَوۡمَ أُحِلَّ لَكُمُ ٱلطَّيِّبَـٰتُ‌ۖ وَطَعَامُ ٱلَّذِينَ أُوتُواْ ٱلۡكِتَـٰبَ حِلٌّ۬ لَّكُمۡ وَطَعَامُكُمۡ حِلٌّ۬ لَّهُمۡ‌ۖ وَٱلۡمُحۡصَنَـٰتُ مِنَ ٱلۡمُؤۡمِنَـٰتِ وَٱلۡمُحۡصَنَـٰتُ مِنَ ٱلَّذِينَ أُوتُواْ ٱلۡكِتَـٰبَ مِن قَبۡلِكُمۡ إِذَآ ءَاتَيۡتُمُوهُنَّ أُجُورَهُنَّ مُحۡصِنِينَ غَيۡرَ مُسَـٰفِحِينَ وَلَا مُتَّخِذِىٓ أَخۡدَانٍ۬‌ۗ وَمَن يَكۡفُرۡ بِٱلۡإِيمَـٰنِ فَقَدۡ حَبِطَ عَمَلُهُ ۥ وَهُوَ فِى ٱلۡأَخِرَةِ مِنَ ٱلۡخَـٰسِرِينَ (٥)

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด

อะกีเกาะห์ และสิ่งที่ทำให้แก่ทารกคลอดใหม่[58] 442

เล่าจาก สุลัยมาน บิน อามิร อัดด็อบบี ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า พร้อมกับตัวเด็กนั้นมี อะกีเกาะห์(عَقِيْقَةٌ) ดังนั้นท่านทั้งหลายจงหลั่งเลือดแทนเด็ก มันจะช่วยขจัดสิ่งเป็นภัยให้พ้นไปจากเด็ก

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อุมมุ กุรซ์ อัลกะอ์บียะห์ ร.ฎ. [59] จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า พอแล้วสำหรับแกะสองตัวเท่าๆกัน สำหรับเด็กผู้ชาย และตัวเดียวสำหรับเด็กผู้หญิง

เล่าจากซุมุเราะห์ จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า เด็กทุกคนได้ถูกประกันอยู่ด้วย อะกีเกาะห์ของตน จะถูกเชือดแทนให้เด็กในวันที่เจ็ดของตนและจะถูกโกนหัวและตั้งชื่อ

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ.  ว่าแท้จริงท่านนบี ซ.ล.  ได้ทำ อะกีเกาะห์แทน หะซัน และ ฮุเซ็น ร.ฎ.  ด้วยแกะตัวหนึ่ง แกะตัวหนึ่ง (ทำ อะกีเกาะห์ให้ด้วยแกะคนละตัว)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และตัวบทของติรมิซีว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้ทำ อะกีเกาะห์แทนหะซัน ) ด้วยแกะตัวหนึ่ง และท่านได้กล่าวว่า โอ้ฟาติมะห์เธอจงโกนหัวของเขา(หะซัน) และจงบริจาคทานด้วยน้ำหนักของเส้นผมไฟของเขาเป็นเงิน ต่อมาพวกเราได้ชั่งน้ำหนักผมหะซันได้หนึ่งหรือเศษหนึ่งหนึ่งส่วนสอง ดิรฮัม (1 ดิรฮัม=2.975กรัม)

เล่าจาก  อะบี มูซา ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้บุตรชายคนหนึ่ง จากนั้นข้าพเจ้าได้นำเขามาหาท่านนบี ซ.ล.  ท่านได้ตั้งชื่อแก่เขาว่า อิบรอฮีม ต่อมาท่านได้ “ตะห์นีก” (تَحْنِيْكٌ) ให้แก่เขาด้วยอินทผาลัม และขอพรให้แก่เขา ให้ได้รับความเพิ่มพูน ศิริมงคล และท่านได้ส่งคืนให้ข้าพเจ้า เขา(อะบี มูซา) ได้กล่าวว่า อิรอฮีมเป็นบุตรคนโตของข้าพเจ้า

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

เล่าจาก อะบี รอฟิอะห์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าเห็นท่านนบี ซ.ล.  อะซานใส่หูขวาของหะซัน บิน อาลี หลังจากฟาติมะห์ ร.ฎ.  ได้คลอดเขา

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี เป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

เล่าจาก อะบี บุร็อยดะห์ ได้กล่าวว่า พวกเราเคยอยู่ในยุค ญาฮิลิยะห์ เมื่อมีใครได้บุตรชาย เขาจะเชือดแกะหนึ่งตัว และพอกหัวเด็กด้วยเลือดแกะ ต่อมาเมื่ออัลลอฮ์ประทานอิสลามลงมา พวกเราได้เชือดแกะหนึ่งตัว และโกนผมไฟ และพอกด้วยหญ้าฝรั่น

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด เป็นหะดีษศอลิฮะห์

ฟะเราะอ์ และอะตีเราะห์[60] (اَلْفَرَعُ وَ اَلْعَتِيْرَةٌ)

เล่าจาก อะบี ฮุร็อยเราะห์  ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า ไม่มี ฟะเราะอ์ และอะตีเราะห์

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

จากนุบัยชะห์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ชายคนหนึ่งได้ถามท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ว่าแท้จริงพวกเราเคยเชือด อะตีเราะห์ สมัย ญาฮิลิยะห์ ในเดือนรอยับ ดังนั้น ท่านจะใช้พวกเราให้ทำอะไร ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวว่า พวกท่านจงเชือดเพื่ออัลลอฮ์ ไม่ว่าจะเดือนอะไร และจงทำความดีต่ออัลลอฮ์ และจงให้อาหารเป็นทานแก่ผู้คนที่ยากจนข้นแค้น เขา(นุบัยชะห์)ได้กล่าวว่า แท้จริงพวกเราเคยเชือด ฟะเราะอ์ สมัย ญาฮิลิยะห์ ดังนั้น ท่านจะใช้พวกเราให้ทำอะไร ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ในทุกๆ อูฐหนึ่งร้อยตัวนั้น มี ฟะเราะอ์หนึ่งตัว ซึ่งฝูงสัตว์ของท่านต้องเลี้ยงดูมัน จนกระทั้งเติบใหญ่เป็นอูฐที่แข็งแรง ให้ท่านจงเชือดมัน แล้วบริจาคเนื้อมันเป็นทานแก่คนเดินทาง เพราะแท้จริงการกระทำอย่างนั้นเป็นความดี

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจาก อะบี เราะซีน ละกีต บิน อามิร ว่าข้าพเจ้าได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  พวกเราเคยเชือด อะตีเราะห์ สมัย ญาฮิลิยะห์ ในเดือนรอยับ พวกเราจะรับประทานกันเอง และเลี้ยงอาหารแก่ผู้ที่มาเยือนพวกเรา ท่านได้กล่าวว่า ไม่เป็นไรหรอก

รายงานหะดีษโดย นะซาอี

และมีผู้กล่าวแก่ท่านอาลี ร.ฎ.  ว่า ท่านจงบอกพวกเราในสิ่งที่ท่านนบี ซ.ล.  ได้บอก ที่มันเป็นความลับแก่ท่าน อาลีกล่าวว่า ท่านนบีไม่เคยบอกความลับอะไรแก่ข้าพเจ้า ที่ท่านปกปิดมันจากประชาชน แต่ความจริงข้าพเจ้าได้ยินท่านนบีกล่าวว่า อัลลอฮ์สาปแช่งบุคคลที่เชือดสัตว์เพื่อสิ่งอื่น นอกจากอัลลอฮ์ และอัลลอฮ์สาปแช่งบุคคลที่ให้ที่พักอาศัยแก่ผู้ที่คิดประดิษฐ์(บิดเบือน)ศาสนา และอัลลอฮ์สาปแช่งบุคคลที่สาปแช่งบิดามารดาของเขา และอัลลอฮ์สาปแช่งบุคคลที่โยกย้ายหลักเขต

รายงานหะดีษโดย มุสลิม

ตอนที่ 4 444

ดอฮียะห์ (สัตว์กุรบาน-اَلْضَحِيَةٌ)

อัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่า “แท้จริงเราได้ประทานให้แก่ท่าน (โอ้ มุฮัมมัด) บ่อน้ำอัลเกาซัร ดังนั้นท่านจงละหมาด เพื่อผู้อภิบาลของท่านและท่านจงเชือด(กุรบาน)[61]

เล่าจาก มิคนัฟ บิน สุลัยม์ ได้กล่าวว่า พวกเราได้ วุกุฟร่วมกับท่านนบี ซ.ล.   ณ ทุ่ง อะรอฟาต ต่อมาข้าพเจ้าได้ยินท่านกล่าวว่า โอ้มนุษย์ทั้งหลาย จำเป็นเหนือทุกครอบครัวในทุกๆปี ต้องเชือดกุรบาน และอะตีเราะห์ พวกท่านทราบไหมว่า อะตีเราะห์ คืออะไร มันคือสัตว์ที่ท่านเชือดประจำเดือนรอยับ

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก ยาบิร ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าปรากฏตัวพร้อมท่านนบี ซ.ล.  เพื่อละหมาดอิดิลอัฎฎอฮา ในสถานที่ที่ใช้ละหมาด เมื่อท่านคุตบะห์เสร็จ ท่านได้ลงจากมิมบัร และแกะตัวหนึ่งถูกนำมา ท่านจึงได้เชือดแกะตัวนั้น ด้วยมือของท่านเอง และได้กล่าวว่า ด้วยพระนามของอัลลอฮ์ และอัลลอฮ์ผูเกรียงไกร (بِسْمِ اللَّهِ وَ اللَّهُ اَكْبَرُ) แกะตัวนี้แทนข้าพเจ้าและแทนบุคคลที่ไม่ได้ทำ กุรบาน จากประชากรของข้าพเจ้า

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี

และได้มีผู้ถาม อิบนิ อุมัร ถึงการทำกุรบานว่าเป็น วาญิบ (وَجِبَ) หรือไม่ อิบนิ อุมัรตอบว่า ท่านนบี ซ.ล.  และมวลมุสลิมีนได้เชือดกุรบานแล้ว ต่อมาเขากลับมาถามอีก อิบนิ อุมัรจึงได้กล่าวว่า ท่านมีสติสมบูรณ์อยู่หรือไม่ ท่านนบี ซ.ล.  และมวลมุสลิมีนได้เชือดกุรบานแล้ว

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี

และท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  กล่าวว่า ข้าพเจ้าถูกบัญชาให้วัน อิดิลอัฎฎอฮาเป็นวันรื่นเริง ซึ่ง อัลลอฮ์ได้บันดาลให้วันรื่นเริงแก่ประชากรนี้ ชายคนหนึ่งได้ถามว่า ได้โปรดบอกข้าพเจ้าว่า ถ้าหากข้าพเจ้าไม่พบอะไรนอกจาก มะนีฮะห์ ตัวเมีย[62] ข้าพเจ้าจะเชือดมันทำกุรบาน หรือไม่ ท่านตอบว่า ไม่ แต่ให้ท่านจงไว้ผม ไว้เล็บ ขลิบหนวด โกนขนในร่มผ้าของท่าน นั่นแหละเป็นการเพิ่มเติมให้กุรบาน ของท่านให้ครบสมบูรณ์ ณ พระองค์อัลลอฮ์

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

ได้มีผู้ถาม อะบู อัยยูบ อัลอันศอรี ร.ฎ.  ว่า การทำกุรบานในสมัยท่านนบี ซ.ล.  นั้นเป็นอย่างไร เขาตอบว่า ชายคนหนึ่งจะทำกุรบาน ด้วยแกะหนึ่งตัวให้ตัวเขาและครอบครับเขา พวกเขาจะรับประทานและเลี้ยงอาหาร จนประชาชนได้ประกวดประชันกัน และกลายเป็นอย่างที่ท่านเห็นอยู่นี้[63]

เล่าจากอาอิชะห์ จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ไม่มีการกระทำอะไรที่มนุษย์ได้กระทำในวันเชือดที่อัลลอฮ์จะรักยิ่งไปกว่า การทำให้เลือดนอง เพราะความจริงสัตว์กุรบานนั้น จะมาในวันกิยามะห์ พร้อมด้วยเขา ขน เล็บของมัน และความจริงเลือดของมันจะตกอยู่กับอัลลอฮ์ ณ สถานที่แห่งหนึ่งก่อนที่จะตกลงสู่พื้นดิน ดังนั้น ท่านทั้งหลายจงทำใจให้ดีกับกุรบานนั้น

รายงานหะดีษทั้งสองโดย ติรมิซี

เล่าจาก อัลบะรออ์ จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า แท้จริงภารกิจประการแรกที่พวกเราจะเริ่มทำในวันนี้คือ พวกเราจะละหมาด กลับบ้าน เชือดสัตว์กุรบาน ดังนั้น ผู้ใดได้กระทำดังกล่าว เขาได้ทำถูกต้องตามซุนนะห์ของเรา และผู้ใดเชือดก่อนละหมาดอิดิลอัฎฎอฮา มันก็จะเป็นเนื้อที่หยิบยื่นให้แก่ครอบครัว โดยไม่เกี่ยวกับศาสนกิจแต่อย่างใด และปรากฏว่า อะบู บุรดะห์ ได้ทำการเชือดแล้วกล่าวว่าข้าพเจ้ามี ญะซะอะห์ (جَذَعَة) หนึ่งตัว ที่ดีกว่า มุซินนะห์ (مُسِنَّةٍ) ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า จงเชือดมัน จะไม่มีใครกระทำใช้ได้อีกภายหลังท่าน[64]

และเล่าจาก อัลบะรออ์ ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้คุตบะห์เสร็จแล้วในวันเชือดหลังละหมาด โดยได้กล่าวว่า ผู้ใดได้ละหมาดเหมือนละหมาดของเรา และผินหน้าไปทางกิบละห์ของเรา และได้ทำศาสนกิจ เช่นศาสนกิจของเรา ดังนั้นเขาจะต้องไม่เชือด จนกว่าจะได้ละหมาดเสียก่อน

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

สัตว์ที่ใช้ทำกุรบานได้ และใช้ไม่ได้ 446

อะนัส บิน มาลิก ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้ทำกุรบาน ด้วยแกะสองตัวที่มีสีเทาและมีเขา ท่านได้เชือดมันทั้งสองด้วยมือของท่าน ท่านได้กล่าว “บิสมิลลาฮ์ และตักบีร(บิสมิลลาฮิ วัลลอฮุ อักบัร)” และวางเท้าของท่านบนสีข้างของมันทั้งสอง

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ.  ว่าแท้จริงท่านนบี ซ.ล.  ได้ใช้ให้นำแกะตัวหนึ่งที่มีเขาเหยียบอยู่ในสีดำ นอนในสีดำ และมองในสีดำ[65] ต่อมาแกะตัวนั้นได้ถูกนำมา เพื่อให้ท่านนบีทำกุรบาน ท่านได้กล่าวว่า โอ้ อาอิชะห์ เธอจงนำมีดไปลับด้วยหินแล้วนำมา ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติตาม ภายหลังท่านได้จับแกะนอนตะแคง และได้เชือดมัน และท่านได้กล่าวว่า โอ้พระองค์อัลลอฮ์ ด้โปรดรับจากมุฮัมมัด วงศ์วานของมุฮัมมัด และจากประชากรของมุฮัมมัด หลังจากนั้น ท่านได้ทำเป็นอาหารเลี้ยง

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อุกบะห์ บิน อามีร ว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล.  ได้มอบฝูงแพะให้เขา ซึ่งเขาจะต้องนำไปแบ่งปันให้เป็นกุรบานแก่มิตรสหายของเขา ต่อมาได้เหลือแพะอายุหนึ่งปีอยู่หนึ่งตัว เขาได้ถามท่านนบีเกี่ยวกับมัน ท่านจึงกล่าวว่า ท่านจงเชือดทำกุรบานเถิด

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก ยาบิร ร.ฎ.  จากท่านนบี ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายอย่าเชือดนอกจาก มุซินนะห์ (مُسِنَّةٍ ปศุสัตว์ที่อายุครบเกณฑ์เชือดกุรบาน) เว้นแต่จะเกิดความยากลำบากเหนือท่าน ดังนั้นให้เชือด ญะซะอะห์ (جَذَعَة-อูฐสาวสี่ปีหรือปศุสัตว์อายุขาดเกณฑ์เป็นเดือน) จากแพะ

 รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจาก ยาบิร ร.ฎ.  ว่า พวกเราได้เชือดพร้อมกับท่านนบี ซ.ล.  ที่ฮุดัยบิยะห์ อูฐตัวหนึ่งแทนจากเจ็ดคน และวัวหนึ่งตัวแทนจากเจ็ดคน

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ.  ได้กล่าว่า พวกเราได้ปรากฏอยู่ร่วมกับท่านนบี ซ.ล.  ในการเดินทางครั้งหนึ่ง ต่อมาได้ปรากฏวัน อัฎฎอฮา พวกเราจึงเข้าหุ้นกันในวัวตัวหนึ่งเจ็ดคน และอูฐหนึ่งตัว สิบคน[66]

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี และนะซาอี

สัตว์สี่ชนิดไม่อนุญาตให้ทำกุรบาน 447

เล่าจาก อัลบะรออ์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้ยืนขึ้นในหมู่พวกเรา โดยที่นิ้วของข้าพเจ้าสั้นกว่านิ้วของท่าน และองคุลีของข้าพเจ้าก็สั้นกว่าองคุลีของท่าน ต่อมาท่านได้กล่าวว่า สัตว์สี่ชนิดไม่อนุญาตให้ทำกุรบาน 1/ สัตว์ตาพิการ ที่ปรากฏความพิการอย่างเด่นชัด 2/ สัตว์ป่วย ที่ปรากฏความเจ็บป่วยอย่างเด่นชัด 3/ สัตว์ที่เดินกระโผลกกระเผลก ที่ปรากฏอาการกระโผลกกระเผลก อย่างเด่นชัด 4/ สัตว์หัวแตกที่ไม่มีมันสมองเหลืออยู่ 447

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากท่านอาลี บิน อะบี ตอเล็บ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้ใช้พวกเราตรวจดูตาและหู และไม่ให้เราทำกุรบาน ด้วยสัตว์ตาบอด และไม่ให้เราทำกุรบาน ด้วยสัตว์ที่เรียกว่า มุกอบะละห์(اَلْمُقَابَلَةُ) และไม่ให้เราทำกุรบาน ด้วยสัตว์ที่เรียกว่ามุดาบะเราะห์(مُدَابَرَةٍ) และไม่ให้เราทำกุรบาน ด้วยสัตว์ที่เรียกว่า คอรกออ์(خَرْءقَاءَ) และไม่ให้เราทำกุรบาน ด้วยสัตว์ที่เรียกว่า ชัรกออ์(شَرْءقَاءَ) ข้าพเจ้า (อาลี)ถามว่า มุกอบะละห์(اَلْمُقَابَلَةُ) คืออะไร ท่านตอบว่า คือสัตว์ที่ริมหูถูกตัด ข้าพเจ้าถามว่า มุดาบะเราะห์(مُدَابَرَةٍ) คืออะไร ท่านตอบว่า คือสัตว์ที่ถูกตัดปลายหู ข้าพเจ้าถามว่า ชัรกออ์(شَرْءقَاءَ) คืออะไร ท่านตอบว่า คือสัตว์ที่ถูกผ่าใบหู ข้าพเจ้าถามว่า คอรกออ์(خَرْءقَاءَ) คืออะไร ท่านตอบว่า คือสัตว์ที่ถูกเจาะหูเพื่อทำสัญลักษณ์

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากท่านอาลี บิน อะบี ตอเล็บ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้ห้ามทำกุรบานด้วยสัตว์ที่หูขาดและเขาแตก

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี

บทสุดท้าย 448

ระเบียบที่เกี่ยวกับสัตว์กุรบาน และอนุญาตให้เก็บเนื้อไว้ได้

เล่าจาก ยาบิร ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ท่านนบี  ซ.ล. ได้เชือดในวันแห่งการเชือด แกะสองตัวมีเขา สีเทา ถูกตอน ขณะที่ท่านจับมันผินหน้าสู่กิบละห์ ท่านได้กล่าวว่า แท้จริงข้าพเจ้าผินหน้าของข้าพเจ้าสู่พระผู้สร้างฟ้าสร้างแผ่นดิน เป็นการดำเนินตามศาสนาของ อิบรอฮีม โดยหันเหออกจากสิ่งเหลวไหล และข้าพเจ้าไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งจากพวกที่ตั้งภาคี แท้จริงละหมาดของข้าพเจ้า การปฏิบัติศาสนกิจของข้าพเจ้า การมีชีวิตอยู่ของข้าพเจ้า ความตายของข้าพเจ้า เป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ์ผู้อภิบาลสากลโลก โดยไม่มีภาคีแก่พระองค์ และดังกล่าวนั้นแหละที่ข้าพเจ้าถูกบัญชา และข้าพเจ้าเป็นส่วนหนึ่งจากผู้ยอมจำนน โอ้พระองค์อัลลอฮ์ จากพระองค์ท่าน และเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์ท่าน แทนจากมุฮัมมัดและประชากรของเขา ด้วยพระนามของอัลลอฮ์ และอัลลอฮ์ผู้ทรงเกรียงไกร (ท่านกล่าวว่า บิสมิลลาฮิ วัลลอฮุ อักบัร) หลังจากนั้นท่านจึงได้เชือด

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และอิบนุมายะห์

ภาคอาหาร และเครื่องดื่ม 450 اَلْطَعَامَ وَ اَلْشُرَابَ

อัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่า “โอ้บรรดาเราะซูล ท่านทั้งหลายจงบริโภคจากสิ่งที่ดี[67] และจงประพฤติแต่ความดี แท้จริงเรารู้สิ่งที่พวกท่านกระทำ” และ “ท่านทั้งหลายจงกินจงดื่ม และท่านทั้งหลายอย่าสุรุ่ยสุร่าย เพราะแท้จริงอัลลอฮ์ไม่รักผู้สุรุ่ยสุร่าย"

เล่าจาก ซัลมาน ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้อ่านพบคัมภีร์เตารอตว่า แท้จริงความเพิ่มพูนในอาหารนั้น คือ น้ำละหมาดก่อนรับประทานอาหาร ต่อมาข้าพเจ้าได้เล่าเรื่องดังกล่าวให้ท่านนบีฟัง ท่านได้กล่าวว่า ความเพิ่มพูนในอาหารนั้น คือ น้ำละหมาดก่อนและหลังรับประทานอาหาร

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจาก อุมัร บิน อะบี ซะละมะห์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าเคยเป็นเด็กอยู่ในอุปการะของท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  และปรากฏว่ามือของข้าพเจ้าฉวัดเฉวียนอยู่ในถาดอาหาร ท่านนบี  ซ.ล.  จึงได้กล่าวแก่ข้าพเจ้า โอ้เด็กน้อย จงกล่าวนามของอัลลอฮ์ จงรับประทานด้วยมือขวาของเจ้า และจงรับประทานที่อยู่ข้างหน้าที่ชิดตัวเจ้า (ไม่มูมมาม หยิบซ้ายที ขวาที) ท่าการรับประทานอาหารอย่างนั้นคงเป็นนิสัยติดตัวของข้าพเจ้าในภายหลัง

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจาก ยาบีร ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าว่า เมื่อชายคนหนึ่งเข้าบ้าน เขาได้กล่าวถึง อัลลอฮ์ ขณะเข้าบ้านและขณะจะรับประทานอาหาร ชัยฏอนกล่าวว่า ไม่มีที่พำนักในยามค่ำคืนสำหรับพวกเจ้า และไม่มีอาหารค่ำ และเมื่อเขาเข้าบ้าน โดยไม่ได้กล่าวนาม อัลลอฮ์ ชัยฏอนจะกล่าวว่า พวกเราได้ที่พำนักในค่ำคืนนี้แล้ว และเมื่อเขาไม่ได้กล่าวนาม อัลลอฮ์ขณะจะรับประทานอาหาร ชัยฏอนจะกล่าวว่า พวกเรามีอาหารค่ำกินกันแล้ว

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจาก ยาบีร ร.ฎ.  ว่าแท้จริงท่านนบี ซ.ล.  ได้จับมือกับคนเป็นโรคเรื้อน และนำเขาเข้ามายังถาดอาหารพร้อมกับท่าน ภายหลังท่านได้กล่าวว่า จงรับประทานเถิด ด้วยพระนามของอัลลอฮ์ โดยมั่นใจในพระองค์อัลลอฮ์ และมอบหมายต่ออัลลอฮ์

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี และอิบนุ มายะห์

เล่าจาก ฮุซัยฟะห์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า เมื่อพวกเราได้เข้าร่วมวงอาหาร พร้อมกับท่านนบี ซ.ล.  พวกเราจะไม่หย่อนมือลงถาดก่อน จนกว่าท่านนบี ซ.ล.  จะเริ่มรับประทานก่อน แท้จริงพวกเราเคยร่วมวงอาหารพร้อมท่านนบีครั้งหนึ่ง ได้มีทาสี(ทาสหญิง)คนหนึ่งเข้ามาเหมือนถูกผลัก หล่อนได้เอามือหล่อนลงในถาดอาหาร ท่านนบี ซ.ล.  ได้จับมือของหล่อนไว้ ต่อมาภายหลังได้มีชาวอาหรับชนบทคนหนึ่ง เข้ามาเหมือนถูกผลัก ท่านนบี ซ.ล.  ได้จับมือของเขาไว้ แล้วท่านได้กล่าวว่า แท้จริงชัยฏอนจะทำให้เห็นว่า ฮะลาล(ให้รับประทานอาหารได้ โดยไม่ต้องกล่าวบิสมิลลาฮิ และมันชัยฏอนได้นำทาสีคนนี้มาเพื่อให้หล่อนเห็นว่า ฮะลาล โดยไม่ได้กล่าวบิสมิลลาฮิ  ข้าเจ้าจึงจับมือหล่อนไว้ สาบานต่อผู่ที่ชีวิตข้าพเจ้าในเงื้อมมือของพระองค์ท่าน ว่าแท้จริงมือของชัยฏอนอยู่ในมือข้าพเจาที่จับหล่อนไว้

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า เมื่อใครจากพวกท่านจะรับประทานอาหารให้เขาจงกล่าวนามของอัลลอฮ์(บิสมิลลาฮิ)  ถ้าหากเขาลืมกล่าวตอนเริ่มกิน ให้เขากล่าวทั้งก่อนและหลังรับประทานอาหาร (กินไปแล้วลืมตอนต้น ให้กล่าวเมื่อนึกขึ้นได้กลางคัน และทางที่ดี กล่าวบ่อยๆ ไปเรื่อยๆ ขณะกิน ดื่ม)

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.  ได้เข้าร่วมวงอาหารกับหกอัครสาวก ต่อมาได้มีชาวอาหรับชนบทคนหนึ่งเข้ามาและได้รับประทานไปสองคำ ท่านนบี ซ.ล.  จึงได้กล่าวว่า โปรดทราบ ถ้าหากความจริงเขากล่าวนาม อัลลอฮ์ สองคำนั้นก็จะพอเพียงสำหรับพวกท่านแล้ว

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี เป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

และได้ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.  กำลังนั่งอยู่ มีชายคนหนึ่งกำลังรับประทานอาหารโดยไม่ได้กล่าวนาม อัลลอฮ์ จนอาหารไม่เหลืออยู่นอกจาก เพียงคำเดียวเท่านั้น เมื่อชายคนนั้นยกอาหารจะเข้าปาก เขากล่าวนาม อัลลอฮ์ทั้งในตอนเริ่มและท้ายของการรับประทานอาหาร ท่านนบี ซ.ล. หัวเราะ ภายหลังได้กล่าวว่าบิสมิลลาฮิ ชัยฏอนยังคงร่วมรับทานอยู่กับเขา เมื่อเขากล่าวนาม อัลลอฮ์ชัยฏอนได้ อาเจียนสิ่งที่อยู่ในท้องของมันออกมา

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจาก อิบนิ อุมัร ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าว่า เมื่อใครคนใดจากพวกท่านรับประทานอาหาร ให้เขาจงรับประทานด้วยมือขวา เมื่อเขาดื่ม ให้เขาจงดื่มด้วยมือขวา เพราะแท้จริงชัยฏอนจะกินดื่มด้วยมือซ้าย

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจาก ซะละมะห์ บิน อัลอักวะอ์  ว่าแท้จริงมีชายคนหนึ่งได้รับประทานอาหารกับท่านนบี ซ.ล.  ด้วยมือซ้ายของเขา ท่านนบีจึงกล่าวว่า ท่านจงรับประทานด้วยมือขวา ชายคนนั้นตอบว่า ข้าพเจ้าไม่สามารถ ท่านได้กล่าวว่า ท่านจะไม่มีความ ไม่มีอะไรห้ามเขาหรอก นอกจากความหยิ่งยะโส ผู้เล่าได้กล่าวว่า ต่อมาชายผู้นั้นไม่สามารถยกมือขวามาที่ปากของเขาได้ (เพราะโดน นบีตำหนิ แชนขวาจึงเป็นอัมพฤกษ์ไป)

รายงานหะดีษโดย มุสลิม

เล่าจาก อะบี ฮุร็อยเราะห์  ร.ฎ.  ได้กล่าว่า ท่านนบี ซ.ล.  ไม่เคยตำหนิอาหารเลย (ว่าอร่อยหรือไม่) ถ้าหากท่านชอบ ท่านก็จะรับประทานมัน ถ้าหากท่านไม่ชอบ ท่านก็จะปล่อยไว้

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อะบี ยุไฮฟะห์ ร.ฎ.  ได้กล่าว่า ท่านนบี ซ.ล.  แท้จริงข้าเจ้าไม่เคยรับประทานอาหารโดยเท้าแขนเลย

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อะนัส บิน มาลิก ร.ฎ.  ได้กล่าว่า ข้าพเจ้าได้เห็นท่านนบี ซ.ล.  นั่งชันเข่าทั้งสองข้าง(นั่งยองๆ)ขณะรับประทานอินทผลัม

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อิบนิ อุมัร ร.ฎ.  ได้กล่าว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้ห้ามรับประทานอาหารสองที่ ห้ามนั่งที่สำรับอาการที่มีการดื่มสุราสำหรับอาหารนั้น และห้ามรับประทานในสภาพนอนคว่ำ

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจาก อะนัส บิน มาลิก ร.ฎ.  ได้กล่าว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล.  ได้ห้ามยืนดื่ม ได้มีผุ้ถามว่า การรับประทานเล่า ท่านตอบว่า นั่น(เลวร้าย)ยิ่งกว่า

รายงานหะดีษโดย มุสลิม ติรมิซี

ตัวบทของมุสลิมว่า นั่นชั่วช้ายิ่งกว่า หรือน่าเกลียดยิ่งกว่า

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ.   จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า เมื่อใครคนใดจากพวกท่านได้รับประทานอาหาร เขาอย่ารับประทานด้านบนหน้ากองของถาดอาหาร ให้เขารับประทานจากด้านข้างล่างที่อยู่ตรงหน้าท่านเสียก่อน เพราะความจริงความเพิ่มพูน(บะรอกะห์) จะลงมาที่ตรงกลางแล้วแผ่กระจายไปโดยรอบๆ

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี

ตัวบทติรมิซีว่า  ความเพิ่มพูน(บะรอกะห์) จะลงมาที่ตรงกลางอาหาร กังนั้นท่านจงรับทานด้านข้างหน้าท่าน และท่านทั้งหลายอย่ารับประทานตรงกลางยอด

เล่าจาก อัมร์ บิน อุมัยยะห์ ว่า เข้าได้พบเห็นท่านนบี ซ.ล.  กำลังตัดหน้าขาของแกะอยู่ในมือท่าน ต่อมาท่านได้ถูกเรียกไปละหมาด ท่านจึงโยนมันพร้อมทิ้งมีด แล้วลุกขึ้นไปละหมาด โดยท่านมิได้อาบน้ำละหมาด

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายอย่าตัดเนื้อด้วยมีด (ขณะเมื่อรับประทานเข้าปาก) เพราะมันเป็นการกระทำของพวก อะยัม (โรมัน) แต่ให้ท่านทั้งหลายแทะมันด้วยฟัน เพราะมันถูกอนามัยและมีประโยชน์มากกว่า

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจาก อะบี ฮุร็อยเราะห์  ร.ฎ.  ว่า แท้จริงชายคนหนึ่งเขาเคยรับประทานอาหารอย่างมากมาย ต่อมาเขาได้รับนับถืออิสลาม ปรากฏว่าเขารับประทานน้อยลง เรื่องนี้มีผู้เล่าให้ ท่านนบี ซ.ล.  ฟัง ท่านจึงได้กล่าวว่า แท้จริงผู้มีศรัทธารับประทานอาหารในกระเพาะเดียว และกาฟิรนั้นจะรับประทานในเจ็ดกระเพาะ

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี

เล่าจาก อะบี ฮุร็อยเราะห์  ร.ฎ.  ว่าแท้จริงท่านนบี ซ.ล.  ได้มีอาคันตุกะที่เป็นกาฟิรมาเยือนท่าน ต่อมาท่านท่านนบี ซ.ล.  จึงมีคำสั่งให้นำนมแพะมาให้เขา เขาได้ดื่มมันจนหมด ภายหลังได้นำมาให้อีก เขาได้ดื่มมันจนหมดอีก ภายหลังได้นำมาให้อีก เขาได้ดื่มมันจนหมดอีก จนเขาดื่มนมแพะไปทั้งหมดเจ็ดตัว ภายหลังเขาได้รับนับถืออิสลาม ท่านนบี ซ.ล.  ได้นำนมแพะตัวหนึ่งมาให้เขา เขาได้ดื่มนมแพะตัวนั้น ภายหลังท่านได้สั่งให้นำมาให้อีก แต่เขาไม่ได้ดื่มนมแพะจนหมด ท่านนบี ซ.ล.  จึงได้กล่าวว่า ผู้มีศรัทธารับประทานอาหารในกระเพาะเดียว และกาฟิรนั้นจะรับประทานในเจ็ดกระเพาะ

รายงานหะดีษโดย มุสลิม ติรมิซี

และเล่าจาก กะอับ บิน มาลิก ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.  เคยรับประทานอาหารด้วยสามนิ้ว และท่านจะเลียนิ้วก่อนที่จะเช็ดล้างมัน

เล่าจาก ยาบีร บิน สะมุเราะห์ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า แท้จริงชัยฏอนจะมาร่วมวงกับคนใดคนหนึ่งจากพวกท่านในกิจการทุกอย่างของเขา มันจะมาร่วมวงอาหารกับเขา ดังนั้นเมื่อมีอาหารตกลงพื้นจากใครคนใดคนหนึ่งจากพวกท่าน ให้เขาเก็บขึ้นมาปัดเอาสิ่งที่เป็นภัยที่ติดอยู่ออกไป หลังจากนั้นให้เขารับประทานมัน และอย่าให้เจาปล่อยให้อาหารคำนั้นตกเป็นเหยื่อชัยฏอน และเมื่อรับประทานเสร็จ ให้เขาจงเลียนิ้วมือของเขา เพราะเขาไม่รู้ว่าในส่วนใดของอาหารที่มีความเพิ่มพูน ศิริมงคล(บะรอกะห์) และในบางรายงานว่า และท่านได้ใช้ให้พวกเรากวาดถาดอาหารให้เกลี้ยง และกล่าวว่า เพราะความจริงพวกท่านไม่ทราบว่าส่วนใดของอาหารที่มีความเพิ่มพูน ศิริมงคล(บะรอกะห์)

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก สุวัยดุ บิน อันนุอ์มาน ได้กล่าว่า พวกเราได้ออไปพร้อมกับท่านนบี ซ.ล.  ยังคอยบัร ขณะที่พวกเราอยู่ที่ศอห์บาอ์  ท่านได้เรียกหาอาหาร ไม่มีสิ่งใดเลยนอกจาก “สะวีก” ต่อมาพวกเราได้รับประทาน หลังจากนั้นท่านได้ลุกขึ้นละหมาด โดยท่านได้บ้านปากและพวกเราก็บ้านปาก

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ.   จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า เมื่อใครคนใดคนหนึ่งได้รับประทานอาหาร ดังนั้นอย่าเช็ดมือของเขาจนกว่าจะเลียมันเสียก่อน (หรือให้ลูกเมียได้เลียเอา บะรอกะห์จากอาหาร)

เล่าจาก อะบี ฮุร็อยเราะห์  ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า ผู้ใดนอนหลับขณะที่นิ้วมือของเขายังมีไขมันจับอยู่ โดยังไม่ได้ล้างออก ต่อมาได้เกิดอะไรขึ้นกับเขา ดังนั้นไม่ต้องดุ ด่า ประณามใครนอกจากตนเอง

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจาก อะนัส ได้กล่าวว่า อินทผลัมเก่าได้ถูกนำมาให้ท่านนบี ซ.ล.  ท่านได้ตรวจตราดูมัน เอาหนอนออกจากมัน

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และอิบนุ มายะห์

เล่าจาก อะนัส บิน มาลิก ร.ฎ.  จากท่านนบี ได้กล่าว่า เมื่ออาหารมื้อเย็นถูกยกออกมาวาง และละหมาดได้ถูกเรียก (อะซานพอดี) ดังนั้นท่านทั้งหลายจงเริ่มด้วยอาหารมื้อเย็นก่อน และในบางรายงานว่า เมื่อละหมาดได้ถูกเรียก และอาหารมื้อเย็นได้ถูกยกมาแล้ว ท่านทั้งหลายจงเริ่มด้วยอาหารมื้อเย็นก่อน

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงเริ่มด้วยอาหารมื้อเย็นก่อน ถึงแม้ว่ามันจะเป็นหนึ่งกำมือจากอินทผลัมชั้นเลวก็ตาม เพราะแท้จริงไม่ทานอาหารมื้อเย็นทำให้แก่เร็ว

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี

ตอนที่ 2

ระเบียบต่อเครื่องดื่ม

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ.   ได้กล่าว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้ยืนดื่มน้ำซัมซัม

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี

และตัวบทของมุสลิมว่า ท่านได้ดื่มน้ำซัมซัม จากภาชนะที่ใช้ตักมา ในสภาพยืนดื่ม

และน้ำได้ถูกนำมาให้อาลี ที่ประตู เราะฮาบะห์ ท่านได้ยืนดื่มมัน เสร็จแล้วได้กล่าวว่า แท้จริงมีผู้คนมากมายที่ใครคนหนึ่งจากเขารังเกียจที่จะยืนดื่ม แท้จริงข้าพเจ้าได้แลเห็นท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้ยืนดื่มเหมือนอย่างที่พวกท่านเห็นข้าพเจ้ากระทำอยู่นี้

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด

เล่าจาก อุมมุ อัลฟัดลิ ร.ฎ.    ได้ส่งภาชนะบรรจุนมเปรี้ยว (เกาะดะห์)ไปให้ท่านนบี ซ.ล.  ขณะที่ท่าน วุกุฟ ณ ทุ่ง อะรอฟาต ท่านได้รับเกาะดะห์มาและดื่มละบัน(นมเปรี้ยว)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

ตัวบทของมุสลิม อะบูดาวูด และติรมิซี ว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้ห้ามดื่มขณะยืน

ตัวบทของมุสลิม ว่า คนใดจากพวกท่านอย่าดื่มขณะที่ยืน ดังนั้น ผู้ใดดื่มขณะยืน ให้เขาจงอาเจียนออกมา

เล่าจาก อัมร์ บิน ชุอัยบิ จากบิดาของเขา จากปู่ของเขา ร.ฎ.    ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้เห็นท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้ดื่มขณะยืนและนั่ง

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี เป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

*ที่ท่านยืนดื่มได้คือน้ำ แต่นม ละบัน น้ำซุบท่านจะนั่ง (เท่าที่สังเกตจากหะดีษต่างๆ ที่ผ่านมาผ่านมา)

เล่าจาก อะบี สะอีด ร.ฎ.   ว่าแท้จริงท่านนบี ซ.ล.  ได้ห้ามเป่าลมลงบนเครื่องดื่ม ได้มีผู้ชายคนหนึ่งกล่าวขึ้นว่า ข้าพเจ้าเห็นเศษผงที่มันลอยอยู่ในภาชนะ  ท่านนบี ซ.ล.  ได้ตอบว่า ท่านจงหยิบมันออก ชายคนนั้นกล่าวว่า แท้จริงข้าพเจ้าไม่ได้ดื่มน้ำจากการหายใจครั้งเดียว ท่านกล่าวว่า ดังนั้นท่านจงยกภาชนะนั้นออกจากปากเสียก่อน เพื่อหายใจ แล้วจึงยกมาดื่มใหม่

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจาก อะบี เกาะตาดะห์ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า เมื่อใครคนใดคนหนึ่งจากพวกท่าน ได้ดื่มน้ำ อย่าให้เขาหายใจรดน้ำในภาชนะนั้น

เล่าจาก อะนัส บิน มาลิก ร.ฎ.  ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.  เคยหายใจในการดื่มสามครั้ง (โดยยกภาชนะออกจากปากก่อน “และหมายความว่า ดื่มสามอึกใหญ่) แล้วกล่าวว่า แท้จริงมันทำให้อิ่มดี ทำให้หายจากพิษภัยได้ดี และทำให้เกิดประโยชน์ดี ท่าน อนัสกล่าวว่า ดังนั้นสำหรับข้าพเจ้าจะหายใจในการดื่มสามครั้ง

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ.   จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า ท่านทั้งหลายอย่าดื่มรวดเดียวเหมือนอูฐดื่มน้ำ แต่ท่านทั้งหลายควรดื่มคราวละสองอึก หรือคราวละสามอึก และก่อนดื่มต้องกล่าวนาม อัลลอฮ์ เมื่อท่านทั้งหลายไดดื่ม จงสรรเสริญอัลลอฮ์ (กล่าว อัลฮัมดุ ลิลลาฮิ) หลังจากเมื่อท่านทั้งหลายยกภาชนะออกจากปาก

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ.   ว่าแท้จริงท่านนบี ซ.ล.  ได้ดื่มนม ต่อมาท่านได้ดื่มน้ำเพื่อกลั้วปากเนื่องจากการดื่มนมนั้น และได้กล่าวว่าแท้จริงนมมีไขมัน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

เล่าจาก อะบี สะอีด ร.ฎ.   ว่าแท้จริงท่านนบี ซ.ล.  ได้ห้ามดื่ม จากปากภาชนะที่ใช้บรรจุเครื่องดื่ม (เช่าจากปากถุงหนังใส่ละบัน”นมเปี้ยว” น้ำ ฯลฯ)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจาก ยาบิร ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ท่านนบี  ซ.ล.  และ เศาะฮาบะห์คนหนึ่งของท่านได้เข้าไปหาผู้ชายชาวอันศ็อรคนหนึ่ง ขณะที่เขากำลังผันน้ำอยู่ในสวนของเขา ท่านจึงได้กล่าวว่า ถ้าหากท่านมีน้ำ ค้างอยู่ในถุงหนังเมื่อคืนนี้ ก็จงนำมาให้ข้าพเจ้าได้ดื่มเถิด ถ้าหากไม่มี เราจะยื่นคอลงไปดื่มเอง ชายชาวสวนตอบว่า ข้าพเจ้ามีน้ำอยู่ในถุงหนังพอดีครับ

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด  และบุคอรีเพิ่มเติมว่า เขาได้เดินที่พักในไร่องุ่น ได้เทน้ำลงในเหงือก และได้รีดนมแพะของเขาเติมลงไป ต่อมาท่านนบีซ.ล.  ก็ได้ดื่มน้ำผสมนมแพะ ภายหลังเขานำมาเพิ่มให้อีก เหล่าเศาะฮาบะห์ก็ได้อาศัยดื่มกับท่านนบีไปด้วย

เล่าจาก อะนัส บิน มาลิก ร.ฎ.  แท้จริงท่านนบี ซ.ล.  นั้น ได้มีผู้นำนมผสมกับน้ำมาให้ท่านดื่ม ทางด้านขวามีอาหรับชนบทคนหนึ่ง และทางด้านซ้ายมี อบูบักกัร ท่านได้ดื่มและต่อมาท่านได้ส่งต่อไปให้ชายอาหรับชนบทคนนั้นได้ดื่ม แล้วกล่าวว่า ข้างขวาก่อน ข้างขวาก่อน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจาก อะบี เกาะตาดะห์ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า คนที่ทำหน้าที่แจกน้ำให้กับผู้คนได้ดื่มนั้น เขาเป็นคนสุดท้ายที่ได้ดื่ม

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซีถือว่าเป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

คำกล่าวการสรรเสริญจากการรับประทานและดื่ม

เล่าจาก อะบี อุมามะห์ ร.ฎ.  ว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล.  ปรากฏว่าเมื่อสำรับอาหารถูกยกมาท่านจะกล่าวว่า มวลการสรรเสริญ เป็นสิทธิ์ของ อัลลอฮ์อย่างมากมาย (اَلْحَمْدُ لِلَّهِ كَثِيْرًا طَيِّبًا مُبَارَكًا - อัลฮัมดุ ลิลลาฮิ กะษีร็อน ฏอยยิบัน) อย่างดี อย่างมีมงคลในการสรรเสริญนั้น โดยที่ไม่มีใครทำให้พระองค์เพียงพอ และโดยพระองค์ ไม่ถูกทอดทิ้ง และโดยไม่มีใครจะไม่พึ่งพาอาศัยพระองค์ ข้าแด่พระ ผุ้อภิบาลของเรา

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี และตัวบทของบุคอรีว่า มวลการสรรเสริญ เป็นสิทธิ์ของ อัลลอฮ์ ซึ่งทำให้พวกเราพอเพียง และได้ให้น้ำดื่มแก่พวกเรา และโดยที่ความโปรดปรานของพระองค์จะไม่ถูกปฏิเสธ และตัวบทของมุสลิมและติรมิซีว่า แท้จริงอัลลอฮ์จะพอใจบ่าวที่รับประทานอาหารมื้อหนึ่ง และเขาได้สรรเสริญพระองค์บนอาหารมื้อนั้น หรือที่ดื่ม เครื่องดื่ม และเขาได้สรรเสริญพระองค์บนเครื่องดื่มนั้น และตัวบทของเจ้าของสุนัน(อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี)ว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.  เมื่อเสร็จจากอาหารของท่าน ท่านได้กล่าวว่า มวลการสรรเสริญ เป็นสิทธิ์ของ อัลลอฮ์ ซึ่งได้ให้อาหารแก่เรา และได้ให้น้ำดื่มแก่เรา และได้ให้เราเป็นมุสลิมิน (اَلْحَمْدُ لِلَّهِ الَّذِى أطْعَمَنَا وَ سَقَانَا وَ جَعَلَنَا مُسْلِمِيْنَ – อัลฮัมดุลิลลาฮิล ละซี อัตเตาะอามะนา วะ ซะกอนา วะ ญะอะละนา มุสลิมีน) และตัวบทขอ อะบูดาวูดและนะซาอีว่า ปรากฏว่าเมื่อท่านนบี ซ.ล.  ได้รับประทานอาหารหรือได้ดื่ม ท่านจะกล่าวว่า มวลการสรรเสริญ เป็นสิทธิ์ของ อัลลอฮ์ผู้ซึ่งให้อาหาร และให้น้ำ และมันง่ายที่จะรับประทานเข้าไปและถ่ายทุกข์ออกมา และได้ดลบันดาลให้มันมีทางออก

เล่าจาก มุอาซ บิน อะนัส ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ผู้ใดๆด้ได้รับประทานอาหาร แล้วกล่าวว่า มวลการสรรเสริญ เป็นสิทธิ์ของ อัลลอฮ์ ผู้ซึ่งให้อาหารนี้แก่ข้าพเจ้า โดยไม่มีกำลังและพลังจากข้าพเจ้า เขาจะถูกอภัยโทษจากบาปที่ผ่านพ้นมา

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า เมื่อใครคนใดจากพวกท่านรับประทานอาหารให้เขากล่าวว่า  โอ้พระองค์อัลลอฮ์ได้โปรดเพิ่มพูนแก่พวกเราในอาหารนี้ และได้โปรดให้เราได้อาหารที่ดีกว่านี้ และเมื่อได้ดื่มนมให้เขากล่าวว่า โอ้พระองค์อัลลอฮ์ได้โปรดเพิ่มพูนแก่พวกเราในอาหารนี้ และได้โปรดเพิ่มปริมาณให้แก่พวกเราจากอาการนี้ แท้จริงไม่มีสิ่งใดที่จะทดแทนทั้งอาหารและเครื่องดื่มได้นอกจากน้ำนม

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี

ภาชนะเครื่องใช้

เล่าจาก หุซัยหะห์  ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายอย่ากินดื่มจากภาชนะที่เป็นเงินหรือทอง ท่านทั้งหลาย(สำหรับผู้ชาย)อย่าสวมใส่ผ้าไหมชนิดละเอียดและหยาบ เพราะความจริงมันเป็นของพวกกาฟิรในโลกนี้ และเป็นของพวกท่านในวันอาคิเราะห์

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี และในบางรายงานว่า ผู้ใดได้ดื่มในภาชนะที่ทำจากเงินหรือทองคำ ความจริงมันจะเป็นไฟจาก ญะฮันนัม ส่งเสียงดังในท้องเขา

เล่าจาก ยาบีร บิน สะมุเราะห์ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า ท่านทั้งหลายจงปิดภาชนะ จงผูกปากถุงหนังที่ใส่เครื่องดื่ม จงปิดประตู และจงดับไฟ เพราะแท้จริงชัยฏอน จะไม่แก้ถุงหนัง จะไม่เปิดประตูและจะไม่เปิดภาชนะ ดังนั้น ถ้าหากใครคนใดจากพวกท่านไม่พบฝาที่จะปิดภาชนะได้ นอกจากจะเอาท่อนไม้ขวางไว้บนภาชนะนั้น และกล่าวนาม อัลลอฮ์กำกับท่อนไม้ก็ให้เขาจงกระทำเถิด เพราะแท้จริงสัตว์ตัวเล็กๆ ที่ชองรังควานคน มันจะทำให้ไฟไหม้ เป็นอันตรายต่อเจ้าของบ้าน (อาจจะเป็นหนูปืนป่ายภาชนะหกคว่ำ ฟืนตกหล่นเข้ากองไฟ หรือเป็นพาหะนำเชื้อกาฬโรคมาแพ่ ทำให้ตายทั้งบ้าน)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

ตัวบทของ อะบูดาวูดว่า จงปิดประตูของท่าน และจงกล่าวนาม อัลลอฮ์ จงดับไฟตะเกียงของท่าน และจงกล่าวนาม อัลลอฮ์ จงปิดภาชนะของท่าน และจงกล่าวนาม อัลลอฮ์ จงผูกปากถุงหนังที่ใส่เครื่องดื่ม และจงกล่าวนาม อัลลอฮ์

เล่าจาก ยาบีร บิน สะมุเราะห์ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ท่านทั้งหลายจงปิดภาชนะ จงผูกปากถุงหนังที่ใส่เครื่องดื่ม เพราะแท้จริงปีหนึ่งนั้น จะมีคืนหนึ่งที่โรคภัยข้าเจ็บจะลงมาในคืนนั้น มันจะไม่ผ่านภาชนะของคนใดคนหนึ่งจากพวกท่านที่ไม่ปิดฝาไว้ หรือถุงน้ำที่ไม่ได้ผูกปากถุงไว้ นอกจากโรคภัยไข้เจ็บจะลงไปในภาชนะนั้น

รายงานหะดีษโดย มุสลิม

เล่าจาก อะบี ฮุร็อยเราะห์  ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า เมื่อแมลงวันได้ตกลงไปในอาหารของท่านคนใดคนหนึ่งของพวกท่าน ให้เขากดมันให้จมหมดทั้งตัว แล้วจงขว้างมันทิ้งไป เพราะแท้จริงในปีกข้างหนึ่งจากทังสองปีกของมัน ปีกข้างหนึ่งมียารักษาและอีกปีกมีโรค

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด และนะซาอี อะบูดาวูดได้รายงานเพิ่มเติมว่า แท้จริงแมลงวันนั้นได้ป้องกันตัวด้วยปีกที่มีโรค

เล่าจาก อะนัส บิน มาลิก ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้าไม่เคยทราบว่าท่านนบี ซ.ล.  ได้รับประทานอาหารที่มีหลากสีเลย และแป้งละเอียดอย่างดีไม่เคยมาทำขนมปังให้ท่านเลย และท่านไม่เคยรับประทานอาหารบนโต๊ะเลย มีผู้ถาม อะบีกอตะดะห์ว่า ดังนั้นพวกเศาะฮาบะห์รับประทานบนอะไร อะบีกอตะดะห์ตอบว่า พวกเขารับประทานอาหารบนเสื่อที่ปูอยู่บนพื้น

รายงานหะดีษโดย บุคอรี ติรมิซี

เล่าจาก อะบี ซะอ์ละบะห์ ร.ฎ.  ว่า  เขาได้ถามท่านนบี ซ.ล.  โดยกล่าวว่าแท้จริงพวกเราได้เดินทางผ่านพวก อะห์ลิลกิตาบ โดยพวกเขาได้ต้มหมูในหม้อของเขา และจะดื่มสุราในภาชนะของเขา ท่านได้ตอบว่า ถ้าพวกท่านพบภาชนะอื่น ก็ให้ท่านทั้งหลายกินดื่มจากภาชนะใหม่ที่พบ แต่ถ้าหากไม่พบภาชนะอื่น ให้พวกท่านจงล้างมันด้วยน้ำ และจงรับประทานและจงดื่ม

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจาก ยาบีร บิน สะมุเราะห์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า พวกเราได้เคยออกไปทำสงครามพร้อมกับท่านนบี ซ.ล.  และพวกเราได้เอาภาชนะและถุงน้ำของพวกมุชรีกีน(พวกตั้งภาคีกับอัลลอฮ์) พวกเราได้นำมาใช้โดยที่ท่านนบีไม่ได้ตำหนิใดๆพวกเรา

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด

และท่านนบี ซ.ล.  ได้ถูกถามถึงหม้อหุงต้มของพวกบูชาไฟ (المَجُسِ) ท่านได้ตอบว่า ให้พวกท่านจงล้างมันด้วยน้ำ และจงหุงต้มแล้วรับประทานและจงดื่ม

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี

ตอนที่ 3 460

อาหารของคนจำนวนมากและอาหารต้อนรับอาคันตุกะ

เล่าจาก อะบี ฮุร็อยเราะห์  ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า อาหารสำหรับสองคนพอแก่สามคน และอาหารสำหรับสามคนพอแก่สี่คน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และตัวบทของมุสลิมและติรมิซีว่า อาหารสำหรับคนเดียว จะพอแก่คนสองคน และอาหารสำหรับสองคนพอแก่คนสี่คน และอาหารสำหรับสี่คนพอแก่คนแปดคน

เล่าจาก อะบี ฮุร็อยเราะห์  ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า เมื่อคนรับใช้ของใครคนใดจากพวกท่าน ได้ทำอาการทั้งร้อนและควันโชยให้เขาอย่างพอเพียง ให้เขา (เจ้าของบ้าน) จงจับมือคนรับใช้ไว้ และให้จับตัวเขาให้นั่งร่วมวงกับเขา ถ้าหากคนรับใช้ขัดขืนก็ให้เขา (เจ้าของบ้าน) จงหยิบอาหารคำหนึ่งให้แก่เขา (คนรับใช้) เป็นอาหาร

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจาก อะบี ฮุร็อยเราะห์  ร.ฎ.  ได้กล่าว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้แบ่งอินทผลัม โดยให้แก่ทุกๆคนๆละเจ็ดผล ท่านได้ให้ข้าพเจ้าเจ็ดผล และผลหนึ่งจากเจ็ดที่ข้าพเจ้าได้รับมานั้น เป็นอินทผลัมชนิดเลว และไม่ปรากฏว่ามีอินทผลัมผลใดที่ข้าพเจ้าชอบยิ่งกว่ามัน เพราะมันติอยู่ที่ฟันของข้าเจ้า

รายงานหะดีษโดย บุคอรี ติรมิซี

ล่าจาก อิบนิ อุมัร ร.ฎ.  ได้กล่าว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้ห้ามการที่ผู้ชายคนหนึ่งจะแนบระหว่างอินทผลัมสองผล (ในการหยิบครั้งเดียว) จนกว่าจะได้รับอนุญาตจากเพื่อนๆของเขาเสียก่อน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อะนัส บิน มาลิก ร.ฎ.  ได้กล่าว่า พวกเราเชื้อเชิญท่านนบี ซ.ล. ไปที่บ้านพวกเรา ท่านได้มาพร้อมเหล่าเศาะฮาบะห์ของท่าน และท่านได้ใช้พวกเขาได้เข้าไปคราวละสิบคน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

และได้มีคนกลุ่มหนึ่งกล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  แท้จริงพวกเรารับประทานอาหารแต่ไม่อิ่ม ท่านได้กล่าวว่า คิดว่าพวกท่านแยกกันรับประทาน เขาตอบว่า ใช่ครับ ท่านกล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงรวมตัวกันรับประทานอาหารของพวกท่าน และจงกล่าวนาม อัลลอฮ์บนอาหารนั้น พวกท่านจะได้รับ บะรอกะห์บนอาหารนั้น

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า เมื่อท่านอยู่ในงานวะลีมะห์(งานมงคลสมรส) อาหารได้ถูกยกมาแล้ว ดังนั้นท่านอย่าเพิ่งรับประทาน จนกว่าเจาภาพจะอนุญาต

เล่าจาก อับดิลลาฮ์ บิน บุสรี ร.ฎ.  ได้กล่าว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.  มีถาดใบหนึ่งเรียกว่า “ฆอรรออ์”  ต้องแบกด้วยผู้ชยสี่คน เมื่อถึงเวลาเช้าพวกเขาละหมาดดุฮา ถาดใบนั้นได้ถูกยกมา โดยมีซะรีด (ซุบที่ใส่ขนมปังป่น) ใส่มาในถาดด้วย พวกเขาได้เข้าล้อมถาดนั้น เมื่อมีคนมากเข้า ท่านนบี ซ.ล. ได้นั่งคุกเข่า มีชาวอาหรับชนบทคนหนึ่งได้กล่าวว่า ท่านนั่งอะไรอย่างนี้ ท่านนบี ซ.ล. ตอบว่า แท้จริงอัลลอฮ์ได้ให้ข้าพเจ้าเป็นบ่าวที่ใจบุญ พระองค์ไม่ได้ให้ข้าพเจ้าเป็นเผด็จการ ถือยศถือศักดิ์ว่าเป็นนบี ที่จะดื้อรั้น ภายหลังท่านได้กล่าวต่อว่า ท่านทั้งหลายจงกินอาหารจากรอบๆถาด และจงปล่อยที่เหลือไว้ จะได้รับความเพิ่มพูน ศิริมงคลในถาดนั้น

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และอิบนุมายะห์

เล่าจาก อะบี ฮุร็อยเราะห์  ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า ผู้ใดศรัทธาต่ออัลลอฮ์และวันอาคิเราะห์ ให้เขาจงให้เกียรติแก่อาคันตุกะของเขา และผู้ใดศรัทธาต่ออัลลอฮ์และวันอาคิเราะห์  ให้เขาผูกสัมพันธ์ต่อเครือญาติ ในบางรายงานว่า ให้เขาจงให้เกียรติแก่เพื่อนบ้าน และผู้ใดศรัทธาต่ออัลลอฮ์และวันอาคิเราะห์ ให้เขาจงพูดแต่สิ่งดี หรือถ้าไม่เช่นนั้น ก็นิ่งเงียบเสีย

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจาก อะบี ฮุร็อยเราะห์  ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า ผู้ใดศรัทธาต่ออัลลอฮ์และวันอาคิเราะห์ ให้เขาจงให้เกียรติแก่อาคันตุกะของเขา (เขาจะได้)รางวัลของเขาวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง (แต่ไม่เกินสามวัน) และการรับรองนั้นเพียงสามวัน ดังนั้นการรับรอง หลังจากสามวันนั้นถือว่าเป็นทาน และไม่อนุญาตให้อาคันตุกะพำนักอยู่กับเจ้าของบ้าน จนเจ้าของบ้านอึดอัด

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด

เล่าจาก อะบี ฮุร็อยเราะห์  ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า ท่านทั้งหลายจงทักทายด้วยสลามให้ติดเป็นนิสัย และท่านทั้งหลายจงเลี้ยงอาหาร(เพื่อเป็นทานแก่คนยากจน) และท่านทั้งหลายจงฟันหัว(ทำการ ญิฮาด ต่อสู้เพื่อศาสนา) พวกท่านจะได้รับสวรรค์เป็นมรดก และในบางรายงานว่า ท่านทั้งหลายจงทำ อิบาดะห์ต่อผู้ทรงกรุณาปราณี จงเลี้ยงอาหารแก่คนยากจน จงทักทายด้วยสลสมให้ติดเป็นนิสัย ท่านทั้งหลายจะได้เข้าสวรรค์ด้วยความปลอดภัย

โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลายรายงานหะดีษโดย ติรมิซี เป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

เล่าจาก ยาบีร ร.ฎ. ได้กล่าว่า อะบู อัลฮัยซัม บิน อัตตัยฮาน ได้ทำอาหารเลี้ยงท่านนบี ซ.ล.  และได้เชื้อเชิญเหล่าเศาะฮาบะห์ของท่าน เมื่อพวกเขารับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อย ท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลาย(เหล่าเศาะฮาบะห์)จงตอบแทนให้แก่พี่น้อง(เจ้าภาพ)ของพวกท่าน พวกเศาะฮาบะห์ถามว่า อะไรคือหารตอบแทนให้เขา ท่านได้กล่าวว่า แท้จริงผู้ชายคนหนึ่ง เมื่อมีคนเข้าบ้านเขา รับประทานอาหารของเขา ดื่มเครื่องดื่มของเขา ต่อมาพวกนั้นได้ขอพรให้แก่เข้าภาพ นั่นแหละคือการตอบแทนให้เขา

และท่านนบี ซ.ล.  ได้รับประทานขนมปังกับน้ำมันมะกอกที่บ้านท่าน สะอัด บิน อุบาดะห์ เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้ว ท่านได้กล่าวว่า ผู้ถือศิลอด(อาสา)ได้ละศีลอดที่บ้านพวกท่าน และคนดีๆ ได้รับประทานอาหารของพวกท่าน และมวลมะลาอิกะห์ ได้ขอพรให้พวกท่าน

รายงานหะดีษทั้งสองโดย อะบูดาวูด

ตอนที่ 4 463

สิ่งที่ใช้เป็นอาหาร[68]

 ตาอาลาได้ตรัสว่า  โอ้บรรดาผู้ทีศรัทธาแล้วทั้งหลาย จงบริโภคจากลิงที่ดีของสิ่งที่เราได้ประทานเป็นเครื่องยังชีพของพวกท่าน และท่านทั้งหลายจงขอบคุณอัลลอฮ์ ถ้าหากพวกท่านกราบไหว้เฉพาะพระองค์

เล่าจาก อะนัส (ร.ด) ว่า แท้จริงมีช่างเย็บคนหนึ่ง เชิญท่านนบี (ซ.ล) เพื่อรับประทาน อาหารที่เขาทำมันขึ้น, อะนัสได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้าได้ไปพร้อมกับท่าน, ช่างเย็บได้เลื่อนขนมปัง ที่ทำจากข้าวสาลี และซุปซึ่งมีนํ้าเต้าและเนื้อเค็ม เข้ามาใกล้ ข้าพเจ้าได้เห็นท่านนบี (ซ.ล) ติดตาม นํ้าเต้า จากรอบ ๆ ถาด ดังนั้นข้าพเจ้าจึงคงชอบนํ้าเต้านับตั้งแต่วันนั้น

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอับดลลาห์ บุตร ยะอฺฟัร ร.ฎ.  ไต้กล่าวว่า ข้าพเจ้าเห็นท่านนบี (ซ.ล) รับประทาน อินทผลัมสุกครึ่งดิบครึ่ง (ห่าม – رُطَبَ ) กับแตงกวา (قُثَاءِ)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจาก อาอิชะห์ (ร.ด) ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านบี (ซ.ล) เคยรับประทานแตงโม(بَطِيْخَ)กับ อินทผลัมสุกครึ่งดิบครึ่ง แล้วกล่าวว่า เราจะทำลายความร้อนด้วยสิ่งนี้ ด้วยความเย็นของสิ่งนี้ และทำลายความเย็นของสิ่งนี้ด้วยความร้อนของสิ่งนี้[69]

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากยาบิร (ร.ด) ได้กล่าวว่า  พวกเราได้อยู่ร่วมกับท่านนบี (ซ.ล) ที่มัรริดดอห์รอน และพวกเรากำลังเก็บผล “อัลกะบาซ”[70] ท่านนบี (ซ.ล) ได้กล่าวว่า พวกท่านจงเก็บเอาแต่ ผลดำ  ของมัน พวกเราจึงได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์คล้ายกับท่านเคยเลี้ยงแพะ ท่าน ตอบว่า ใช่แล้ว ไม่มีนบีใดหรอกนอกจากเคยเลี้ยงแพะ

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

และท่านนบี ซ.ล.  ได้หยิบเศษขนมปังที่ทำจากข้าวสาลีแล้วเอาอินทผลัม (تَمَرً) วางบนเศษ ขนมปัง แล้วกล่าวว่า นึ่เป็นกับ(แกล้ม)ของนี่[71]

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจากบุตรชายทั้งสองของ บุสร์ ตระกูล ซุละมียีน (ร.ด) ทั้งสองได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้เข้ามาหาพวกเรา พวกเราไต้ยกมาเสนอให้ท่านด้วยเนยเหลว (زُبْدَا) และอินทผลัมสุก (تَمَرً) และปรากฏ ว่าท่านชอบเนยเหลวกับอินทผลัม

รายงานโดย อะบูดาวูด และอิบนุมายะห์

เล่าจากอิบนิอุมัร (ร.ด) ได้กล่าวว่า  ขณะทีพวกเรานั่งอยู่กับท่านนบี (ซ.ล) บังเอิญยอดอ่อนของด้นอินทผลัมได้ถูกนำเข้ามา ท่านนบี (ซ.ล) จึงได้กล่าวว่า  แท้จริงมีต้นไม้ชนิดหนึ่งทความเพิ่มพนของมัน เหมือนความเพิ่มพูนของมุลลิม บัดนั้นข้าพเจ้าคิดว่ามันต้องเป็นด้นอินทผลัม ข้าพเจ้าตั้งใจจะตอบว่ามันคือด้นอินทผลัม โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์, ข้าพเจ้าได้หันมองไปรอบ ๆ และพบว่าข้าพเจ้าเป็นหนึ่งจากจำนวนสิบคน(ที่นั่งร่วมวงกับท่านนบี)ข้าพเจ้ามีอายุน้อยที่สุดของ พวกเขา ข้าพเจ้าจึงนิ่งเสีย ต่อมาท่านนบี(ซ.ล)จึงกล่าวว่า มันคือต้นอินทผลัม

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

เล่าจากสะหัล (ร.ด) ได้กล่าวว่า มีหญิงชราคนหนึ่งของพวกเรา หล่อนได้เอาโคนผัก “ซิลก์”[72] ใส่ลงไปโนหม้อของหล่อน เอาเมล็ดข้าวสาลีใส่ลงไปบนผักนั้น เมื่อพวกเราละหมาด เสร็จได้ไปเยี่ยมหล่อน ต่อมาหล่อนได้เลื่อนอาหารนั้นให้เข้ามาใกล้พวกเราๆ ดีใจที่จะได้ รับประทานอาหารนั้นด้วยเป็นวันศุกร์ พวกเราไม่เคยรับประทานอาหารกลางวัน และไม่เคยนอน กลางวัน เว้นแต่หลังจากวันศุกร์ สาบานด้วย อัลลอฮ์ ไม่มีมันและไขมันอยู่ในอาหารนั้น

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

เล่าจากยาบิร ร.ฎ.  ว่าแท้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้ถามครอบครัวของท่านถึงกับข้าว พวกเขา ตอบว่า พวกเราไม่มีนอกจากน้ำส้มสายชู ท่านนบีจึงได้เรียกเอาน้ำส้มสายชูและรับประหาน น้ำส้มนั้น โดยกล่าวว่า กับข้าวที่ดีคือนํ้าส้ม กับข้าวที่ดีคือนั้าส้ม

รายงานหะดีษโดย  มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และเล่าจากเขา (ยาบิร) ได้กล่าวว่า  ท่านนบี ซ.ล. ได้พาข้าพเจ้าไปยังบ้านของท่านแล้วกล่าวว่า  มีอาหารเช้าไหม พวกเขาตอบว่า มี พร้อมทั้งได้นำขนมปังสามแผ่นมาให้ ท่านได้หยิบแผ่นหนึ่งวางข้างหน้าท่าน และหยิบอีกแผ่นหนึ่งวางข้างหน้าข้าพเจ้า และหยิบแผ่นที่สามมาฉีกออก วางครึ่งหนึ่งข้างหน้าท่าน และอีกครึ่งหนึ่งข้างหน้าข้าพเจ้า ภายหลังท่านได้กล่าวว่า  มีกับข้าวไหม พวกเขาตอบว่า ไม่มี นอกจากนํ้าส้มนิดหน่อย ท่านกล่าวว่า  พวกท่านจงนำมันมาเถิด เพราะกับข้าวที่ดีที่สุดก็คือมัน (นํ้าส้ม) นั่นเอง

รายงานหะดีษโดย มุสลิม

เล่าจากอุมัร ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า  ท่านทังหลายจงรับประทานน้ำมัน (มะกอก)[73] และจงทาด้วยนํ้ามัน(มะกอก)[74] เพราะมันมาจากด้นไม้ที่มีคิริมงคล

รายงานหะดีษโดย  ติรมิซี และฮากีม เป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

เล่าจาก อะบีมูซา ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า  ผู้ชายทีมีคุณสมบัติครบถ้วนนั้น มีจำนวนมาก และจะไม่มีคุณสมบัติครบถ้วน จากพวกผู้หญิงนอกจาก มัรยัม บุตรสาวของ อิมรอน และอาสิยะห์[75] ภรรยาของฟิรอูน และความประเสริฐของอาอิชะห์เหนือพวกผู้หญิงทั้งหลาย เหมือน ความประเสริฐของซะรีดเหนือกว่าอาหารทั้งหมด [76]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี ติรมิซี

และตัวบทของ อะบีดาวูดว่า  ปรากฏว่าอาหารทีท่านนบี ซ.ล.  โปรดปรานมากทีสุด คือ ซะรีดที่ทำจากขนมปังและซะรีดทีทำจากไฮซ์[77]

เล่าจากอับดิ้ลลาห์ อัลมุชะนี ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า  เมื่อใครคนหนึ่งจาก พวกท่านได้เอาเนื้อให้เขาจงใส่น้ำซุปของมันให้มากๆ ถ้าหากเขาไม่พบเนื้อเขาก็ได้นํ้าซุปเพราะนํ้าซุปนั้นก็เป็นหนึ่งจากสองเนื้อ[78]

รายงานหะดีษโดย  ติรมิซี

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล. ชอบขนมหวานและน้ำผึ้ง

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด ติรมิซี

และเล่าจากเขา (อาอิชะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า  โอ้อาอิชะห์ บ้านใดที่ไม่มี อินทผลัมอยู่ในบ้าน คนในบ้านนั้นเป็นผู้ที่หิวโหย

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

อนุญาตให้ผู้ที่ตกอยู่ในยามคับขันรับประทานซากตาย 465

เล่าจากยาบิรบุตร ซะมุเราะห์ ร.ฎ.  ว่า  แท้จริงมีผู้ชายคนหนึ่งได้ลงพักอยู่ที่ฮัรเราะห์[79] พร้อมด้วยภรรยาและบุตรของเขา ต่อมาเขาได้พบอูฐหลงทางจากเจ้าของตัวหนึ่ง และปรากฏว่าเจ้า ของอูฐนั้นได้เคยขอร้องให้เขาจับมันไว้. ถ้าหากพบตัวมัน. ต่อมาอูฐตัวนั้นได้ปวย. ภรรยาของเขา ได้กล่าวว่า  จงเชือดมันเสียเถิด แต่เขาไม่ยอม ต่อมาอูฐก็ตาย หล่อนจึงกล่าวว่า  จงถลกหนังมัน เสียเถิด, เพื่อเราจะได้แล่เนื้อและมันของมัน, และรับประทานมัน, ชายผู้นั้นได้กล่าวว่า  จนกว่า ข้าพเจ้าจะไปถามท่านนบีเสียก่อน หลังจากนั้นเขาได้ถามท่านนบี ท่านจึงตอบว่า  ท่านมีอาหารทีจะ ทำให้ท่านพอเพียงหรือไม่? ชายผู้นั้นกล่าวว่า  ไม่มี ท่านจึงกล่าวว่า  ท่านทั้งหลายจงรับประทาน มันเถิด ผู้เล่าได้กล่าวว่า  ต่อมาเจ้าของอูฐได้มา ชายผู้นั้นจึงเล่าให้เจ้าของอูฐฟัง เจ้าของอูฐ ได้กล่าวว่า ทำไมท่านจึงไม่เชือดมัน ชายผู้นั้นตอบว่า ข้าพเจ้าละอายท่าน

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และอะห์มัด

เล่าจากฟุไยอ์ อัลอามิรี ร.ฎ.  ว่า เขาได้มาหาท่านนบี ซ.ล. แล้วได้กล่าวว่า  อะไรบ้าง ที่อนุญาตให้แก่พวกเราจากซากตายๆ ท่านได้ถามว่า  อะไรคืออาหารของพวกท่าน  พวกเรา ตอบว่า พวกเราดื่มนมเหยือกหนึ่งในตอนเย็นและดื่มอีกเหยือกหนึ่งในตอนเช้า ท่านได้กล่าวว่า สาบานต่อบิดาของข้าพเจ้า นั่นคือความหิวโหย ท่านนบีจึงได้อนุญาตให้พวกเขารับประทาน ซากตายเมื่ออยู่ในสภาพนี้[80]

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด 

ผักต่าง ๆ ที่ไม่ควรรับประทาน (มักโระห์)

เล่าจากยาบิร ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า  ผู้ใดรับประทานกระเทียมหรือ หัวหอม ให้เข้าจงปลีกตัวออกไปห่างจากพวกเรา หรือให้เขาจงปลีกตัวออกจากมัสยิดของเรา และให้เขาจงนั่งอยู่ภายในบ้านของเขา และได้มีผู้นำภาชนะกลมใบหนึ่งมาในนั้นมีผักหลายชนิด ต่อมาท่านได้พบว่ามันมีกลิ่น ท่านจึงถาม และได้รับคำตอบด้วยสิงทีอยู่ในผักต่างๆ นั้น ต่อมา ท่านได้กล่าวว่า  ท่านทั้งหลายจงนำผักเหล่านี้ไปให้แก่สาวกบางคน ส่วนตัวท่านนั้นรังเกียจที่ จะรับประทานผักเหล่านั้น ท่านจึงได้กล่าวว่า  จงรับประทานเถิด แท้จริงข้าพเจ้าจะกระซิบ กระซาบกับผู้ที่ท่านจะไม่ได้กระ,ซิบกระซาบ[81]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี และเป็นตัวบทของ อะบูดาวูด

เล่าจากฮุไซฟะห์ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า  ผู้ใดถ่มนํ้าลายลงทางทิศกิบลัต นํ้าลายของเขาที่ถ่มลงนั้นจะมาอยู่ระหว่างตาทั้งสองข้างของเขาในวันกิยามะห์และผู้ใดได้รับประทานจากบรรดาผักทีน่าเกลียดเหล่านี้[82] อย่าให้เขาเข้าใกล้มัสยิดของเรา (ได้กล่าวซ้ำ) สามครั้ง

รายงานโดย อะบูดาวูด

และ อะบูไอยูบ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า  ได้ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.  เมื่อมีผู้ นำอาหารมาให้ท่าน ท่านจะรับประทานมันส่วนหนึ่ง และได้ส่งส่วนที่เหลือไปให้ข้าพเจ้า มีวันหนึงที่ท่าน ได้ส่งอาหารไปให้ข้าพเจ้า โดยท่านไม่ได้รับประทานมันเลย เนื่องจากมีกระเทียมอยู่ในอาหารนั้น ข้าพเจ้าจึงถามว่า มันเป็นสิ่งด้องห้าม (ฮารอม) หรือ  ท่านตอบว่า ไม่ใช่ แต่ข้าพเจ้า รังเกียจเพราะกลิ่นของมัน (กระเทียม)

รายงานหะดีษโดย มุสลิม ติรมิซี 

ตอนที่ 5 467

เครื่องดื่ม[83]

อัลเลาะห์ตาอาลา ได้ตรัสว่า  “และแท้จริงในปศุสัตว์ทั้งทลายนั้น แน่นอนมันเป็น เครื่องเตือนสติแก่พวกท่าน เราให้พวกท่านได้ดื่มจากสิ่งที่อยู่ในท้องของมัน ซึ่งกลั่นกรองมา จากกากอาหารและเลือดเป็นน้ำนมบริสุทธิ์ คล่องคอสำหรับบรรดาผู้ดื่ม

และพระองค์ได้ตรัสว่า  “จะออกจากท้องของมัน (ผึ้ง) เครื่องดื่มสีต่าง ๆ ในนั้นมียารักษาโรคแก่มวลมนุษย์”

เล่าจากอะนัส ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ต้น ซิดเราะห[84] ได้ถูกยก มายังข้าพเจ้า ทันใดนั้นได้มีแม่นํ้าสี่สาย และแม่น้ำสองสายอยู่ภายนอก อีกสองสายอยู่ภายใน ส่วนสองสายที่อยู่ภายนอกนั้นคือ แม่น้ำไนล์และฟุรอต (ยูเฟรติส) ส่วนอีกสองสายที่อยู่ภายใน นั้นคือแม่น้ำสองสายที่อยู่ในสวรรค์ และได้มีผู้นำเหยือกสามใบมายังข้าพเจ้า ใบหนึ่งมีน้ำนม อีกใบหนึ่งมีนํ้าผึ้ง และใบที่สามมีสุรา ข้าพเจ้าจึงได้หยิบเอาเหยือกใบที่มีนํ้านม และข้าพเจ้า ได้ดื่ม ต่อมาได้มีผู้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า ท่านได้ปฏิบัติถูกต้องตามแบบธรรมชาติที่บริสุทธิ์ ทั้งตัวท่านเองและประชากรของท่าน

และได้มีผู้นำเหยือกสองใบมาให้ท่านนปี ซ.ล.  ที่อีลิยาอ์[85] จาก(เหยือกที่บรรจุ) สุราและน้ำนมในคืนอิสรออ์ ท่านได้มองไปยังเหยือกทั้งสองใบนั้น และท่านได้หยิบเอาน้ำนม ต่อมาท่านญิบรีลได้กล่าวว่า มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิ์ของอัลลอฮ์ ผู้ซึ่งได้นำทางท่านมา สู่ธรรมชาติอันบริสุทธิ์ และถ้าหากท่านหยิบเอาสุราแล้ว ประชากรของท่านต้องหลงผิดและ พินาศ

และท่านอะบูบักร อัซซิดดิก ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า เมื่อเราได้ออกเดินทางพร้อมกับ ท่านนบี ซ.ล.  จากมักกะห์สู่มาตีนะห์ เราได้ผ่านคนเลี้ยงสัตว์ผู้หนึ่ง ในขณะที่ท่านนบี ซ.ล.  กระหายนํ้า ต่อมาข้าพเจ้าได้รีดนมให้ท่านเหยือกหนึ่ง และข้าพเจ้าได้นำน้ำนมเหยือกนั้นมาให้ท่าน ต่อมาท่านได้ดื่ม จนข้าพเจ้าพอใจ

รายงานหะดีษทั้งสามโดย บุคอรี มุสลิม

และท่านอะนัส ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ให้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ซ.ล.  ดื่ม เครื่องดื่มทั้งหมดด้วยเหยือกของข้าพเจ้าใบนี้ ทั้ง นํ้าผึ้ง นะบีช[86] น้ำและน้ำนม

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และนะซาอี

และเล่าจากเขา (อะนัส) ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล. ได้เข้าไปที่บัยรุฮาอ์[87] และท่านได้ดื่มนํ้าที่มีรสดีในสวนแห่งนั้น

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี 

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า และปรากฏว่าได้มีผู้นำนํ้าจืดมาให้ท่านนบี ซ.ล.  จากบุยูต อัซซุกยา[88]

รายงานโดย อะบูดาวูดและอะห์มัด

ตัวบทที่มีมาในเรื่องสุรา (เคาะมัร - خَمَرُ) 468

อัลเลาะฮ์ตาอาลาได้ตรัสว่า  “และบางส่วนจากผลอินทผลัมและองุ่น พวกท่านได้นำ มันไปทำนํ้าเมา และทำเป็นเครื่องยังชีพที่ดี[89] แท้จริงในนั้นย่อมเป็นเครื่องหมายแก่พวกที่มี สติปัญญา” และพระองค์ได้ตรัสว่า “แท้จริงสุรา การพนัน การเชือดสัตว์บูชารูปปั้น และการเสี่ยงทายนั้นเป็นสิ่งสกปรกจากการงานของไซตอน ดังนั้นท่านทั้งหลายจงห่างไกลมัน แน่นอนท่านทั้งหลายจะมีความสุข”

เล่าจากอะนัส ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าเคยรินเครื่องดื่มแก่อะบูอุไบดะห์ อะบู­ตอลฮะห์ และอุไบย์บุตรกะอับ จากสุราที่ทำมาจากนํ้าคั้นอินทผอัมดิบและอินทผลัมสุก ต่อมา ได้มีผู้มาหาพวกเขา แล้วกล่าวว่า แท้จริงสุรานั้นได้ถูกห้ามแล้ว ท่านอะบูตอลฮะห์ จึงได้ กล่าวว่า โอ้อะนัส จงลุกขึ้น และจงเทมันทิ้ง ดังนั้นข้าพเจ้าจึงเทมันทิ้ง

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

เล่าจากอิบนิอุมัร ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า อุมัร ร.ฎ.  ได้แสดงธรรมคุตบะห์บนแท่น (มิมบัร) ของท่านนบี ซ.ล.  โดยได้กล่าวว่า แท้จริง การห้ามสุรานั้นได้ประทานลงมาคือ สุราจากห้าชนิด องุ่น อินทผลัม ข้าวสาลี ข้าวบาเล่ย์ และนํ้าผื้ง[90] และสุรานั้นคือสี่งที่ทำให้ขาดสติ และมีอีกสามอย่างที่ข้าพเจ้าตั้งความปรารถนาว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์จะยังไม่จากพวกเรา ไปจนกว่าท่านจะอธิบายให้พวกเราทราบอย่างแท้จริงคือ ปู่[91]  กะลาละห์[92] และบรรดาประตูที่เกิดริบา[93]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า คณะของพวกอัลดิ้ลกอยส์ได้เข้าพบท่านนบีซ.ล. พวกเขาได้เรียนกามท่านถึงนํ้าหมัก ท่านได้ห้ามพวกเขาหมัก (เครื่องดื่ม) ในภาชนะที่ทำจากนํ้าเต้า ภาชนะที่ทำจากต้นอินทผลัม ภาชนะที่ทำด้วยนํ้ามันดิบ และโอ่งเคลือบ รายงาน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และได้มีผู้กล่าวแก่อิบนิอุมัร ร.ฎ.  ว่า ท่านจงบอกข้าพเจ้าด้วยสิ่งที่ท่านนบี ซ.ล.  ได้ห้ามจากเครื่องดื่มชนิดต่าง ด้วยภาษา(สำเนียง)ของท่าน และจงอธิบายแก่พวกเราเป็น ภาษาของเรา ท่านอิบนิอุมัรได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้ห้าม ฮันตำ คือโอ่งเคลือบ และ ดุบบาอุ คือนํ้าเต้า มุซัฟฟัต คือที่ถูกทาด้วยนํ้ามันดิน และนะกีรคือต้นอินทผลัมที่เกลาจนเรียบ และเจาะเป็นรูและท่านนบีใช้ให้หมัก ในถุงใส่น้ำดื่ม[94]

รายงานโดยมุสลิมและติรมิซี

เล่าจากบุรอยดะห์ ร.ฎ.  จากท่านนที ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ห้ามพวกท่าน สามประการ และบัดนี้ข้าพเจ้าจะใช้พวกท่านในสามประการนั้น ข้าพเจ้าเคยห้ามพวกท่านเยี่ยมเยือนหลุมฝังคพ ดังนั้นท่านทั้งหลายจงเยี่ยมเยือนหลุมฝังศพเถิด เพราะแท้จริงในการเยี่ยม เยือนหลุมฝังศพนั้นเป็นเครื่องเตือนให้ระลึกถึงความตาย ข้าพเจ้าเคยห้ามพวกท่าน(ดื่ม) เครื่องดื่มหลาย ชนิด นอกจากในถุงหนัง ดังนั้นท่านทั้งหลายจงดื่มในภาชนะทุกชนิด นอกจากการที่พวกท่าน จะดื่มสิ่งที่ทำให้มึนเมา และข้าพเจ้าเคยห้ามพวกท่าน จากเนื้อกุรบาน หลังจากสามวัน ดังนั้น ท่านทั้งหลายจงรับประทานเกิด และจงใช้มันหาความสุขในการเดินทางของพวกท่าน

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และท่านเราะซูลุลลอฮ์ซ.ล. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ห้ามพวกท่านจากภาชนะต่างๆ แท้จริงภาชนะจะไม่ทำให้สิ่งใดกลายเป็นสิ่งอนุญาต และจะไม่ทำให้กลายเป็นสิ่งต้องห้าม และ ทุก ๆ สิงที่ทำให้มึนเมา ถือเป็นสิ่งต้องห้าม (ฮารอม)

รายงานโดยมุสลิมและติรมิซี

และอาอิชะห์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ได้มีผู้เรียนถามท่านนบี ซ.ล. ถึงบิตอ. คือนํ้าผึ้ง หมัก ท่านตอบว่า เครื่องดื่มที่ทำให้มึนเมาทั้งหลาย ถือเป็นสิ่งต้องห้าม (ฮารอม)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากตอริก อัลยัวะอฺฟี ร.ฎ.  ว่าเขาได้เรียนถามท่านนบี ซ.ล.  ถึงสุรา ท่านได้ ห้ามเขาหรือท่านแสดงความรังเกียจที่จะให้เขาทำสุรา ต่อมาเขาได้กล่าวว่า แท้จริงข้าพเจ้าทำ มันขึ้นเพื่อใช้เป็นยา ท่านตอบว่า แท้จริงมันไม่ใช่เป็นยา แต่มันเป็นโรค

รายงานโดยมุสลิม อะบูดาวูด และติรมิซี

เล่าจาก ดัยลัม อัลฮิมยะรี ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ถามท่านนบี ซ.ล.  โดย ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ แท้จริงพวกเราอยู่ในแผ่นดินที่หนาวเย็น เราทำงาน หนักในแผ่นดินนั้น และแท้จริงพวกเราได้ทำเครื่องดื่มจากข้าวสาลีนี้ เราจะมีความแข้งแรงด้วย เครื่องดื่มนั้นในการประกอบกิจการงานของพวกเรา และทนทานต่อความหนาวเหน็บในบ้านเมืองของเรา ท่านถามว่า มันจะทำให้มีนเมาหรือ ข้าพเจ้าตอบว่า ครับ ท่านกล่าวว่า ดังนั้นท่านทั้งหลายจงออกห่างไกลจากมัน ข้าพเจ้าจึงได้กล่าวว่า แท้จริงประชาชนจะละทิ้งมันไม่ได้ ท่านกล่าวว่า  ดังนั้น ถ้าหากพวกเขาไม่ละทิ้งมัน พวกท่านจงสู้รบกับพวกเขา[95]

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด

เล่าจากยาบิร ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า สิ่งใดที่ปริมาณมากของมันทำให้ มีนเมา ดังนั้นปริมาณน้อยของมันก็ถือว่าด้องห้าม (ฮารอม)

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี  

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ทุกสิ่งทำให้มึนเมาเป็นของ ต้องห้าม และสิ่งที่ฟะร็อกหนึ่ง[96] ทำให้มีนเมา ด้งนั้น ปริมาณเพียงเต็มกอบมือหนึ่งก็ถือว่า ต้องห้าม (ฮารอม)

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ หะซัน

เตือนให้ระวังการดื่มสุรา 470

อัลลอฮ์ตาอาลาได้ตรัสว่า  ความจริงมารร้ายชัยฏอนปรารถนาจะทำให้เกิดความเป็น ศัตรูและความโกรธแค้นระหว่างพวกท่านเพราะสุราและการพนัน                                    และมันปรารถนาจะขัดขวางพวกท่านจากการรำลึกถึง อัลลอฮ์และจากการละหมาด ดังนี้แล้วพวกท่านจะยุติไหม และท่านทั้งหลายจงภักดีต่ออัลลอฮ์จงภักดีต่อเราะซูลุลลอฮ์ และท่านทั้งหลายจงระวัง ดังนั้นถ้าหากพวกท่านหันเหก็พึงทราบเถิดว่า เป็นหน้าที่ของศาสนาทูตของเราจะต้องเผยแพร่อย่างแจ้งชัด

เล่าจาก อิบนิอุมัร ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ทุกๆ สิ่งที่ทำให้มึนเมาเป็น สุราและทุกๆ สิ่งที่ทำให้มีนเมาเป็นสิ่งต้องห้าม (ฮารอม) และผู้ใดดื่มสุราในโลกนี้ และเสียชีวิตในสภาพที่ติดสุรา โดยไม่ทันได้กลับตัว (เตาบะห์) เขาจะไม่ได้ดื่มสุราในโลกอาคิเราะห์

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และเล่าจากเขา (อิบนิอุมัร) จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า อัลลอฮ์ทรงสาปแช่ง สุรา ผู้ดื่มสุรา ผู้รินสุรา ผู้ขายสุรา ผู้ซื้อสุรา ผู้คั้นสุรา ผู้ขอให้คั้นสุรา ผู้นำพาสุรา และ ผู้ที่ถูกนำสุราไปให้

รายงานโดย อะบูดาวูดและติรมิซี

ผู้ชายคนหนึ่งได้มาจาก ญัยชาน[97] และได้ถามท่านนบี ซ.ล.  ถึงเครื่องดื่มชนิดหนึ่งที่ พวกเขาดื่มในแผ่นดินของพวกเขา (เป็นเครื่องดื่มที่ทำ) จากข้าวโพด เรียกว่า มิซร์ ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า มันทำให้มึนเมาไหม เขาตอบว่า ครับ ท่านจึงกล่าวว่า ทุกสิ่งที่ทำให้มึนเมาถือเป็นสิ่งต้องห้าม (ฮารอม) แท้จริงอัลลอฮ์ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกรมีสัญญาข้อหนึ่งกับผู้ที่ดื่มสิ่งทำให้มึนเมาว่าจะรินให้เขาดื่ม นํ้าที่ออกมาจากร่างของชาวนรก พวกเขาถามว่า น้ำที่ออกมาจากร่างของชาวนรกคืออะไร โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ท่านได้ตอบว่ามันคือ เหงื่อ ของชาวนรกหรือนํ้าที่คนเอามาจากชาวนรก

รายงานโดยมุสลิม และนะซาอี

และท่านเราะซูลุลลอฮ์ซ.ล.  ไต้กล่าวว่า ผู้ใดดื่มสิ่งที่ทำให้มึนเมา ละหมาดของเขา จะไม่ถูกพิจารณาเป็นเวลาสี่สิบเช้า, ถ้าหากเขากลับตัว อัลลอฮ์จะรับการกลับตัวของเขา ถ้า หากเขากลับไป (ดื่ม) อีกเป็นครั้งที่สี่ เป็นอำนาจของอัลลอฮ์ที่จะให้เขาได้ดื่ม น้ำที่ออกมา จากร่างของชาวนรก มีผู้ถามว่า  น้ำที่ออกมาจากชาวนรก คืออะไร โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ซ.ล.  ท่านได้ตอบว่า คือนํ้าเหลืองของชาวนรกและผู้ใดให้เด็กดื่มสุรา ซึ่งเด็กนั้นยังไม่สามารถแยกแยะสิ่งที่ศาสนาอนุญาต (ฮาลาล) ออกจากสิ่งที่ต้องห้าม (ฮารอม) ได้ก็เป็นอำนาจของอัลลอฮ์ทีจะให้เขาได้ดื่มนํ้าที่ออกมาจากร่างของชาวนรก

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอะบีมาลิก ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ซ.ล. ได้กล่าวว่า จะต้องมีคนหลายจำพวกจากประชากรของข้าพเจ้าอย่างแน่นอนที่พวกเขาถือว่า (ซินา) การละเมิด ประเวณี สุราและเครื่องดีด สี ตี เป้าเป็นสิ่งที่ศาสนาอนุมัติให้ และจะต้องมีคนหลายจำพวกพำนักอยู่บนภูเขาสูงโดยที่คนเลี้ยงสัตว์ของพวกเขาจะนำสัตว์ออกไปเลี้ยงและนำฝูงสัตว์กลับมา จะมีคน (ยากจน) มาหาพวกเขาเพื่อกิจธุระอย่างหนึ่งของเขา พวกเขาก็จะกล่าวว่า เจ้าจงกลับมาหาเราอีกในวันพรุ่งนี้ อัลลอฮ์จะทำลายพวกเขาและจะให้ภูเขานั้นถล่มทับและจะสาปบุคคล(อื่น) ที่เหลืออยู่ให้เป็นลิง เป็นหมู จนถึงวันกิยามะห์

รายงานโดยบุคอรีและอะบูดาวูด

และท่านเราะซูลุลลอฮ์ซ.ล.  ได้กล่าวว่า แน่นอนจะต้องมีผู้คนจำนวนมากจากประชากรของข้าพเจ้าดื่มสุราโดยที่พวกเขาเหล่านั้นจะเรียกสุราว่าไม่ใช่สุรา                      

รายงานโดย อะบูดาวูด นะซาอีและอิบนุฮิบบานถือว่าเป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

เล่าจาก อิบนิอุมัร ร.ฎ.  และซอฮาบะห์ ร.ฎ.  จำนวนหนึ่ง จากท่านนบีได้กล่าวว่า ผู้ใดได้ ดื่มสุรา ดังนั้นให้พวกท่านจงเฆี่ยนเขา และถ้าหากเขายังดื่มอีกก็ให้พวกท่านทั้งหลายจงเฆี่ยนเขาอีก และถ้าหากเขายังดื่มอีกก็ให้พวกท่านทั้งหลายจงเฆี่ยนเขาอีก ภายหลังหากเขายังดื่มอยู่อีกก็ให้ ท่านทั้งหลายจงฆ่าเขา และบางรายงานว่า ให้ท่านทั้งหลายจงฟันคอ[98]เขา

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอุสมาน ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงออกห่างสุราเพราะมันเป็นแม่ของ บรรดาความชั่วร้าย[99] ความจริงได้เคยปรากฏมีผู้ชายคนหนึ่ง จากบุคคลที่อยู่ในยุคก่อนจากพวกท่าน และได้มีผู้หญิงชั่วคนหนึ่งเกิดหลงรักเขา หล่อนได้ส่งทาสหญิงของหล่อนไปหาเขา ขอร้อง ให้เขามาเป็นพยาน เขาได้ออกเดินทางมาพร้อมกับหล่อน และเมื่อเขาเข้าประตู หล่อนก็จะใส่กลอนประตูโดยไม่ให้เขารู้ จนเข้ามาถึงหญิงรูปงามคนหนึ่ง มีเด็กชายคนหนึ่งและภาชนะบรรจุสุราอยู่ที่หล่อน ต่อมาหล่อนได้กล่าวว่า แท้จริงข้าพเถ้าขอสาบานต่ออัลลอฮ์ว่าข้าพเจ้า ไม่ได้เชิญท่านมาเพื่อเป็นพยานแต่ ข้าพเจ้าเชิญท่านมาเพื่อให้ท่านร่วมปวะเวณีกับข้าพเจ้า หรือดื่มหนึ่งแก้วจากสุรานี้ หรือฆ่าเด็กชายคนนี้[100] ชายผู้นั้นได้กล่าวว่า จงรินสุราแก้วหนึ่งให้ข้าพเจ้า หล่อนได้รินให้เขา เขาได้กล่าวว่า จงเพิ่มให้ข้าพเจ้าอีก เขาไม่ยอมจากไปจนในที่สุด เขาได้ร่วมประเวณีกับหล่อนและได้ฆ่าชีวิต (เด็กชายคนนั้น) ดังนั้นท่านทั้งหลายจงออกห่างสุรา เพราะความจริง ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ว่าสุราและอีหม่าน (การศรัทธา) จะไม่รวมอยู่ด้วยกันอย่างเด็ดขาด นอกจากอย่างหนึ่งอย่างใดจากทั้งสองนั้น เกือบจะขับอีกอย่างหนึ่งออกไป และในบางรายงานว่า จะไม่ได้เข้าสวรรค์ ผู้ที่ลำเลิกและจะไม่ (ได้เข้าสวรรค์) ผู้อกตัญญูต่อบิดามารดา และจะไม่ได้เข้าสวรรค์ผู้ดื่มสุราเป็นอาจิน

รายงานหะดีษทั้งสองโดย นะซาอี

บทสุดท้าย 472

สุราจะไม่กลายเป็นน้ำส้มสายชู (ที่สะอาด)

เล่าจากอะนัส ร.ฎ.  ว่าแท้จริงท่านนบิ ซ.ล.  ได้ถูกถามถึงสุราที่ถูกนำมาทำเป็นนํ้าส้มสายชู ท่านตอบว่า  ไม่[101]

รายงานโดยมุสลิมและติรมิซี

และเล่าจากเขา (อะนัส) ว่าแท้จริงอะบูตอลฮะห์ได้เรียนถามท่านนบี ซ.ล.  ถึงเด็ก กำพร้าที่ได้รับสุราเป็นมรดก ท่านได้กล่าวว่า ท่านจงเทมันทิ้งไป เขา (อะบูตอลฮะห์) ได้ กล่าวว่า  ข้าพเจ้าจะไม่เอามันทำเป็นนํ้าส้มสายชู หรือ ท่านตอบว่า ไม่[102]

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด เป็นหะดีษศอลิฮะห์

อนุญาตนํ้าหมักที่ยังไม่ทำให้มึนเมา 473

อะบูอุสัยด์ อัซซาอิดี ร.ฎ.  ได้เชิญท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ไปร่วมในพิธีแต่งงาน ของเขา            ได้ปรากฏว่าภรรยาของเขาเป็นผู้รับใช้พวกเขาในวันนั้นในสภาพที่หล่อนเป็นเจ้าสาว ท่านสะหัล ร.ฎ.  (ผู้เล่าจากอะบูอุสัยด์) ได้กล่าวว่า พวกท่านทราบไหมว่าสิ่งที่หล่อนรินให้ ท่านนบี ซ.ล.  ดื่มนั้น (คืออะไร) หล่อนนำอินทผลัมมาแช่นํ้าไว้ให้ท่านนบีตั้งแต่ตอนกลางคืน ในภาชนะหินใบหนึ่ง เมื่อท่านได้รับประทานอาหาร หล่อนไดรินนํ้าอินทผลัมหมักนั้นให้ท่านดื่ม

รายงาน โดยบุคอรี และมุสลิม

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า พวกเราเคยหมัก (เครื่องดื่ม) ให้แก่ท่านนบี ซ.ล.  ไว้ในถุงหนังที่ผูกด้านบนของมันและมันมีรูอยู่ด้านล่าง พวกเราได้หมักมันไว้ในตอนเช้า และ ท่านจะดื่มมันในตอนเย็น และพวกเราจะหมักมันในตอนเย็นและท่านจะดื่มมันในตอนเช้า

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจาก อิบนิอับบาส ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.  นั้นเคยมีผู้นำองุ่นแห้งมาหมักให้ท่านในตอนเย็น และท่านได้ดื่มมันในวันนี้ พรุ่งนี้และมะรืนนี้ จนถึงตอนเย็น ของวันที่สาม ภายหลังท่านได้ใช้ให้จัดการกับมัน มันจงถูกรินหรือถูกเททิ้ง

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี และตัวบทของอะบีดาวูดและน่าซาอีว่า ปรากฏว่าได้เคยหมัก (เครื่องดื่ม) ให้แก่ท่านนบี ซ.ล.  ในถุงหนัง เมื่อพวกเขาไม่มีถุงหนัง พวกเขาก็หมัก (เครื่องดื่ม) ให้ท่านในภาชนะ ที่ทำจากหิน[103]

ภาค เครื่องนุ่งห่ม 474

มีห้าบท และบทสุดท้าย

บทที่ 1

ผ้าไหม ทองคำ เงิน เป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับผู้ชาย

เล่าจากอุมัร ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดได้สวมใส่ผ้าไหมในโลกนี้เขาจะไม่ได้สวมใส่มันในวันอาคิเราะห์[104]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี

และปรากฏว่าท่านหุซัยฟะห์ ร.ฎ.  ได้อยู่ที่มะดาอิน[105] ท่านได้ขอนํ้าดื่ม หัวหน้าหมู่บ้านได้นำนํ้ามาให้เขาโดยบรรจุมาในภาชนะที่ทำจากเงิน ท่านจึงขว้างมันทิ้งพร้อมด้วยน้ำแล้วกล่าวว่า แท้จริงข้าพเจ้าไม่ได้ขว้างมันทิ้งนอกจากข้าพเจ้าเคยห้ามเขาแล้ว และเขาไม่ยอมยุติ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ทองคำ เงิน ผ้าไหม และผ้าไหมชนิดหยาบมันเป็นของ พวกเขา (กาเฟร) ในโลกนี้ และเป็นของพวกท่านในอาคิเราะห์ และในบางรายงานว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้ห้ามพวกเราดื่มในภาชนะที่ทำจากทองคำและเงินและห้ามรับประทานในภาชนะดังกล่าว และห้ามสวมใส่ผ้าไหมและผ้าไหมชนิดหยาบและห้ามนั่งทับบนมัน           

รายงานหะดีษทั้งสองโดยบุคอรี มุสลิมและน่าซาอี

เล่าจาก อัลบะรออฺ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ได้มีผู้มอบผ้าไหมเป็นของกำนัลแก่ท่านนบี ซ.ล.  ดังนั้นพวกเราจึงได้ลูบคลำมัน[106] และพวกเราชอบมันท่านนบี ซ.ล.  จึงได้กล่าวว่า พวกท่าน ชอบสิ่งนี้หรือ พวกเราตอบว่า ครับ ท่านได้กล่าวว่า  ผ้าเช็ดหน้า เช็ดมือของสะอัดบุตร มุอ๊าซ ในสวรรค์ยังดีกว่านี่เสียอีก

รายงานโดยบุคอรี มุสลิม ติรมิซี น่าซาอี และตัวบทของน่าซาอีว่า ท่านอะนัส ร.ฎ.  ได้กล่าว ขณะที่เขาได้เข้าสู่นครมะดีนะห์และท่านวากิด บุตรอัมร์ บุตร สะอัด บุตร มุอีาช ได้เข้ามาหาเขา ปรากฏว่าท่านสะอัดเป็นคนร่างใหญ่และสูง ภายหล้งเขาได้ร้องไห้และได้ร้องอย่างฟูมฟายพร้อมทั้งกล่าวว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล.  ได้ส่งผู้แทนไปยัง อุไกติร ผู้ปกครองเมืองดูมะห[107] ต่อมาอุไกดิรได้ส่งเสื้อครุยผ่าหน้าทำจากผ้าไหมดิ้นทองทำมาให้ท่าน ต่อมาท่านนบี ซ.ล.  ได้สวมใส่มันหลังจากนั้นท่านได้ยืนบนแท่น (มิมบัร) และนั่งลงโดยท่านไม่พูด และท่านได้ลงจากมิมบัร ประชาชนได้ลูบคลำมันด้วยมือของพวกเขา ท่านจึงได้กล่าวว่า พวกท่านชอบสิ่งนี้หรือ ความจริงผ้าเช็ดหน้า เช็ดมือของสะอัดบุตร มุอ๊าซ ในสวรรค์ยังดีกว่านี่เสียอีก

เล่าจากอุกบะห์ บุตรอามิร ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ได้มีผู้นำเสื้อครุยผ่าหลังที่ทำจากผ้าไหมมาให้เป็นของกำนัลแก่,ท่านนบี ซ.ล.  ท่านได้สวมมัน และได้ไปละหมาดโดยสวมมันไว้  ต่อมาภายหลังได้กลับบ้าน และถอดมันออกโดยเร็วเหมือนคนที่ขยะแขยงมัน แล้วกล่าวว่า สิ่งนี้ไม่สมควรแก่ผู้มีความยำเกรง[108]

รายงามโดยบคอรี และมุสลิม

และท่านอุมัร ร.ฎ.  ได้แสดงธรรมคุตบะห์ที่ อัลยาบิยะห์[109]โดยได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้ห้ามการสวมผ้าไหมนอกจากพื้นที่ขนาดสองนิ้วหรือสามนิ้วหรือสี่นิ้ว                                        

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และท่านอิบนุ อุมัร ร.ฎ.  ได้เอาผ้าที่ทำในประเทศชามผืนหนึ่งจากตลาด ต่อมาเขาได้ แลเห็นด้ายสีแดง[110] เขาจึงได้ล่งมันคืนไป ต่อมาได้มีผู้ถาม อัสมาอฺถึงเรื่องดังกล่าวอัสมาอฺได้กล่าวว่า โอ้หญิงรับใช้ เธอจงหยิบเสื้อคลุมของท่านเราะซูลุลลอฮ์ซ.ล.  มาให้ข้าพเจ้า หล่อน จึงได้นำเอาเสื้อคลุมไหล่ออกมา เป็นเสื้อที่คอเสื้อ แขนทั้งสองข้าง และที่สาบทั้งสองด้าง ถูกกุ้นด้วยผ้าไหม[111]

รายงานโดย อะบูดาวูด และมุสลิม และมุสลิมได้รายงานเพิ่มเติมว่า และอัสมาอฺได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.  เคย สวมมันและพวกเราจะซักมันให้แก่ผู้ป่วยเพื่อได้มันรักษาโรค[112]

เล่าจากอิบนิอับบาส ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล.  ได้ห้ามผ้าที่เป็นไหม แท้ๆ ส่วนธงและเส้นด้ายของผ้าตามยาวที่เป็นไหมนั้นไม่เป็นอะไร

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และฮากีม ด้วยสายรายงานที่ ศอฮีหะห์

เล่าจากอะนัส ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้ยอมผ่อนผันให้แก อับดิรเราะห์มาน บุตรเอาฟ์ และซุบิร บุตร อัลเอาวาม สวมผ้าไหมเพราะโรคคันที่เกิดขึ้นแก่คนทั้งสอง

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

และเล่าจากเขา (อะนัส) ว่าแท้จริงเขาทั้งสองคน (อับดรเราะห์มานและซุบิร)ได้ร้องเรียนไปยังท่านนบี ซ.ล.  ว่ามีเหา ดังนั้นท่านจึงยอมผ่อนผันให้เขาทั้งสองสวมเสื้อที่ทำจากผ้าไหม ในการออกทำสงครามของคนทั้งสอง

รายงานโดยมุสลิมและติรมิซี

เล่าจากอับดิ้ลลาห์บุตร สะอัด จากบิดาของเขา ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้พบชาย คนหนึ่ง[113] ที่บุคอรอเขาอยู่บนหลังฬ่อสีเทาโดยมีผ้าพันศีรษะทีทำจากผ้าไหมสีดำอยู่ด้วยและ เขาได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้สวมผ้าพันศีรษะนี้ให้แก่ข้าพเจ้า

รายงานโดยนะซาอี ฮากีม และอะบูดาวูดได้กล่าวว่า ความจริงได้สวมผ้าไหมนั้นมีจำนวนยี่สิบหรือมากกว่าจากเหล่าอัครสาวกของท่านนบี ซ.ล. [114]

เล่าจากอะลี ร.ฎ.  ได้กล่าวว่าแท้จริงนบีของได้หยิบผ้าไหมและได้นำมาถือ ไว้ในมือขวาของท่าน ได้หยิบทองคำและได้นำมาไว้ในมือซ้ายของท่าน แล้วกล่าวว่า แท้จริง สองสิ่งนี้เป็นสิ่งต้องห้ามเหนือพวกผู้ชายจากประชากรของข้าพเจ้า[115]                                                                                   

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และมุอาวิยะห์ ได้พูดขึ้นท่ามกลางประชาชนจากพวกมุฮาญิรีน และพวกอันซอรว่า พวก ท่านทั้งหลายทราบไหมว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล.  ได้ห้ามจากการสวมผ้าไหม พวกเขาได้กล่าวว่า ข้าแด่พระองค์อัลลอฮ์ (พวกเราทราบแล้ว) ครับ เขาได้กล่าวอีกว่า และท่านนบีได้ห้ามการสวมทองคำนอกจากเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย[116] พวกเขาได้กล่าวว่า ข้าแด่พระองค์อัลลอฮ์ (พวกเราทราบแล้ว) ครับ

รายงานโดย นะซาอี

เล่าจากอัรฟะยะห์ บุตร อัสอัด ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า จมูกของข้าพเจ้าได้รับบาดแผล ในวันกุลาบ[117] ในสมัยญาฮิลียะห์ ข้าพเจ้าจึงทำจมูกจากแผ่นเงิน ต่อมาจมูกได้เน่าเป็นอันตรายแก่ ข้าพเจ้า และท่านนบี ซ.ล.  จึงใช้ข้าพเจ้าให้ทำจมูกจากทองคำ

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

ผ้าไหมและทองคำอนุญาตแก่ผู้หญิง 477

ท่านอะนัส ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้เห็นบนร่างของ อุมมุกัลซูม (ขอความสันติสุข จงประสพแด่หล่อน)                               บุตรสาวของท่านนบี ซ.ล.  มีผ้าคลุมที่ทำจากผ้าไหมเป็นทางหนาๆ

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจากอะลี ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้มอบเสื้อผ้าชุดหนึ่งที่แซมด้วยผ้าไหมเป็นทางหนาๆ ให้แก่ข้าพเจ้า ต่อมาข้าพเจ้าได้นำมันมาสวมและข้าพเจ้าได้เห็นอาการโกรธในใบหน้าของท่าน และท่านได้กล่าวว่า แท้จริงข้าพเจ้าไม่ได้ส่งมันไปให้ท่านเพื่อสวมใส่มัน ความจริงข้าพเจ้าส่งมันไปให้ท่านเพื่อให้ท่านฉีกมันออกแบ่งทำเป็นผ้าคลุมศีรษะของผู้หญิง

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และนะซาอี

บทที่ 2

ประเภทของเครื่องนุ่งห่ม

อัลลอฮ์ตาอาลาได้ตรัส เป็นการเล่าถึงคำพูดของท่านนบียูซุฟ (อ.ล.) ที่ได้กล่าวแก่ พวกพี่น้องของท่านว่า “ท่านทั้งหลายจงนำเสื้อของฉันตัวนี้ไปเถิด และวางมันลงบนใบหน้า บิดาของฉัน เขาจะได้มองเห็นและพวกท่านจงนำครอบครัวของท่านมาหาฉันทั้งหมด”

เล่าจากอุมมิ ซะลามะห์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าเครื่องนุ่งห่มท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  โปรดปรานมากที่สุดคือเสื้อ “ก่อมีส”

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

มัครอมะห์ ร.ฎ.  ได้กล่าวแก่บุตรชายของเขาที่ชื่อมิสวัรว่า โอ้ลูกรัก ฉันได้ทราบว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล.  นั้นได้มีเสื้อคลุมผ่าหน้าหลายตัวมายังท่าน และท่านกำลังแบ่งเสื้อคลุม เหล่านั้น เจ้าจงพาเราไปหาท่าน พวกเราจึงได้ไป และได้พบท่านอยู่ในบ้าน เขา (มัครอมะห์) ได้กล่าวว่าโอ้ลูกรัก จงเรียกท่าน (นบี) มาหาฉัน ฉันเห็นว่าการทำอย่างนั้นเป็นเรื่องใหญ่ ข้าพเจ้า (มิสวัร) จึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าจะเรียกท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  มาหาท่าน เขา (มัครอมะห์) ได้ กล่าวว่าโอ้ลูกรัก ความจริงท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ไม่ใชจอมเผด็จการ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงได้เรียกท่าน และท่านได้ออกมาโดยบนร่างของท่าน มีเสื้อคลุมตัวหนึ่งทำจากผ้าไหมที่ถูกปักด้วยพองคำ ท่านได้กล่าว โอ้มัครอมะห์ตัวนี้เราได้ช่อนมันไว้ให้แก่ท่านและท่านเราะซูลุลลอฮ์ก็ได้มอบเสื้อคลุมนั้นแก่ข้าพเจ้า[118]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอะนัส ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า เครื่องนุ่งห่มที่ท่านนบี ซ.ล. โปรดปรานที่จะสวมมันมากที่สุด คือ เสื้อคลุมที่ทำจากฝ้าย

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจากอิบนิอับบาส ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ผู้ใดไม่มีผ้านุ่งให้เขาจงสวมกางเกง และผู้ใดไม่มีรองเท้าแตะให้เขาจงสวมรองเท้าหุ้มข้อ

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และนะซาอี

ท่านอะนัส ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้เดินไปกับท่านนบี ซ.ล.  บนร่างของท่าน มีผ้าคลุมริมหนา ที่ทำจากเมืองนัจรอน ได้มีอาหรับชาวชนบทคนหนึ่งตามมาทันท่าน และได้ดึง ท่านด้วยผ้าคลุมของท่านนั้นอย่างแรง จนทำให้เกิดรอยขึ้นที่ต้นคอด้านหนึ่งของท่านนบี ซ.ล.  หลังจากนั้นอาหรับชาวชนบทคนนั้นได้กล่าวว่า มุฮัมมัดท่านจงออกคำสั่งมอบให้แก่ข้าพเจ้า จากทรัพย์สมบัติของอัลลอฮ์ที่อยู่กับท่าน ท่านนบี ซ.ล. จึงได้หันไปมองเขา แล้วหัวเราะ และต่อมาก็ได้ออกคำสั่งมอบของให้แก่เขา

รายงานโดยบุคอรีและอะบูดาวูด

เล่าจากสะหัล บุตร สะอัด ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า มีผู้หญิงคนหนึ่งนำผ้าคลุมผืนหนึ่งมา แล้วกล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์แท้จริงข้าพเจ้าได้ทอผ้าคลุมผืนนี้ด้วยมือของข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าจะให้ท่านสวมมัน ท่านนบี ซ.ล.  จึงได้รับเอาผ้าคลุมผืนนั้นอย่างมีความต้องการมัน และต่อมาท่านได้ออกมาหาพวกเราโดยทำเป็นผ้านุ่งของท่าน ได้มีชายคนหนึ่งจากกลุ่มชนนั้น เอามือแตะที่ผ้าคลุมฝืนนั้นแล้วพูดขึ้นว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์จงให้ข้าพเจ้าสวมมันเถิด ท่าน ตอนว่าได้สิ ท่านได้นั่งอยู่ในที่ประชุมนั้น ตามที่พระองค์อัลลอฮ์ต้องการและท่านก็ได้กลับไป ต่อมาท่านได้พับผ้าคลุมผืนนั้น และได้ส่งมันไปให้ชายผู้นั้น กลุ่มชนนั้นได้กล่าวแก่เขาว่า ท่าน ไม่ได้ทำสิ่งที่ดีหรอก ท่านได้ขอผ้าคลุมผืนนั้นจากท่านนบี ทั้งทีท่านก็รู้ดีว่าท่านนบีจะไม่ปฏิเสธ ผู้ที่ขอ ชายผู้นั้นได้ตอบว่า ข้าพเจ้าไม่ได้ขอมันนอกจากเพื่อใช้มันเป็นผ้าห่อศพข้าพเจ้าในวันที่ข้าพเจ้าสิ้นชีวิต และต่อมาปรากฏว่าผ้าคลุมผืนนั้นก็เป็นผ้าห่อศพของเขา

รายงานโดยบุคอรีและ น่าซาอี

อนุญาตให้สวมผ้าขนสัตว์ (ชนิดนุ่ม) และผ้าขนสัตว์ชนิดหยาบและผ้าอื่นๆ

อัลลอฮ์ตาอาลาได้ตรัสว่า “จงประกาศเถิด ใครเล่าที่จะ(กล้า)กำหนดข้อห้ามเครื่องประดับของอัลลอฮ์ ที่พระองค์ได้นำออกมาเพื่อประโยชน์แก่บ่าวของพระองค์และบรรดาสิ่งที่ดีจากเครื่องยังชีพ จงประกาศเถิดมันเป็นประโยชน์แก่บรรดาผู้มีศรัทธาในการดำเนินชีวิตในโลกนี้เป็นพิเศษในวันกิยามะห์ เช่นนั้นแหละที่เราจะแจกแจงโองการต่างๆ แก่ พวกที่มีความรู้”

เล่าจาก อัลบะรออุ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้อยู่ร่วมกับท่านนบี ซ.ล.  ในวันหนึ่ง ขณะเดินทาง ท่านได้ถามว่าท่านมีนํ้าไหม  ข้าพเจ้าตอบว่า มี ท่านจึงลงจากพาหนะของท่าน และเดินไปจนลับจากข้าพเจ้าในความมืดของกลางคืน ภายหลังท่านได้มา ข้าพเจ้าจึงเทภาชนะที่บรรจุนํ้าให้ท่าน ท่านได้ล้างหน้าของท่านและมือทั้งสองข้างของท่าน, และปรากฏว่าบนร่าง ของท่านมีเสื้อคลุมตัวหนึ่งทำจากขนสัตว์ (ชนิดนิ่ม) โดยที่ท่านไม่สามารถเอาแขนทั้งสองข้าง ของท่านออกมาจากเสื้อคลุมตัวนั้นได้ ดังนั้นท่านจึงเอาแขนทั้งสองข้างออกมาทางด้านล่างของเสื้อคลุม และท่านได้ล้างแขนทั้งสองข้างของท่าน จากนั้นได้เช็ดศีรษะของท่าน ข้าพเจ้า จึงก้มลงเพื่อถอดรองเท้าหุ้มข้อทั้งสองข้างของท่าน  ท่านจึงได้กล่าวว่า แท้จริงข้าพเจ้าได้สวมมัน ทั้งสองในขณะที่ (เท้า) ทั้งสองข้างสะอาด ดังนั้นท่านจึงได้เช็ดบนรองเท้าหุ้มข้อทั้งสองข้าง (แทนการล้างด้วยน้ำ)

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

ท่านหญิงอาอิชะห์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้ออกไปในเช้าวันหนึ่ง โดยบนร่างของท่านมีเครื่องนุ่งห่มที่ปักเป็นรูปทีนั่งบนหลังอูฐ ทำจากขนสัตว์ชนิดหยาบสีดำ

รายงานโดยมุสลิมอะบูดาวูดและติรมิซี

เล่าจาก อะบีบุรดะห์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้เข้าไปหาท่านหญิงอาอิชะห์ ร.ฎ.  ท่านหญิงได้นำผ้านุ่งหนาผืนหนึ่งที่ทำจากประเทศยะมัน และผ้าคลุมผืนหนึ่งที่เรียกกันว่า “ผ้าสักหลาด” มายังพวกเราแล้ว ท่านหญิงได้สาบานด้วยอัลลอฮ์ว่า แท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์ ได้ถูกเก็บชีวิตขณะที่อยู่ในผ้าสองผืนนี้

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี 

และเล่าจากเขา (อะบีบุรดะห์) ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า บิดาของข้าพเจ้าได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า โอ้ลูกรัก ถ้าหากเจ้าเห็นพวกเราขณะที่พวกเราอยู่กับท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  และฝนได้ดก ลงมาถูกพวกเรา เจ้าจะต้องคิดว่า กลิ่นของพวกเราเป็นกลิ่นแพะ

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี

และอุกบะห์ อัซซุละมี ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ขอเครื่องนุ่งห่มกับท่านนบี ซ.ล.  ท่านได้ให้ข้าพเจ้าสวมด้วยผ้าเปลือกไม้ชนิดหยาบและตาห่างสองผืน                และขอสาบานว่าข้าพเจ้าได้พบว่าตัวเองเป็นผู้นุ่งห่มที่ดีกว่าบรรดามิตรสหายของข้าพเจ้า

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า กษัตริย์แห่งซิยะซัน[119] ได้มอบของกำนัลให้แก่ท่านนบี ซ.ล.  เป็นเครื่องนุ่งห่มชุดหนึ่งด้วยราคาอูฐตัวผู้สามสิบสามตัว หรืออูฐตัวเมียสามสิบสามตัว และท่านนบีได้รับมันไว้

อิสฮาก บุตร อับดิ้ลลาห์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้ซื้อเครื่องนุ่งห่ม ชุดหนึ่งด้วยราคาอูฐหนุ่มยี่สิบกว่าตัว และท่านได้มอบมันให้แก่กษัตริย์แห่งซิยะซัน

รายงานหะดีษทั้งสามโดย อะบูดาวูด

เล่าจากอิบนิอุมัร ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ผู้ใดสวมเสื้อผ้าที่เป็นจุดเด่น[120] อัลลอฮ์จะให้เขาสวมเสื้อผ้าเหมือนกันนั้นในวันกิยามะห์ หลังจากนั้นไฟนรกจะลามเลียเสื้อผ้านั้น 

รายงานโดยอพบูดาวูดและนะซาอี

สีของเสื้อผ้า 480

อัลลอฮ์ตาอาลาได้ตรัสว่า “และพวกเขาสวมใส่เสื้อผ้าสีเขียว ซึ่งทำมาจากไหมละเอียด และไหมหยาบ พวกเขาอยู่ในสภาพเอกเขนกอยู่บนเตียงในสวรรค์ มันเป็นการตอบแทนที่ดียี่งและ เป็นที่พักอันสวยงาม”

เล่าจากอะบีริมซะห์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าพร้อมด้วยบิดาของข้าพเจ้าได้ไปยังท่าน นบี ซ.ล.  ข้าพเจ้าได้เห็นบนร่างของท่านมีผ้าคลุมสีเขียวสองผืน

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากสะอัด ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้เห็นทางด้านซ้ายของท่านนบี ซ.ล.  มีผู้ชายสองคนบนร่างของคนทั้งสองมีเสื้อผ้าสีขาว ในวันเกิดศึกที่อุฮุด โดยที่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็น ผู้ชายทั้งสองคนก่อนหน้านั้น และหลังจากนั้น[121]

รายงานโดยบุคอรี และมุสลิม ในเรื่องความ ประเสริฐต่างๆ และมุสลิมได้รายงานเพิ่มเติมว่า เขาหมายถึงญิบรีลและมีกาอีล ขอความสันติสุขจงมีแด่เขาทั้งสอง

เล่าจาก อะบีซัรร์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้มาหาท่านนบี ซ.ล.  ขณะที่ท่านกำลังนอนหลับ บนร่างของท่านมีผ้าสีขาว ต่อมาภายหลังข้าพเจ้าได้มาหาท่านขณะที่ท่านตื่นนอนแล้ว ท่านได้กล่าวว่า ไม่มีบ่าวคนใดที่ได้กล่าวว่า ไม่มีพระเจ้าที่ควรแก่การเคารพสักการะนอกจาก อัลลอฮ์ ภายหลังเขาได้เสียชีวิตบนคำดังกล่าว นอกจากเขาจะได้เข้าสวรรค์

รายงานโดยยุคอรี

และท่านเราะซูลุลลอฮ์ซ.ล.  ได้กล่าวว่า  ท่านทั้งหลายจงสวมสีขาวจากเครื่องนุ่งห่มของพวกท่าน เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งจากเครื่องนุ่งห่มที่ดีของพวกท่าน และท่านทั้งหลายจง ห่อศพคนตายของพวกท่านในผ้าสีขาว และแท้จริง ยาทาตาที่ดีของท่านทั้งหลาย คือ อิซมิด (اَلْإثْمِدُ)[122] มันทำให้ตาสว่างและทำให้ขน (ตา)ขึ้น

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และได้มีผู้ชายคนหนึ่งเดินผ่านท่านนบี ซ.ล.  บนร่างของเขามีผ้าสีแดงสองผืน เขาได้ กล่าวสลามแก่ท่านนบี ซ.ล.  และท่านนบี ซ.ล.  ไม่ได้ตอบสลามเขา[123]                                               

รายงานโดย อะบูดาวูด และติรมิซี

เล่าจาก อัลบะรออฺ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.  มีเรือนร่างสูงปานกลาง และความจริงข้าพเจ้าได้เห็นท่านอยู่ในเครื่องนุ่งห่มสีแดง ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นสิ่งใดจะงดงามยิ่งกว่าท่าน[124]

รายงานโดย อะบูดาวูด และติรมิซี

และท่านหญิง อาอิชะห์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า มีผู้ทำผ้าคลุมสีดำผืนหนึ่งให้แก่ท่านนบี ซ.ล.   ท่านได้สวมมัน และเมื่อเหงื่อท่านออกขณะอยู่ในผ้าคลุมนั้นท่านได้กลิ่นขนสัตว์ ต่อมา ท่านจึงได้ถอดมันออก[125] และปรากฏกลิ่นหอมนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้ท่านชื่นชอบ       

รายงานโดย อะบูดาวูดและนะซาอี

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ท่านนบีของอัลลอฮ์ ซ.ล.  ได้ห้ามการที่ผู้ชายจะทาตัวด้วยหญ้าฝรั่น[126]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อะลี ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้ห้ามข้าพเจ้าสวมแหวนทองคำ และเครื่องนุ่งห่มจากผ้าไหม และการอ่าน (อัลกุรอาน) ในขณะรุกัวะอุ และสุญูด และเครื่อง นุ่งห่มที่ถูกย้อมด้วยดอกคำฝอย

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และท่าน อับดุลเลาะห์ บุตร อัมร์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้เห็นบนร่าง ของข้าพเจ้ามีผ้าที่ถูกย้อมด้วยดอกคำฝอยสองผืน ท่านได้กล่าวว่า แท้จริงสิ่งนี้เป็นส่วนหนึ่ง ของเครื่องนุ่งห่มของกาเฟร (ผู้ทรยศ)[127] และในบางรายงานว่า ท่านนบีได้กล่าวว่า มารดาของท่านใช้ท่านด้วยสิ่งนี้หรือ ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าจะซักล้างมันออกทั้งสองผืน ท่านกล่าวว่า แต่ท่านจงเผามันทั้งสองผืน

รายงานโดยมุสลิมและนะซาอี

ผ้าโพกศีรษะและชายหอยของมัน

เล่าจากยาบิร ร.ฎ.  ว่าแท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้เข้าสู่นครมักกะห์ ในปี แห่งการพิชิต โดยมีผ้าโพกศีรษะสีดำ

เล่าจากอัมร์ บุตรฮรอยซ์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้เห็นท่านนบี ซ.ล.  อยู่บน แท่นแสดงธรรม (มิมบัร) โดยมีผ้าโพกศีรษะ ท่านได้ให้ชายของมันห้อยอยู่ระหว่างไหล่ทั้ง สองของท่าน

รายงานหะดีษทั้งสองโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และเล่าจากเขา (อัมร์) ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้เห็นท่านนบี ซ.ล.  โดยมีผ้าโพกศีรษะ สี (นํ้าตาลไหม้)

รายงานหะดีษโดย นะซาอี

และท่านรุกานะห์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ปล้ำกับท่านนบี ซ.ล.  ท่านใต้คว่ำ ข้าพเจ้าลงกับพื้น และข้าพเจ้าได้ยินท่านกล่าวว่า ข้อแตกต่างระหว่างพวกเรากับพวกผู้ตั้งภาคี ต่ออัลลอฮ์ คือ ผ้าโพกศีรษะทับบนหมวก[128]

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี 

และท่านอับดุรเราะห์มาน บุตร เอาฟ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้โพก ศีรษะให้ข้าพเจ้า และท่านได้ห้อยชายของมันไว้ข้างหน้าและด้านหลังของข้าพเจ้า[129]

รายงานโดย อะบูดาวูด

และท่านอิบนุอุมัร ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.  เมื่อได้โพกศีรษะ ท่านได้ห้อยผ้าโพกศีรษะของท่านได้ระหว่างไหล่ทั้งสองข้างของท่าน

นาเพียะอุได้กล่าวว่า และได้ปรากฏว่าอิบนุอุมัร ร.ฎ.  เคยห้อยผ้าโพกศีรษะของท่านได้ระหว่างไหล่ทั้งสองข้างของท่าน[130]

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ หะซัน

ตอน แหวน 483

ห้ามแหวนที่ทำจากทองคำ สุนัตแหวนที่ทำจากเงิน

เล่าจาก อิบนิอุมัร ร.ฎ.  ว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล.  ได้ทำแหวนวงหนึ่งจากทองคำ และท่านได้ให้หัวแหวนอยู่ในด้านฝ่ามือของท่านขณะเมื่อท่านได้สวมมัน ต่อมาประชาชนได้ทำแหวนขึ้นบ้างจากทองคำ ท่านนบี ซ.ล.  ได้ขึ้นแท่น (มิมบัร) ได้สรรเสริญอัลลอฮ์ได้ยอเกียรติพระองค์ และได้กล่าวว่า แท้จริงข้าพเจ้าได้ทำมันขึ้นมา และแท้จริงข้าพเจ้าจะไม่สวมมันอีก ท่านจึงขว้างมันไป และประชาชนก็ได้ขว้าง[131]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอิบนิอับบาส ร.ฎ.  ว่าแท้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้เห็นแหวนทองคำในมือของ ชายคนหนึ่ง ท่านได้ถอดมันออกและขว้างมันทิ้งไป พร้อมกับได้กล่าวว่า ใครคนใดคนหนึ่ง จากพวกท่าน ตั้งใจไปหาถ่านไฟจากขุมนรก จึงได้เอามันมาสวมไว้ในมือของเขา ต่อมาได้มีผู้กล่าวแก่ชายผู้นั้น หลังจากท่านนบี ซ.ล.  ได้ไปแล้วว่า จงหยิบแหวนของท่าน เอามันไปใช้ประโยชน์ ชายผู้นั้นได้กล่าวว่า ไม่ สาบานต่ออัลลอฮ์ ข้าพเจ้าจะไม่หยิบมันตลอดไป โดยที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ซ.ล.  ได้ขว้างมันไปแล้ว[132]

รายงานหะดีษโดย มุสลิม 

และได้มีผู้ชายคนหนึ่งมาหาท่านนบี ซ.ล.  โดยสวมแหวนที่ทำจากทองแดง ท่านได้ กล่าวแก่เขาว่า ไม่สมควรที่ข้าพเจ้าจะได้กลิ่นรูปปั้นจากท่าน[133] เขาจึงได้ขว้างมันทิ้งไป ภายหลัง เขาได้มาอีกโดยสวมแหวนที่ท่าจากเหล็ก ท่านได้กล่าวว่า ไม่สมควรที่ข้าพเจ้าจะพบอยู่บนร่างของท่าน เครื่องแต่งกายของชาวนรก[134] เขาจึงได้ขว้างมันทิ้งไปแล้วกล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ข้าพเจ้าจะใช้สิ่งใดทำแหวน ท่านตอบว่า ท่านจงทำแหวนจากเงิน และอย่าให้มันมีน้ำหนัก เต็มหนึ่งมิซกอล

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ.  ว่าแท้จริงท่านนบี ซ.ล.  ปรารถนาที่จะเขียนสาสน์ไปยังกษัตริย์ กิลรอ กษัตริย์ กอยซอร และกษัตริย์ นัจยาซี ได้มีผู้กล่าวว่า แท้จริงพวกกษัตริย์นั้นจะไม่รับสาส์น นอกจากต้องมีตราประทับ ท่านนบี ซ.ล.  จึงได้ทำแหวนขึ้นวงหนึ่ง ตัวเรือนของมันเป็นเงินและได้สลักลงไปว่า มุฮัมมัดศาสนทูตของอัลลอฮ์

และเล่าจากเขา (อะนัส) ว่าแท้ จริงท่านนบี ซ.ล. ได้ทำแหวนขึ้นวงหนึ่งจากเงิน และได้สลักลงบนแหวนวงนั้นว่า มุฮัมมัด ศาสนทูตของอัลลอฮ์ และท่านได้ประกาศแก่ประชาชนว่า แท้จริงข้าพเจ้าได้ทำแหวนขึ้นวงหนึ่งจากเงิน และข้าพเจ้าได้สลักลงในแหวนวงนั้นว่า มุฮัมมัดศาสนทูตของอัลลอฮ์ และ จะไม่มีใครสลักตามข้อความที่ท่านสลักอีก[135]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และเล่าจากเขา (อะนัส) ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าการสลักแหวนของท่านนบี ซ.ล.  มี สามแถว มุฮัมมัดแถวหนึ่ง ศาสนาทูต (ของ) แถวหนึ่ง และอัลลอฮ์อีกแถวหนึ่ง

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี 

และเล่าจากเขา (อะนัส) ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าแหวนของท่านบี ซ.ล.  ทำจากเงิน และหัวแหวนก็ทำจากเงิน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และเล่าจากเขา (อะนัส) ว่าแท้จริงท่านนบี ซ.ล.  ได้สวมแหวนเงินไว้ในมือขวาของ ท่าน และที่แหวนนั้นมีหัวเป็นหินจากอบิสิเนีย ท่านได้เอาหัวแหวนไว้ติดกับฝ่ามือของท่าน

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.   ได้กล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮ์ทรงบริสุทธิ์ พระองค์ รักสิ่งที่บริสุทธิ์ อัลลอฮ์ทรงสะอาด พระองค์รักความสะอาด อัลลอฮ์ทรงใจบุญ พระองค์รักความใจบุญ อัลลอฮ์ ทรงใจกว้าง พระองค์รักความใจกว้าง พวกท่านจงทำความสะอาดลานบ้านของพวกท่าน และพวกท่านอย่าทำตัวเหมือนพวกยะสูด (ยิว)

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ หะซัน

บทที่สาม 487

ระเบียบในการนุ่งห่ม

เล่าจาก อิบนิอุมัร ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดลากผ้านุ่งอย่างเป็นผู้หยิ่งยะโส อัลลอฮ์จะไม่มองไปยังเขาในวันกิยามะต์ ท่านอะบูบักรได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์แท้จริง ผ้านุ่งด้านหนึ่งจากสองด้านของข้าพเจ้าห้อยลงมา โดยข้าพเจ้าเพิ่งทราบว่ามันเป็นเช่นนั้น ท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ท่านไม่ใช่บุคคลที่ทำเช่นนั้นเพื่อแสดงความหยิ่งยะโส

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ขณะที่ผู้ชายคนหนึ่งกำลังเดินอยู่ ผมที่ห้อยลงมาประบ่าของเขา และผ้าคลุมสองผืนของเขา ทำความครึ้มอกครึ้มใจแก่เขา บัดดลนั้น แผ่นดินได้สูบเขาลงไป ดังนั้นเขาจะย่ำอยู่ใต้แผ่นดินจนถึงวันกิยามะห์

รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม

และเล่าจากเขา (อะบีฮุรอยเราะห์) ว่าเขาได้เห็นผู้ชายคนหนึ่งลากผ้านุ่งของเขาโดยได้เดินเอาเท้าตบพื้น ขณะนั้นท่านอะบูฮรอยเราะห์เป็นเจ้าเมืองปกครองบะห์รอยน์ ท่านอะบุฮุรอยเราะห์ได้กล่าวว่า เจ้าเมืองได้มาแล้ว เจ้าเมืองได้มาแล้ว (และกล่าวว่า) ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้กล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮ์จะไม่มองดูบุคคลที่ลากผ้านุ่งโดยหยิ่งยะโส

          รายงานโดยมุสลิม

เล่าจากอะบีซัรร์ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า บุคคลสามจำพวกที่อัลลอฮ์ จะไม่พูดกับพวกเขาในวันกิยามะห์ คือคนที่ชอบลำเลิกซึ่งเขาจะไม่ให้สิ่งใดนอกจากเขาจะต้อง ลำเลิก คนที่จำหน่ายสินค้าของตนด้วยการสาบานเท็จ และคนที่ทำให้ผ้านุ่งของตนกรอมเท้า

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงรับประทาน ท่านทั้งหลายจงดื่ม ท่านทั้งหลายจงสวมใส่ และท่านทั้งหลายจงบริจาคทาน โดยไม่ฟุ่มเฟือยและโอ้อวด

และอิบนุอับบาส ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า จงรับประทานสิ่งที่ท่านต้องการ จงสวมใส่สิ่งที่ท่านต้องการ ตราบใดที่สองประการนี้จะไม่ทำให้ท่านผิดพลาด นั่นคือความฟุ่มเฟือยและโอ้อวด

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี

เล่าจากอิบนิอุมัร ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า การทำให้กรอมนั้นมีอยู่ในผ้านุ่ง เสื้อ และผ้าโพกศีรษะ ผู้ใดลากสิ่งใดจากสิ่งที่กล่าวมา โดยแสดงความหยิ่งยะโส อัลลอฮ์จะไม่มองเขาในวันกิยามะห์

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจากอิบนิอุมัร ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้เดินผ่านท่านนบี ซ.ล.  โดยที่ผ้านุ่ง ของข้าพเจ้ากรอมเท้า ท่านได้กล่าวว่า โอ้อับดุลเลาะห์ ท่านจงยกผ้านุ่งของท่านขึ้น ดังนั้นข้าพเจ้าจึงได้ยกผ้านุ่งขึ้น หลังจากนั้นท่านได้กล่าวว่า จงเพิ่มอีก ข้าพเจ้าจึงได้ยกเพิ่มขึ้นอีก ต่อมาข้าพเจ้าได้ระมัดระวังมันในภายหลัง ได้มีบางคนจากกลุ่มชนถามว่า ยกสูงขึ้นถึงแค่ไหน เขาตอบว่า ครึ่งหน้าแข้งทั้งสองข้าง

รายงานโดยมุสลิม

และท่านอุไซฟะห์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้จับน่องของข้าพเจ้า หรือหน้าแข้งของท่าน แล้วกล่าวว่า นี่คือที่ของผ้านุ่ง ดังนั้นถ้าหากท่านไม่ยอม ก็ให้ตํ่าลงไปยิ่งกว่านั้น ถ้าท่านยังไม่ยอม ก็ไม่สมควรที่ผ้านุ่งจะกรอมอยู่ที่ตาตุ่มทั้งสองข้าง

รายงานโดย ติรมิซี และนะซาอี

ท่าน อับดุลเราะห์มาน ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ถามอะบูสะอีด ถึงเรื่องผ้านุ่ง เขาได้กล่าวว่า  ท่านได้พบกับผู้เชี่ยวชาญแล้ว ท่าน ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผ้านุ่งของมุสลิมถึงครึ่งหน้าแข้ง ไม่เป็นการลำบาก และไม่มีบาปในสิ่งที่อยู่ระหว่างหน้าแข้งกับตาตุ่มทั้งสองข้าง สิ่งที่อยู่ต่ำกว่าตาตุ่มทั้งสองข้างลงไป อยู่ในขุมนรก

รายงานโดย บุคอรี อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจากญาบิร บุตร สุลัยม์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้เห็นผู้ชายคนหนึ่งที่ประชาชน จะรับความคิดเห็นของเขา เขาจะไม่พูดสิ่งใดนอกจากประชาชนจะรับเอาสิ่งนั้นไปปฎิบัติ ข้าพเจ้าได้ถามว่าชายผู้นี้เป็นใคร พวกเขาตอบว่า คือเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า จงประสบแด่ท่านความสันติสุข (عليك السلام)โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ (ข้าพเจ้าได้กล่าว) สองครั้ง ท่านได้ กล่าวว่า ท่านอย่ากล่าวว่าจงประสบแต่ท่านความสันติสุข (عليك السلام) เพราะแท้จริงมันเป็นการแสดงคารวะแก่คนตาย[136] ท่านจงกล่าวว่าความสันติสุขจงประสบแก่ท่าน (السلام عليك) ข้าพเจ้าถามว่า ท่านเป็นศาสนทูต ของอัลลอฮ์หรือ ท่านตอบว่า ข้าพเจ้าเป็นศาสนทูตของอัลลอฮ์ผู้ซึ่งเมื่อท่านประสพภัย ท่านได้วิงวอนต่อพระองค์ พระองค์ก็จะช่วยให้ภัยพ้นไปจากท่าน และเมื่อท่านประสพภัยปีแห่งความแห้งแล้ง ท่านได้วิงวอนขอต่อพระองค์ พระองค์จะให้มัน (พืช) งอกงามเป็นประโยชน์แก่ท่าน และถ้าหากท่านอยู่ในพื้นแผ่นดินอันเวิ้งว้าง หรือกลางทะเลทราย พาหนะของท่านได้พลัดหลงไปจากท่าน ท่านได้วิงวอนขอต่อพระองค์ อัลลอฮ์จะให้มันกลับคืนมาหาท่าน ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้โปรดสั่งเสียแก่ข้าพเข้า ท่านได้กล่าวว่า ท่านอย่าด่าผู้ใด เขา (ยาบิร) ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่เคยด่าหลังจากนั้นอีกเลย ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ มีอิสระ เป็นทาส เป็นอูฐ หรือแกะ ก็ตาม  ท่านนบีได้กล่าวว่า ท่านอย่าดูถูกสิ่งใดทีเป็นความดี และท่านจะต้องพูดกับพี่น้องของท่าน โดยท่านมีดวามเบิกบานกับเขา เพราะนั่นก็เป็นความดี ท่านจงยกผ้านุ่งของท่านถึงครึ่งหน้าแข้ง ถ้าหากท่านไม่ยอม ก็ให้ยกขึ้นเหนือตาตุ่มทั้งสองข้าง และท่านจงระวังการนุ่งผ้ากรอม เพราะนั่นถือว่าเป็นการหยิ่งยะโส และแท้จริงอัลลอฮ์ไม่ชอบ ความหยิ่งยะโส และถ้าหากมีคนใดด่าท่าน และประณามท่าน ด้วยสิ่งที่เขารู้ (ความลับ) ในตัวท่าน ท่านอย่าประณามเขาด้วยสิ่งที่ท่านรู้ในตัวเขา เพราะแท้จริงภัยพิบัตินั้นๆ จะประสพกับเขา

รายงานโดย อะบูดาวูด

อัสมาอฺ บุตรสาว ยะซีด ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ปรากฏว่า แขนเสื้อที่มือของท่านนบี ซ.ล.  นั้นถึงข้อมือ

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า เมื่อพวกท่านได้สวม และเมื่อพวกท่านได้อาบนํ้าละหมาด ท่านทั้งหลายจงเริ่มด้วยข้างขวาของพวกท่านก่อน

รายงานหะดีษทั้งสองโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากมุอาวิยะห์ บุตร กุรเราะห์ ร.ฎ.  จากบิดาของเขาได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้มาหาท่านนบี ซ.ล.  ขณะที่ท่านอยู่ในกลุ่มชนจากเผ่ามุไซนะห์ พวกเราได้ให้คำมั่นแก่ท่าน และแท้จริงเสื้อของท่านนั้นปลดกระดุม ต่อมาข้าพเจ้าได้ให้คำมั่นกับท่าน หลังจากนั้นข้าพเจ้าได้เอา มือของข้าพเจ้าล้วงเข้าไปในคอเสื้อของท่าน และข้าพเจ้าได้ส้มผัสกับตราประทับการเป็นนบีของท่าน อุรวะห์ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่เคยพบมุอาวิยะห์ และไม่เคยพบบุตรชายของเขานอก จากเขาทั้งสองจะปลดกระดุมออกทั้งในฤดูหนาวและฤดูร้อน

รายงานโดย อะบูดาวูด ฅิรมิซี และบัซซาร

การกล่าวคำสรรเสริญขณะสวมเครื่องแต่งกาย

เล่าจาก อะบีสะอีด ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.  เมื่อได้สวมเครื่องนุ่งห่มใหม่ๆ เขา (ผู้รายงาน) ได้เอ่ยถึงเครื่องนุ่งห่มนั้นบางทีเป็นเสื้อหรือผ้าโพกศีรษะ หลังจากนั้นท่านจะกล่าวว่า โอ้พระองค์อัลลอฮ์มวลการสรรเสริญเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์ท่าน ที่พระองค์ท่านได้ให้ข้าพเจ้าสวมใส่มัน ข้าพเจ้าขอต่อพระองค์ท่านจากความดีของมัน และความดีของสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อมัน และข้าพเจ้าขอป้องกันด้วยพระองค์ท่านจากความชั่วของมัน และความชั่วของสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อมัน และปรากฏว่า บรรดาอัครสาวกของ ท่านนบี ซ.ล.  เมื่อคนใดคนหนึ่งจากพวกเขาได้สวมเครื่องนุ่งห่มใหม่ๆ จะมีผู้กล่าวแก่เขาว่า ท่านจะได้อยู่ใช้จนมันขาด และอัลลอฮ์ตาอาลาจะทดแทนให้ใหม่

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก สะหัล บุตร มุอาซ บุตร ญะบัล จากบิดาของเขา ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ผู้ใดได้รับประทานอาหารแล้ว ภายหลังเขาได้กล่าวว่า มวลการสรรเสริญเป็นกรรฺมสิทธิ์ของพระองค์อัลลอฮ์ ซึ่งได้ให้ข้าพเจ้ารับประทานอาหารนี้ และได้ประทานมันเป็น เครื่องยังชีพแก่ข้าพเจ้าโดยไม่มีพลัง และกำลังจากข้าพเจ้า เขาจะได้รับอภัยโทษจากบาปที่แล้วมา และที่จะเกิดขึ้นในภายหลัง ท่านได้กล่าวว่า และผู้ใดได้สวมเครื่องนุ่งห่ม แล้วได้กล่าวว่า มวลการสรรเสริญเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ์ ผู้ซึ่งได้ให้ข้าพเจ้าสวมใส่เครื่องนุ่งห่มนี้ และได้ประทานมันให้เป็นปัจจัยในการยังชีพแก่ข้าพเจ้า โดยไม่มีพลังและกำลังใดจากข้าพเจ้า เขาจะได้รับการอภัยจากบาปที่แล้วมา และที่จะเกิดขึ้นในภายหลัง

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี 

และท่าน อุมัร ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์ซ.ล. กล่าวว่า ผู้ใดสวมเครื่องนุ่งห่มชิ้นใหม่ แล้วกล่าวว่า มวลการสรรเสริญเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ์ ผู้ซึ่งได้ให้ข้าพเจ้าสวมใส่สิ่งที่ข้าพเจ้าใช้ปกปิดอวัยวะที่พึงสงวนของข้าพเจ้า และใช้มันตกแต่ง ในขณะที่ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ หลังจากนั้นเขาตั้งใจไปที่เครื่องนุ่งห่มเก่า และได้บริจาคเป็นทาน ปรากฏว่าเขาผู้นั้นจะอยู่ในความอารักขาของอัลลอฮ์ อยู่ในความคุ้มครองของอัลลอฮ์ อยู่ในการปิดบังของอัลลอฮ์ทั้งขณะมีชีวิตและเป็นศพ

รายงานโดยติรมิซี

เล่าจาก อุมมิ คอลิด บุตรสาว คอลิด ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ได้มีผู้นำผ้าจำนวนหนึ่งมามอบให้ท่านนบี ซ.ล.  ในผ้าจำนวนนั้นมีผ้าทางผืนเล็กๆ ผืนหนึ่งสีดำ ต่อมาท่านได้กล่าวว่า ผู้ใดที่พวกท่านเห็นเหมาะสมที่เราจะให้เขาสวมเครื่องนุ่งห่มนี้ กลุ่มชนนั้นนิงเงียบ ท่านจึง กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงไปนำตัวอุมมิ คอลิด มาหาข้าพเจ้า หล่อนจึงได้ลูกนำตัวมาโดยถูกหามมา ท่านจึงหยิบผ้าทางผืนนั้นด้วยมือของท่าน และได้สวมมัน (ให้แก่หล่อน) และท่านได้ กล่าวว่า เธอจงอยู่ใช้มันจนขาด และเธอจงอยู่ใช้มันจนเก่า และปรากฏว่าในผ้าผืนนั้นมีทางสีเขียวหรือสีเหลือง และท่านได้กล่าวว่า โอ้อุมมิ คอลิด สิ่งนี้ดีแล้ว

รายงานโดยบุคอรี และอะบูดาวูด

เครื่องนุ่งห่มของผู้หญิง 490

อัลลอฮ์ตาอาลาได้ตรัสว่า โอ้ผู้เป็นนบี ท่านจงกล่าวสอนบรรดาภรรยาของท่าน บรรดาบุตรสาวของท่าน และแก่บรรดาผู้หญิง (ภรรยา) ของศรัทธาชนทั้งหลาย ให้พวกนางปล่อยเสื้อคลุมห้อยลงมาคลุมร่างของพวกนางให้มิดชิด (การสวมใส่ใน) สภาพเช่นนี้ เป็นที่ใกล้เคียงแล้วที่พวกนางจะถูกรู้จัก (ว่าพวกนางเป็นหญิงที่ดี) และจะไม่ถูกรังควานจากผู้คน และพระองค์อัลลอฮ์นั้นเป็นผู้อภัยยิ่ง เป็นผู้เมตตายิ่ง

และพระองคืไต้ตรัสว่า และจงประกาศเถิดแก่บรรดาผู้หญิงที่มีศรัทธาให้พวกนางยับยั้งสายตาของพวกนาง ให้พวกนางรักษาอวัยวะเพศของพวกนาง และพวกนางจะต้องไม่เปิดเผยให้เห็นเครื่องประดับของพวกนาง นอกจากสิ่งที่เปิดเผยจากมัน[137] และพวกนางจะต้องดึงผ้าคลุมศีรษะของพวกนางมาปิดไว้บนคอเสื้อของพวกนาง และพวกนางจะต้องไม่เปิดเผยเครื่องประดับของพวกนาง ยกเว้นแก่คู่ครองของพวกนาง

เล่าจากอุมมิ ซะลามะห์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า เมื่อโองการที่ (มีความหมาย) ว่า “ให้พวกนางปล่อยเสื้อคลุมห้อยลงมาคลุมร่างของพวกนางให้มิดชิด” หญิงชาวอันศอร ได้ออกมาคล้ายกับบนศีรษะของพวกหล่อนมีอีกา จากเครื่องนุ่งห่ม[138]

รายงานโดย อะบูดาวูด

เล่าจากอาอิชะห์ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ขออัลลอฮ์ได้โปรดเมตตาสงสารบรรดาผู้หญิงของพวกผู้อพยพรุ่นแรกๆ เมื่อโองการที่ (มีความหมาย) ว่า “และพวกนางจะต้องดึงผ้าคลุม บนศีรษะของพวกนางมาปิดไว้บนคอเสื้อของพวกนาง” ได้ประทานลงมา พวกนางได้ฉีกผ้านุ่งของพวกนาง และนำไปให้เป็นผ้าคลุมศีรษะ

รายงานโดย บุคอรี และอะบูดาวูด

และท่านนบี ซ.ล.  ได้เข้าไปหาอุมมี ซะลามะห์ ในสภาพที่หล่อนคลุมศีรษะ ท่านได้กล่าวว่า คลุมครั้งเดียวไม่ต้องคลุมสองครั้ง

และเล่าจากหล่อน (อาอิชะห์) ว่าแท้จริง อัสมาอฺ บุตรสาวของอะบีบักร์ ร.ฎ.  ได้เข้ามาหาท่านนบี โดยหล่อนสวมเสื้อผ้าบางๆ ท่านจึงได้เบือนหน้าหนีหล่อน พร้อมทั้งกล่าวว่า โอ้ อัสมาอฺ แท้จริงผู้หญิงนั้น เมื่อถึงวัยมีประจำเดือนแล้ว ไม่เหมาะสมแก่หล่อนที่จะเผยให้เห็นจากร่างของหล่อน นอกจากนี่และนี่ ท่านได้ชี้ไปที่ใบหน้าของท่านและมือทั้งสองข้างของท่าน

รายงานหะดีษทั้งสองโดย อะบูดาวูด

เล่าจาก อิบนิ อุมัร ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ผู้ใดลากผ้านุ่งของเขาโดยหยิ่งยะโส อัลลอฮ์จะไม่มองไปยังเขาในวันกิยามะห์ อุมมุซะลามะห์ได้กล่าวว่า พวกผู้หญิงจะทำอย่างไรกับชายผ้าของพวกหล่อน ท่านตอบว่า ให้พวกหล่อนปล่อยมันให้ห้อยไว้หนึ่งคืบ หล่อน (อุมมิ ซะลามะห์) ได้กล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น เท้าของพวกหล่อนก็จะต้องเผยออกมา ท่าน กล่าวว่า ดังนั้นให้พวกหล่อนปล่อยมันห้อยไว้หนึ่งศอก โดยไม่ให้เกินกว่านั้น[139] รพงานโพ ตรมขและ3กลองท่าน

พันร่างกายด้วยผ้าผืนเดียว และการนั่งชันเข่าโดยใช้ผ้าพัน 

เล่าจาก อะบีสะอีด ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้ห้ามมาจากการพันร่างกาย ด้วยผ้าผืนเดียว[140] และได้ห้ามการที่ชายคนหนึ่งจะนั่งชันเข่าอยู่ในผ้าผืนเดียวโดยที่ไม่มีสิ่งใดจากผ้านั้นปิดอยู่บนอวัยวะเพศของเขา

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

     บทที่สี่ 492                                                                                               

แนวทางที่เป็นธรรมชาติบริสุทธิ์

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า สิบประการจากธรรมชาติ ที่บริสุทธิ์คือ 1. การขลิบหนวด 2. การไวัเครา 3. การแปรงพัน 4. การสูดนํ้าเข้าจมูก 5. การตัดเล็บ 6. การล้างรอยพับของนิ้ว 7. การถอนขนรักแร้ 8. การโกนขนใต้ร่มผ้า (อวัยวะเพศ) 9. การชำระด้วยนํ้า ท่านมุชอับได้ กล่าวว่า และข้าพเจ้าลืมประการที่สิบ แต่มันคือ 10. การบ้วนปาก

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงทำให้แตก ต่างจากพวกผู้ตั้งภาคี และท่านทั้งหลายจงไว้เครา และโกนหนวด[141]

และปรากฏว่า อิบนุ อุมัร ร.ฎ.  เมื่อได้ประกอบพิธีฮัจญ์ หรืออุมเราะห์ ท่านได้กำเคราของท่าน ดังนั้นสิ่งที่พ้นจากกำมือ ท่านจะตัดออก

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ผู้ใดไม่ตัดหนวดของเขา ดังนั้นเขาไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งของพวกเรา

รายงานโดย ฅิรมิซี และนะซาอี

และท่าน อะนัส ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า พวกเราถูกสอนในเรื่องการขลิบหนวด ตัดเล็บ ถอนขนรักแร้ โกนขนใต้ร่มผ้า ว่าไม่ให้พวกเราปล่อยไว้เกินสี่สิบวัน

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอุมมิ อะตียะห์ ร.ฎ.  ว่า แท้จริงมีผู้หญิงคนหนึ่งเคยทำคอตัน ที่นครมะดีนะห์ ท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวแก่หล่อนว่า เธออย่าขลิบ[142] ออกจนหมด เพราะนั่นมันเป็นส่วนดีของผู้หญิง และมันทำให้สามีรัก

รายงานโดย ดาวูด ตอบรอนี และฮากิม และตัวบทของฮากิม ว่า ที่นครมะดีนะห์มีผู้หญิงคนหนึ่งเรียกกันว่า อุมมุ อะตียะห์ ทำหน้าที่ขลิบปลาย (เม็ดละมุด) ของพวกทาสหญิง ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวแก่หล่อนว่า เธอจงลดลงและอย่าขลิบ (ปลายเม็ดละมุด) ออกจนหมด เพราะมันเป็นราคีแก่ใบหน้า และเป็นส่วนดีสำหรับสามี

ผมและการหวีผม

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.  นั้นผมของท่านระไหล่ ทั้งสองข้างของท่าน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

และเล่าจากเขา (อะนัส) ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าผมของท่านนบี ซ.ล.  ยาวถึงติ่งหู ทั้งสองข้างของท่าน 

รายงานโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.  ชอบทำตรงกับพวกที่ศรัทธาคัมภีร์ ในสิ่งที่ท่านไม่ได้ถูกบัญชาให้ทำ และได้ปรากฏว่าพวกที่ศรัทธาในคัมภีร์นั้น ปล่อยผมของพวกเขาให้ห้อยลงมารอบๆ ศีรษะ และพวก (มุชริกีน) ทีตั้งภาคีนั้นจะแสก ผมของพวกเขา ต่อมาท่านนบี ซ.ล.  ได้ปล่อยผมที่ขม่อมของท่านให้ห้อยลงมา และได้แสก ผมในภายหลัง 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อาอิชะห์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.  ชอบกระท่าข้างขวาก่อน เท่าที่ท่านสามารถในเรื่องของท่านทั้งหมด ในการทำความละอาดของท่าน ในการหวีผมของท่าน ในการสวมรองเท้าของท่าน และในการแปรงฟันของท่าน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อับดลลาห์ บุตร มุฆอฟั้ล ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้ห้ามการหวีผม เว้นแต่เป็นบางเวลา 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอิบนิอุมัร ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้ห้าม “ก่อซะอ์” ได้มีผู้ถาม ริบนิอุมัรว่า “ก่อซะอ์” คืออะไร ท่านตอบว่า โกนศีรษะเด็กเป็นบางส่วน และปล่อยไว้เป็นบางส่วน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

และเล่าจากเขา (อิบนิ อุมัร) ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้เห็นเด็กคนหนึ่งถูกโกนศีรษะออกเป็นบางส่วนและปล่อยไว้เป็นบางส่วน ท่านนบี ซ.ล.  จึงได้ห้ามพวกเขาโดยได้ กล่าวว่าท่านทั้งหลายจงโกนมันทั้งหมด หรือจงปล่อยมันไว้ทั้งหมด 

รายงานโดยอะนูบูดาวูด และนะซาอี

และท่าน อะนัส ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าเคยมีผมจุก ต่อมามารดาของข้าพเจ้าได้ กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า ฉันจะไม่ตัดมัน (ผมจุก) ออกเพราะท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  เคยดึงมัน และเคยจับมัน[143] 

รายงานโดย อะบูดาวูด

การย้อมผม

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า แท้จริงพวกยะฮูดี (ยิว) และนะซอรอ (คริสต์) จะไม่ย้อมผม ดังนั้น ท่านทั้งหลายจงกระทำให้ต่างจากพวกเขา 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และ อะบี กุฮาฟะห์ ร.ฎ.  ได้ถูกนำตัวมาในวันที่พิชิตนครมักกะห์ โดยศีรษะและเคราของเขาเหมือนผล “ซะฆอมะห”[144] ที่ขาวโพลน ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  จึงได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงเปลี่ยนแปลง (สีขาว) นั้นด้วยสิ่งหนึ่ง และท่านทั้งหลายจงออกห่างสีดำ 

รายงานโดยมุสลิม และอะบูดาวูด

และอะนัส ร.ฎ.  ได้ถูกถามว่าท่านนบี ซ.ล.  ได้ย้อมผมหรือ อะนัสตอบว่า ท่าน ยังไม่ถึงวัยที่จะมีผมหงอกนอกจากเล็กน้อย และในบางรายงานว่า แท้จริงท่าน (นบี) ไม่ได้ย้อมผม และแม้ว่าข้าพเจ้าต้องการจะนับผมหงอกที่แซมอยู่ในเคราของท่าน (ก็นับได้ถ้วน) 

รายงานโดย บุคอรี มุสลิม และน่าชาอี และตัวบทของท่านน่าซาอีว่า “ท่านไม่ได้ย้อมผม แท้จริงได้ปรากฏ ขนหงอกแซมอยู่ใต้ริมฝีปากเล็กน้อย และที่ขมับทั้งสองข้างเล็กน้อย และที่ศีรษะเล็กน้อย

และ อิบนุ อุมัร ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.  เคยสวมรองเท้าแตะที่ไม่มีขน และเคยย้อมเคราของท่านให้เป็นสีเหลืองด้วย “วัรส์”[145] และหญ้าฝรั่น และปรากฏว่า อิบนุ อุมัร ก็ได้กระทำอย่างนั้น 

รายงานโดย บุคอรี อะบูดาวูด และนะซาอี

และ อะบู ริมซะห์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้มาหาท่านนบี ซ.ล.  คือตัวข้าพเจ้า และบิดาของข้าพเจ้า และปรากฏว่า ท่านได้พอกเคราของท่านด้วยใบเทียน

เล่าจาก อะบี ซัรร์ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า แท้จริงสิ่งที่ดีสุด ที่จะทำให้ผมหงอกนี้เปลี่ยนไป คือใบเทียน และ “กะตำ”[146] 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า จะปรากฏมีกลุ่มชนที่ย้อมด้วยสีดำในช่วงสุดท้ายของเวลา เหมือนคอหอยนกพิราบ พวกเขาจะไม่ได้กลิ่นสวรรค์[147] 

รายงานโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

และได้มีผู้ถามท่านหญิงอาอิชะห์ ร.ฎ.  ถึงการย้อมด้วยใบเทียน ท่านหญิงตอบว่า ไม่เป็น อะไรด้วยใบเทียน แต่ข้าพเจ้าไม่ชอบเพราะแท้จริงคนรักของข้าพเจ้า ซ.ล.  รังเกียจกลิ่นของมัน[148]

และเล่าจากเขา (อาอิชะห์) ได้กล่าวว่า ผู้หญิงคนหนึ่งได้โบกมือมายังท่านบี ซ.ล.  อยู่ข้างหลังม่านที่มือของหล่อนมีสาส์นฉบับหนึ่ง ท่านจึงได้จับมือนั้นแล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่รู้ว่า เป็นมือของผู้ชายหรือมือของผู้หญิง หล่อนได้กล่าวว่า แต่เป็นมือของผู้หญิง ท่านได้กล่าวว่า ถ้าเธอเป็นผู้หญิงให้เธอเปลี่ยนสีเล็บของเธอด้วยใบเทียน[149]

รายงานหะดีษทั้งสองโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

ห้ามต่อผม สัก และเสมือนทั้งสองนี้[150]

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ.  จากท่านบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า อัลลอฮ์ทรงสาปแช่งผู้หญิงที่ต่อผม และผู้หญิงที่ขอร้องให้ต่อผม[151] ผู้หญิงที่สักและผู้หญิงที่ขอร้องให้สัก[152]

และมีผู้ได้ยินท่านมุอาวิยะห์ (ร.ด) ในปีที่เขาประกอบพิธีฮัจย์ ขณะที่เขาอยู่บนแท่น (มิมบัร) และในมือของเขามีผมกระจุกหนึ่ง เขาได้กล่าวว่า ปวงปราชญ์ของพวกท่านไปอยู่ที่ไหน ข้าพเจ้าได้ยินท่านนบี ซ.ล.  ห้ามเสมือนสิ่งนี้ และได้กล่าวว่า ความจริงพวกบะนูอิสรออีลได้พินาศ เมื่อผู้หญิงของพวกเขาได้นิยมเอาสิ่งนี้

รายงานหะดิษทั้งสองโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

บุคอรีและมุสลิมได้ รายงานเพิ่มเติมว่า ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นคนใดจะกระทำมันนอกจากพวกยะฮูดี (ยิว) และท่านนบี ซ.ล.  ได้เรียกมันว่าเป็นการหลอกลวง ขณะที่ท่านทราบข่าว

เล่าจากอับดิ้ลลาห์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า อัลลอฮ์ได้สาปแช่งพวกผู้หญิงที่สักและพวกผู้หญิงที่ ขอร้องให้สัก และพวกผู้หญิงที่ถอนผมด้วยแหนบ และพวกผู้หญิงที่ขอให้ถอนผม  และพวก ผู้หญิงที่กรอฟันเพื่อความสวยงาม   ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงการสร้างของอัลลอฮ์  ต่อมา คำพูดนี้ได้เไปถึงผู้หญิงคนหนึ่งจากตระคูลอะซัด ซึ่งหล่อนกำลังอ่านอัลกุรอาน หล่อนมีชื่อว่า อุมมุ ยะอุกูบ หล่อนจึงได้มาหาเขาและได้พูดกับเขา ต่อมาเขา (อับดิ้ลลาห์) ได้กล่าวว่า ไม่เป็นการสมควรที่ข้าพเจ้าจะไม่สาปแช่งบุคคลที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้ลาปแช่งและมันก็ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ของอัลลอฮ์ ผู้หญิงคนนั้นจึงกล่าวว่า ความจริงข้าพเจ้าได้อ่าน สิ่งที่อยู่ระหว่างสองปกของคัมภีร์ แต่ข้าพเจ้าก็ไม่พบมัน เขา (อับดุลเลาะห์) ได้กล่าวว่าถ้าหากเธอได้อ่านคัมภีร์ เธอก็จะต้องได้พบมัน อัลเลาะฮ์ตาอาลาได้ตรัสว่า  “และสิ่งใดที่เราะซูลได้นำมายังท่านทั้งหลายก็ให้ท่านทั้งหลายจงยึดมันไว้  และสิ่งใดที่เขาได้ห้ามท่านทั้งหลาย ก็ให้ท่านทั้งหลายจงยุติ” หญิงผู้นั้นได้กล่าวว่า แท้จริงข้าพเจ้าเห็นสิ่งหนึ่งจากประการนี้ ที่ภรรยาของท่านขณะนี้ เขากล่าวว่า เธอจงไปดูหญิงนั้นได้เข้าไปหาภรรยาของเขาและไม่เห็นสิ่งใดเลย หล่อนจึงกลับและกล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่เห็นสิ่งใด เขาจึงกล่าวว่า พึงทราบเถิด ถ้าแม้เป็นอย่างที่เธอว่า เราจะไม่อยู่ร่วมกับหล่อน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

สะอีด บุตรยุบัยร์ และอิหม่ามอะห์มัด ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ไม่เป็นอะไร (การต่อผม) ด้วย เส้นใยจากต้นพืช 

รายงานโดย อะบูดาวูด

เล่าจาก อะบี รอยฮานะห์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่าท่านบี ซ.ล. ได้ห้ามจากสิบประภาร คือ 1. การกรอฟัน 2. การสัก 3. การถอนผม  4. การนอนเปลือยกาย อยู่ด้วยกันระหว่างผู้ชายกับผู้ชาย โดยไม่มี ผ้าคลุมร่าง 5. การนอนเปลือยกายอยู่ด้วยกันระหว่างผู้หญิงกับผู้หญิงโดยโม่มีผ้าคลุมร่างกาย 6. การที่ผู้ชายนำเอาผ้าไหมไว้ใต้เสื้อผ้าของเขาเหมือนชาวอะยัม  7. หรือเอาผ้าไหมพาดไว้บนไหล่ทั้งสองข้างของเขาเหมือนชาวอะยัม 8. ห้ามการแย่งชิง 9. การขี่เสือ  10. และภารสวมแหวนนอกจาภผู้มีอำนาจ 

รายงานโดย อะบูดาวูด แลนะซาอี

กระพวน (الجلاجل)

ทาสหญิงคนหนึ่งของซุบัยร์ พร้อมด้วยบุตรสาวของเขาได้เข้าไปหาท่านอุมัร (ร.ด) โดยที่เท้าของหล่อนมีกระดิ่ง  ท่านอุมัรจึงไต้ตัดมันออกเป็นท่อนๆ และกล่าวว่า ข้าพเจ้าไต้ยินท่านนบี ซ.ล.  กล่าวว่า แท้จริงพร้อมกับทุกกระดิ่งนั้นมีชัยฏอน

รายงานโดย มุสลิม และอะบูดาวูด

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ.  ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า มาลาอิกะห์  จะไม่อยู่ร่วมกับคนกลุ่มหนึ่ง ที่มีสุนัข และกระดิ่งอยู่ในคนกลุ่มนั้น

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และได้มีผู้นำทาสหญิงคนหนึ่งเข้าไปหาท่านหญิงอาอิชะห์ โดยทาสหญิงนั้นสวมกระพรวนทีส่งเสียงดัง ท่านหญิงอาอิชะห์จึงได้กล่าวว่า พวกเธออย่านำหล่อนเข้ามาหาข้าพเจ้า นอกจากท่านทั้งหลายจะตัดกระพรวนของหล่อนออกเป็นท่อนๆ ข้าพเจ้าได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  กล่าวว่า มะลาอิกะห์จะไม่เข้าบ้านที่มีกระดิ่ง

รายงานโดย อะบูดาวูด ด้วยสายรายงานที่ศอลิฮะห์

การเลียนแบบผู้อื่น และการปลอมแปลงเป็นสิ่งต้องห้าม 497

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้สาปแช่ง ผู้ชายที่เลียนแบบเป็น ผู้หญิงและผู้หญิงที่เลียนแบบเป็นผู้ชาย

และเล่า อินนิ อับบาส ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้สาปแช่งผู้ชายที่ดัดจริตเป็นผู้หญิง และผู้หญิงที่ดัดจริตเป็นผู้ชาย และท่านได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงขับไล่พวกมันออกไปจากบ้านของพวกท่าน ต่อมาท่านนบี ซ.ล.  ได้ขับไล่คนๆ หนึ่งออกไป และท่านอุมัรก็ได้ขับไล่คนๆ หนึ่ง

รายงานหะดีษทั้งสองโดย รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้สาปแช่งผู้ชายที่สวมเครื่องแต่งกายของผู้หญิง และผู้หญิงที่สวมเครื่องแต่งกายของผู้ชาย

รายงานโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

ตัวบทของอะบูดาวูด และต็อบรอนีว่า ผู้ใดเลียนแบบพวกหนึ่งเขาก็เป็นส่วนหนึ่งจากพวกนั้น

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า สองจำพวกจากชาวนรก ที่ข้าพเจ้ายังไม่เคยเห็น  คือ กลุ่มชนที่มีแส้เหมือนหางวัว พวกเขาจะใช้มันเฆี่ยนประชาชน  และพวกผู้หญิงที่สวมเสื้อผ้า (แต่) เปลือยกาย  ที่ยั่วยวน  ให้หันเหออกจากทางนำ หัวของพวกหล่อนเหมือนตะโหงกอูฐที่เอียง  พวกผู้หญิงเหล่านั้นจะไม่ได้เข้าสวรรค์ และจะไม่ได้ พบกลิ่นของมัน และแท้จริงกลิ่นของมันจะพบได้จากระยะทางเท่านั้นและเท่านี้

รายงานโดย มุสลิม

และท่านอับดุลเลาะห์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ปรากฏว่านบีของอัลลอฮ์ ซ.ล.  รังเกียจสิบ ประการ คือ 1. การใช้เครื่องหอมที่เป็นสีเหลือง 2. การย้อมผมหงอก 3. การนุ่งผ้ากรอมเท้า (การลากผ้า) 4. การสวมแหวนทองคำ 5. การอวดเครื่องแต่งกายของผู้หญิงโดยไม่ใช่สถานที่ของมัน  6. การทอด ลูกเตา  7. คาถา นอกจากคาถาด้วย “อัลมุเอาวิชาต”  8. การแขวนเครื่องรางของขลัง 9. การชักนํ้าออกจากที่ของมัน  10. การทำให้เด็กเสียหาย  โดยท่านไม่ถือว่ามันเป็นสิ่งต้องห้าม 

รายงานโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

ห้ามตบหน้าและนาบด้วยเหล็กเผาไฟ 498

เล่าจาก ยาบิร ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ซ.ล.  ได้ห้ามการตบหน้าและนาบหน้าด้วยไฟ 

รายงานโดยมุสลิม และติรมิซี

และเล่าจากเขา (ยาบิร) ได้กล่าวว่า ลาตัวหนึ่งได้เดินผ่านท่านนบี ซ.ล.  ลาตัวนั้นถูกนาบหน้าด้วยไฟ ท่านจึงได้กล่าวว่า อัลลอฮ์ทรงสาปแช่งผู้ที่นาบมันด้วยไฟ

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ.  ไต้กล่าวว่า เมื่อมารดาของข้าพเจ้าได้คลอดบุตร หล่อนได้กล่าวว่า จงดูเด็กชายคนนี้ ดังนั้นอย่าให้เขาประสบกับสิ่งใดจนกว่าท่านจะนำเขาไปหาท่านนบี ซ.ล.  เพื่อให้ ท่าน ตะห์นีก  แก่เขา อะนัสกล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ไปในตอนเช้าและบังเอิญได้พบท่านอยู่ในสวนแห่งหนึ่งโดยท่านสวมผ้าที่ทำจากเผ่า “เยาน์” ท่านกำลังตีตราที่หลังของสัตว์ที่ได้มาในการพิชิต (นครมักกะห์)

และเล่าจากเขา (อะนัส) ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้เห็นตราประทับอยู่ในมือ ของท่านกำลังตีตราอูฐที่เป็นซะกาต 

รายงานหะดีษทั้งสามโดย มุสลิม

บทที่ 5 เครื่องตกแต่งบ้าน

อัลลอฮ์ตาอาลาได้ตรัสว่า “และอัลลอฮ์ได้บันดาลแก่ท่านทั้งหลาย จากบ้านเรือน ของพวกท่านให้เป็นที่อยู่อาศัย และได้บันดาลให้เป็นประโยชน์แก่ท่านทั้งหลาย จากหนังของปศุสัตว์ให้เป็นบ้าน (กระโจม) ซึ่งท่านทั้งหลายใช้มันอย่างเบาแรง ในวันแห่งการเดินทางของพวกท่าน และในวันที่พวกท่านพำนักอยู่ และจากขนหยาบของมันขนปุยของมันและเส้นผมของมัน เป็นเครื่องใช้และเครื่องอำนวยความสุขชั่วครั้งชั่วคราว”  พระองค์อัลลอฮ์ทรงมีสัจจะ

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ.  ว่าแท้จริงท่านนบี (ช.ล) เคยเอาเสื่อผืนหนึ่งกั้นเป็นห้องในเวลากลางคืน โดยละหมาดในนั้น และท่านจะนำมันมาปูในเวลากลางวันโดยนั่งอยู่บนมัน ต่อมา ประชาชนได้เริ่มไปหาท่านนบี ซ.ล.  พวกเขาจะละหมาดตามละหมาดของท่าน จนกระทั่งพวก เขาเพิ่มมากขึ้น ท่านจึงได้หันมาและกล่าวว่า โอ้ประชาชนทั้งหลายจงเอางาน (ทำอิบาดะห์) ตามที่พวกท่านมีความสามารถ เพราะแท้จริงอัลลอฮ์จะไม่เบื่อ จนกว่าพวกท่านจะเบื่อ และแท้จริงการกระทำ ที่ อัลลอฮ์รักยิ่งคือทำเป็นประจำ แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม

รายงานโดย บุคอรี

และเล่าจากเขา (อาอิชะห์) หล่อนได้กล่าวว่า แท้จริงปรากฏว่าที่นอนของท่านนบี ซ.ล.  ที่ ท่านนอนนั้นทำจากหนังที่ยัดไส้ด้วยใยของต้นอินทพลัม

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

และเล่าจากเขา (อาอิชะห์) ว่าปรากฏว่าหมอนอิงของท่านนบี ซ.ล.  ซึ่งท่านใข้อิงนั้น ทำจากหนังที่ยัดไส้ด้วยใยของด้นอินทผลัม

ราย'ทนโดยมุสลิม และอะบูดาวูด

เล่าจากอะบียุไฮพฟะห์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้มาหาท่านนบี ซ.ล.  โดยท่านอยู่ใน กระโจมสีแดง ทำจากหนังและข้าพเจ้าได้เห็นบิลาลเอาน้ำที่ท่านนบี ซ.ล.  ใช้อาบนํ้าละหมาด แล้ว และประชาชนก็รับกันมาเอานํ้าที่ท่านนบีใช้อาบละหมาด  ผู้ใดได้สิ่งใดจากนํ้านั้น ก็เอามาลูบตัวส่วนผู้ใดที่ไม่ได้สักอย่างเดียวก็เอาจากรอยเปียกที่มือเพื่อนของเขา

รายงานโดย บุคอรี และนะซาอี

อะบูริฟาอะห์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้มาถึงที่ท่านนบี ซ.ล.  ขณะที่ท่านกำลังแสดง ธรรมคุตบะห์ ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ผู้ชายแปลกหน้าคนหนึ่งได้มาถามเรื่อง ศาสนาของเขาซึ่งเขายังไม่รู้จัก ท่านนบี ซ.ล.  จึงได้หันมาและได้ทิ้งการแสดงธรรมคุตบะห์ของท่านไวั้ จนท่านได้มาถึงที่ข้าพเจ้าและท่านได้นำเก้าอี้ มาตัวหนึ่งขาของมันเป็นเหล็ก ท่านได้นั่งลงบนเก้าอี้นั่นและได้เริ่มสอนข้าพเจ้า จากสิ่งที่อัลลอฮ์ได้สอนท่าน ภายหลังท่านก็ได้ แสดงธรรมคุตบะห์ต่อจนจบ 

รายงานโดยนะซาอี

เล่าจากยาบิร ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ที่นอนหลังหนึ่งสำหรับสามี และอีกหลังหนึ่งสำหรับภรรยา และหลังที่สามสำหรับแขก ส่วนหลังที่สี่สำหรับชัยฏอน 

รายงานโดย มุสลิม และอะบูดาวูด

และเล่าจาก (ยาบิร) ได้กล่าวว่า เมื่อข้าพเจ้าแต่งงาน ท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า ท่านได้เอาพรมชนิดนุ่มหรือ ข้าพเจ้าตอบว่า ข้าพเจ้าจะได้พรมชนิดนุ่มมาจากที่ไหน ท่านกล่าวว่า โปรดทราบแท้จริงพรมชนิดนุ่มนั้นต่อไปจะปรากฏมีขึ้น ยาบิรได้กล่าวว่า ภรรยาของข้าพเจ้ามีพรมชนิดนุ่มผืนหนึ่ง ดังนั้นข้าพเจ้าจึงกล่าวว่าเธอจงนำมันไปห่างๆ ข้าพเจ้า หล่อนกล่าวว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวไว้แลัวว่า แท้จริงมันจะต้องปรากฏขึ้น

เล่าจากเซด บุตร คอลิด จากอะบี ตอลฮะห์ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า มะลาอิกะห์จะไม่เข้าบ้านที่มีสนัขและรูปปั้น

เชด (ร.ด) ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้มาหาอาอิชะห์ ถามหล่อนถึงเรื่องนี้ หล่อนกล่าวว่า ข้าพเจ้าจะเล่าให้พวกท่านฟังถึงสิ่งที่ท่านนบี ซ.ล.  ได้กระทำ แท้จริงท่านได้ออกไปในการทำศึกของท่าน ต่อมาข้าพเจ้าได้เอาพรมชนิดนุ่มผืนหนึ่งมาและข้าพเจ้าได้ใช้มันปิดที่บานประตู เมื่อท่าน (นบี) ได้เข้ามาและได้เห็นพรมชนิดนุ่มผืนนั้น ข้าพเจ้ารู้ว่าความไม่พอใจปรากฏอยู่ที่ใบหน้าของท่านต่อมาท่านได้ดึงมันออกและได้ฉีกมัน พร้อมทั้งกล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮ์ไม่ได้ใช้พวกเราให้สวมใส่หินและดิน อาอิซะห์ได้กล่าวว่า เราได้ตัดมันทำเป็นที่หมอนสองลูกและเรา ได้ยัดไส้หมอนสองลูกนั้นด้วยเส้นใยของต้นอินทผลัม โดยที่ท่านไม่ได้ตำหนิข้าพเจ้าที่ทำอย่างนั้น

รายงานหะดีษทั้งสองโดย มุสลิม อะบูดาวูด และติรมิซี

เล่าจากมุอาวิยะห์ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายอย่าขี่ผ้าไหม  และอย่าขี่เสือ 

และในบางรายงานว่า มะลาอิกะห์จะไม่อยู่ร่วมกับกลุ่มชนที่มีหนังเสืออยู่ในกลุ่มชนนั้น

รายงานหะดีษทั้งสองโดย อะบูดาวูด และติรมิซี

และได้มีผู้ชายหลายคนจากเผ่ากุเรซเดินผ่านท่านนบี ซ.ล.  พวกเขากำลังลากแพะตัวหนึ่งของพวกเขาเหมือนลา ท่านเราะซูลุลลอฮ์จึงได้กล่าวว่า พวกท่านควรเอาหนังของมันไว้ พวกเขากล่าวว่า มันเป็นซากตาย (ที่ไม่ได้เชือดตามหลักศาสนา) ท่านได้กล่าวว่า  น้ำและผล “ก่อรอซ” จะทำให้มันสะอาด 

รายงานโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

และท่านนบี ซ.ล.  ได้มาที่บ้านหลังหนึ่งในศึกที่ตะบูก บังเอิญมีถุงหนังบรรจุน้ำแขวนอยู่ ท่านจึงได้ขอนํ้า พวกเขากล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ แท้จริงมัน (ถุงหนังใส่นํ้านั้น) เป็น (หนังจาก) ซากตาย ท่านได้กล่าวว่า การฟอกเป็นการทำให้มันสะอาด

รายงานโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

และตัวบทของนะซาอี ว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้เรียกห้ำจากผู้หญิงคนหนึ่งในศึกที่ตะบูก หล่อนได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่มีน้ำ นอกจากที่อยู่ในถุงหนังของข้าพเจ้าทีทำจากหนังของซากตาย ท่านจึงได้กล่าวว่า เธอไม่ได้ฟอกมันแล้วหรือ หล่อนตอบว่า ค่ะ ฟอกแล้ว ท่านได้กล่าวว่าแท้จริงการฟอกนั้นเท่ากับเป็นการเชือดมันแล้ว

อะบูดาวูดได้กล่าวว่า หนังเมื่อยังไม่ได้ฟอกเรียกว่า อิฮาบ (إهَابًا - หนังดิบ) และเมื่อฟอกแล้วเรียกว่า ซันน์ (شَنًّا - condition) และกิรบะห์ (ถุงหนังใสน้ำดื่ม - قِرْبَةً)

การสร้างรูปเป็นสิ่งต้องห้ามและกีดกันมะลาอิกะห์ (تُصَوِيْرٌ)501

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ.  จากท่านนปี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ผู้ใดได้สร้างรูปขึ้นรูปหนึ่ง ในโลกนี้ เขาจะถูกบังคับในวันกิยามะห์ให้เป่าวิญญาณเข้าไปในรูปนั้น โดยเขาไม่ใช่เป็นผู้เป่า วิญญาณ

รายงานโดย รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี

และ อะบู ซัรอะห์ (ร.ด) ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้เข้าไปในบ้านของ มัรวานพร้อมกับท่าน อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ.  อะบูอุรอยเราะห์ได้เห็นรูปหลายรูปในบ้านของ มัรวาน เขาจึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านนบี ซ.ล.  กล่าวว่า อัลลอฮ์ผู้ยิ่งใหญ่และเกรียงไกรกล่าวว่า ผู้ใดเล่าจะทุจริตยิงกว่าผู้ที่สร้างของขึ้นชิ้นหนึ่งเหมือนการสร้างของเรา ดังนั้นให้พวกเขาจงสร้างผงธุลีขึ้นสักชิ้นหนึ่ง หรือให้พวกเขาจงสร้างเมล็ดขึ้นสักเมล็ดหนึ่ง หรือให้พวกเขาจงสร้างข้าวลีขึ้นเมล็ดหนึ่ง

รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม

และ อาอีซะห์ (ร.ด) ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ซ.ล.  ได้เข้ามาหาข้าพเจ้าโดยที่ข้าพเจ้าได้ปิดหิ้งของข้าพเจ้าไว้ด้วยผ้าม่านบางๆ มีรูปอยู่ในม่านนั้น เมื่อท่านเห็นมัน ท่านได้ฉีกมันและใบหน้าของห่านเปลี่ยนสี พร้อมกับกล่าวว่า โอ้อาอีชะห์ ผู้ที่จะถูกลงโทษอย่างรุนแรงที่สุด ณ พระองค์อัลลอฮ์ในวันกิยามะห์ คือผู้ที่ทำเหมือนกับการสร้างของอัลลอฮ์ อาอิชะห์ได้กล่าวว่า เราจึงได้ตัดมันและเราได้นำมันมาทำเป็นหมอนหนึ่งใบหรือสองใบ

และเล่าจากเขา (อาอีชะห์) ได้กล่าวว่า ท่านนปี ซ.ล.  ได้กลับเข้ามาจากการเดินทาง และความจริงข้าพเจ้าได้ปิดประตูบ้านของข้าพเจ้าด้วยพรมที่มีรูปม้ามีปีก ต่อมาท่านได้ออกคำสั่งให้ข้าพเจ้า ดังนั้นข้าพเจ้าจึงได้ถอดมันออก

รายงานหะดีษทั้งสอง โดยมุคอรี มุสลิม และนะซาอี

และได้มีผู้ชายคนหนึ่ง มาหา อิบนิ อับบาส ร.ฎ.  แล้วกล่าวว่า แท้จริงข้าพเจ้าได้ทำรูปเหล่านี้ขึ้นมา ท่านจงให้คำอธิบายแก่ข้าพเจ้าในรูปเหล่านี้ อิบนิ อับบาส ได้กล่าวแก่ชายผู้นั้นว่า จงเข้ามาใกล้ข้าพเจ้า เขาจึงได้เขยิบเข้าไปหาอิบนิ อับบาส หลังจากนั้น อิบนิ อับบาส ได้กล่าวอีก ว่าจงเข้ามาใกล้ข้าพเจ้า) เขาจึงเขยิบเข้าไปหาอิบนิ อับบาส เขาจึงเอามือวางลงบนศีรษะของชายผู้นั้นแล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้าจะบอกท่านด้วยสิ่งที่ข้าพเจ้าได้ยิน ข้าพเจ้าได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  กล่าวว่า ผู้ทำรูปทุกคนอยู่ในขุมนรก ทุกรูปที่เขาทำขึ้นนั้นจะถูกบันดาลให้มีชีวิตขึ้นให้กับเขา และมันจะลงโทษเขาในนรกญะฮันนัม  และได้กล่าวว่า ถ้าหากท่านจำเป็นด้องทำ ท่านจงทำต้นไม้และสิ่งที่ไม่มีชีวิต 

รายงานโดย มุสลิม

เล่าจาก บุสร์ บุตร สะอีด เล่าจาก เซด บุตร คอลิด จาก อะบี ตอลฮะห์ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า แท้จริงมะลาอิกะห์จะไม่เข้าบ้านที่มีรูป บุสร์ได้กล่าวว่า ต่อมาเชดได้ป่วยลง และพวกเราได้ไปเยี่ยมเขา บังเอิญที่ประตูบ้านของเขามีม่านที่มีรูป ดังนั้นข้าพเจ้าจึงได้กล่าว แก่อุไบดิ้ลลาห์ ลูกเลี้ยงของไมมูนะห์ ภรรยาท่านนบี ซ.ล.  ว่า เซดไม่ได้บอกแก่พวกเราหรือ ในวันก่อนเกี่ยวกับเรื่องรูป ต่อมาอุไบดิ้ลลาห์ได้กล่าวว่า ท่านไม่ได้ยินเขาหรือขณะที่เขาพูดว่า นอกจากลายเส้นที่อยู่ในผ้า 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และ อาอิชะห์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ญิบรีล (อ.ล) ได้สัญญากับท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ในช่วงเวลาหนึ่งที่เขาจะมาพบท่านในช่วงเวลานั้น เมื่อถึงเวลานั้นญิบรีลก็ยังไม่มาพบท่าน ในมือของท่านขณะนั้นมีไม้เท้า ท่านจึงขว้างมันทิ้งและกล่าวว่า อัลลอฮ์จะไม่ผิดสัญญาของพระองค์ และทูตของพระองค์ก็จะไม่ผิดสัญญา บังเอิญมีลูกสุนัขตัวเล็กๆ อยู่ใต้เตียงของท่าน ท่านจึงกล่าวว่า โอ้อาอิชะห์ หมาตัวนี้เข้ามาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ นางตอบว่าไม่ทราบ ท่านจึงได้ออกคำสั่งให้จัดการกับหมาตัวนั้น มันจึงถูกนำออกไป

และได้เพิ่มเติมในบางรายงานว่า หลังจากนั้น ท่านได้เอานํ้ามาล้างที่ (หมาตัวนั้นอยู่ และญิบรีลก็ ได้มา ท่านนบีจึงได้กล่าวว่า ท่านได้ให้สัญญาแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้นั่งคอยท่านแต่ท่านก็ไม่มา ยิบริล กล่าวว่า หมาที่อยู่ในบ้านของท่านได้กีดกันข้าพเจ้า แท้จริงพวกเราจะไม่เข้าบ้านที่มีหมาและรูป

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ญิบรีล (อ.ล) ได้ขออนุญาตเข้าหาท่านนบี ซ.ล.  ท่านจึงได้กล่าวว่า เข้ามาได้ ญิบรีลกล่าวว่า ข้าพเจ้าจะเข้าไปได้อย่างไรโดยที่ในบ้านของท่านมีม่านที่มีรูป ดังนั้นบางทีหัวของมัน (รูป) จะต้องถูกตัดเป็นท่อนหรือมัน(ม่าน) จะต้องถูกนำไปทำพรมที่ถูกเหยียบยำ เพราะความจริงพวกเรามวลมะลาอิกะห์นั้นจะไม่เข้าบ้าน ที่มีรูป

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และนะซาอี

และ อาอิชะห์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล. ไม่เคยทิ้งสิ่งใดที่มีรูปไว้ในบ้านของท่าน นอกจากท่านต้องฉีกมัน 

รายงานโดยบุคอรี และอะบูดาวูด

บทสุดท้ายควรใช้เครื่องหอม 503

เล่าจากอะนัส ร.ฎ.  ว่าเขาไม่เคยปฏิเสธเครื่องหอมและเขามั่นใจว่าแท้จริงท่านนบี ซ.ล.  ไม่เคยปฏิเสธเครื่องหอม 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และในบางรายงานว่า ผู้ใดที่เครื่องหอมถูกเสนอให้แก่เขาและเขาไม่ปฏิเสธ เขาจะมีกลิ่นดีและคล่องแคล่ว

และตัวบทของติรมีมีว่า สามสิ่งที่จะไม่ถูกปฏิเสธคือ หมอน เครื่องหอม และนม

และเล่าจากเขา (อะนัส) ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.  มีภาชนะทีบรรจุเครื่องหอมชิ้นหนึ่ง ซึ่งท่านจะใช้เครื่องหอมจากภาชนะนั้น

รายงานโดย อะบูดาวูด

อาอิชะห์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ใส่ผงไม้หอมให้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ด้วยมือของข้าพเจ้าในพิธีฮัจญ์แห่งการอำลา ทั้งในขณะที่ฮาลาลและเอียะห์รอม

และเล่าจากเขา (อาอิชะห์) ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ใส่เครื่องหอมให้แก่ท่านนบี ซ.ล.  ด้วยเครื่องหอมที่ดีที่สุดที่ข้าพเจ้ามีจนข้าพเจ้าเห็นเงาที่ มันปลาบ ของเครื่องหอมนั้นที่ศีรษะและเคราของท่าน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อะบีมูซา ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า เมื่อผู้หญิงคนหนึ่งใส่เครื่องหอม และได้เดินผ่านคนกลุ่มหนึ่งเพื่อให้พวกเขาได้กลิ่นหอมจากหล่อน หล่อนเป็นอย่างนั้นอย่างนี้  โดยท่านได้กล่าวถ้อยคำที่รุนแรง

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวว่า เมื่อใครคนหนึ่งจากพวกหล่อนมาละหมาด อิชาอฺ ดังนั้นหล่อนอย่ากระทบเครื่องหอม 

รายงานโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจาก อัมมาร บุตร ยาซิร ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า สามอย่างนี้มะลาอิกะห์จะ ไม่เข้าใกล้คือ ศพของกาเฟร และผู้ชายที่ชโลมด้วยเครื่องหอม เคาะลูกิ  และคนที่มีมลทินนอกจากจะอาบน้ำละหมาด 

รายงานโดย อะบูดาวูด

และท่านนบี ซ.ล. เห็นผู้ชายคนหนึ่งใส่เครื่องหอม “เคาะลูกิ” ท่านได้กล่าวว่า ท่านจง ไปและจงล้างมันออก และหลังจากนั้นจงล้างมันออกและไม่ต้องใส่มันอีก

เล่าจาก อิมรอน บุตร ฮุซอยน์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า แท้จริงเครื่องหอมที่ดีของผู้ชายคือสิ่งที่มีกลิ่นแต่ไม่มีสี และเครื่องหอมที่ดีของผู้หญิง คือสิ่งที่ มีสีแต่ไม่มีกลิ่น

รายงานหะดีษทั้งสองโดย ติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ หะซัน

ภาค การเยียวยา และคาถา 505

มีคำนำ มีสี่ตอนและบทสุดท้าย

คำนำ ควาประเสริฐของโรคภัยไข้เจ็บ และการอดทนต่อโรคภัยไข้เจ็บ

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่ารว่า ไม่มีสิ่งใดที่ประสพกับมุสลิมจากความเหน็ดเหนื่อย โรคประจำตัว ความกังวล ความเศร้า ภัยอันตราย และความมัวหมอง แม้กระทั่งหนามที่ตำ นอกจากอัลลอฮ์จะให้มันเป็นเครื่องลบล้างความผิดของเขา

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

และมีบรรดาชายหนุ่มจากเผ่า กุเรซ ได้เข้าไปหา อาอิชะห์ ร.ฎ.  ขณะอยู่ที่มินาในสกาพที่พวกเขาพากันหัวเราะ อาอิชะห์ได้ถามเขาว่า อะไรทำให้พวกท่านหัวเราะ พวกเขาตอบว่า มีคนๆ หนึ่งสะดุดเชือกกระโจมหกล้มลง ต้นคอของเขา (เกือบหัก) หรือตาของเขา เกือบแตก อาอชะห์ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายอย่าหัวเราะ เพราะแท้จริงข้าพเจ้าได้ยินท่านท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  กล่าวว่า ไม่มีมุสลิมคนใดที่ถูกหนามตำ         หรือเกินกว่าหนาม นอกจากความดีหนึ่งขั้นและถูกบันบึกให้แก่เขาด้วยสาเหตุหนามนั้น และจะถูกลบออกจากเขาด้วยสาเหตุหนามนั้นหนึ่งความผิด

รายงานหะดีษโดย มุสลิม

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ผู้ใดที่อัลลอฮ์ประสงค์ให้ความดีเกิดแก่เขา พระองค์จะทรงทดลองเขา

และ อาอิชะห์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่เห็นผู้ใดที่จะเกิดความเจ็บปวดขึ้นแก่เขากยิ่งกว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.   

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี

และ อับดุลเลาะห์ (ร.ด) ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าเข้าไปหาท่านนบี ซ.ล.  ในขณะที่ท่านป่วย หนัก ข้าพเจ้าจึงได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ แท้จริงท่านกำลังป่วยหนัก ท่านตอบว่าใช่ แท้จริงข้าพเจ้ากำลังป่วยหนักเท่ากับผู้ชายสองคนจากพวกท่านกำลังป่วยหนัก ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า นั่นแหละท่านก็จะได้รับสองผลบุญ ท่านกล่าวว่า ใช่ นั่นก็เพราะว่าไม่มีมุสลิมคนใด ที่ภัยอันตรายจากหนามตำได้เกิดขึ้นกับเขา หรือเกินกว่าหนาม นอกจากอัลลอฮ์ จะลบล้างด้วยหนามนั้น ความชั่วต่างๆของเขา เหมือนกับต้นไม้ที่ผลัดใบของมัน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

และ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวว่า อุปมาคนป่วยที่หายไข้และมีสุขภาพสมบูรณ์  อุปไมยดั่งลูกเห็บที่หล่นลงจากฟ้าทั้งความใสและสีของมัน

รายงานโดย ฅิรมิซี

เล่าจาก ยาบิร ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้เข้าไปหาอุมมุ ซาอิบ และท่านได้กล่าวว่า   เธอเป็นอย่างไรบ้าง โอ้อุมมุ ซาอิบ จึงสั่นอย่างนี้ หล่อนได้กล่าวว่า เพราะไข้ ขออัลลอฮ์อย่าให้มันมีความเพิ่มพูน ท่านจึงได้กล่าวว่า เธออย่าด่าไข้ เพราะความจริงมันจะ ขจัดความผิดเผ่าพันธุ์ของอาดำเหมือนดังสูบลมเป่าไฟของช่างเหล็กที่ขจัดสิ่งสกปรกออกจากเหล็ก

รายงานโดย มุสลิม

และท่านนบี ซ.ล.  ได้ไปเยี่ยมผู้ชายคนหนึ่งเนื่องจากอาการไข้เจ็บหนักที่เกิดขึ้นกับเขา ท่านจึงกล่าวว่า  จงรับแจ้งข่าวดี เพราะแท้จริง อัลลอฮ์กล่าวว่า อาการตัวร้อนนั้นคือไฟของเราที่เราให้มันปกครองบ่าวของเราที่มีบาป เพื่อมันจะเป็นส่วนได้ของเขาจากไฟนรก 

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี

เล่าจาก อะตออุ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า อิบนุ อับบาส ร.ฎ.  ได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้า จะไม่บอกให้ท่านรู้จักผู้หญิงคนหนึ่งจากชาวสวรรค์หรือ ข้าพเจ้าตอบว่า ครับเขาได้กล่าวว่า ผู้หญิงผิวดำคนนี้ ได้มาหาท่านนบี ซ.ล.  แล้วกล่าวว่า แท้จริงข้าพเจ้าเป็นโรคลมบ้าหมู และแท้จริงอวัยวะที่สงวนของข้าพเจ้าจะเปิด (เมื่อล้มลง) ขอท่านจงขอพรต่ออัลลอฮ์ให้แก่ข้าพเจ้าด้วย ท่านได้กล่าวว่า ถ้าหากเธอต้องการ ให้เธออดทน และเธอจะได้สวรรค์ และถ้าหากเธอต้องการ ข้าพเจ้าจะขอต่ออัลลอฮ์ให้เธอหาย หล่อนกล่าวว่า ข้าพเจ้าจะอดทน และหล่อนกล่าวว่า แท้จริงอวัยวะที่สงวนของข้าพเจ้าจะเปิด ขอท่านจงวิงวอนต่ออัลลอฮ์ให้แก่ ข้าพเจ้าว่าไม่ให้อวัยวะของข้าพเจ้าเปิด ท่านนบีจึงได้วิงวอนขอให้หล่อน

 รายงานโดยมุคอรี และมุสลิม

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านนบี ซ.ล.  กล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮ์ตาอาลาได้ตรัสว่า “เมือเราได้ทดลองบ่าวของเราด้วยสองสิ่งที่เขารัก  และเขามีความอดทน เราจะทดแทนสวรรค์ให้แก่เขาจากสองสิ่งนั้น

รายงานโดยบุคอรี และมุสลิม ในเรื่องนี้ และโดยติรมิซีใน เรื่องสละโลกีย์

ผลบุญของการอดทนในโรคอหิวาต์

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า คนที่ตายด้วยโรคท้องร่วงนั้นเป็นคนตายชะฮีค คนที่ตายด้วยโรคอหิวาต์นั้น เป็นคนตายชะฮีด

เล่าจาก อาอิชะห์ ร.ฎ.  ว่า แท้จริงพระนางได้ถามท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ถึงโรคอหิวาต์ ต่อมาท่านได้บอกแก่พระนางว่า มันเป็นการลงโทษที่อัลลอฮ์ส่งมาให้ประสบกับผู้ที่พระองค์ประสงค์  และอัลลอฮ์ได้ดลบันดาลให้เป็นความเมตตาแก่ พวกผู้มีศรัทธา ไม่มีบ่าวคนใด

ที่โรคอหิวาต์ได้เกิดขึ้น และเขาก็ยังคงอยู่ในเมืองของเขาอย่างอดทน โดยรู้ว่าแท้จริงจะไม่มีอะไร ประสบกับเขา นอกจากสิ่งที่อัลลอฮ์ได้กำหนดไว้สำหรับเขา นอกจากเขาจะได้รับผลบุญ เหมือนนักรบที่ถูกฆ่าในสงครามศักดิ์สิทธิ์ 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี

และท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวว่าโรคอหิวาต์นั้น เป็นการข่มขวัญ หรือการลงโทษทีถูกส่งไปยังบะนีอิสรออีล (ยิว) หรือไปยังผู้คนยุคก่อนจากพวกท่าน ดังนั้นเมื่อท่านทั้งหลายได้ยินว่ามันได้เกิดขึ้น ณ ที่แห่งใด ท่านทั้งหลายอย่าเข้าไปหามัน และเมื่อมันได้เกิดขึ้นในแผ่นดิน ที่พวกท่านอาศัยอยู่ ท่านทั้งหลายอย่าหนีมัน

รายงานโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ.  ว่าแท้จริง อุมัร ร.ฎ.  ได้เดินทางไปยัง “ชาม” จนกระทั่งเมื่อเดินทางไปถึง ศัรฆ์ ชาว อัจนาด  ได้พบกับเขา คืออะบู อุไบดะห์ บุตร อัลยัรรอห์ และ พรรคพวกของเขา พวกเขาได้แจ้งแก่อุมัรว่า โรคอหิวาต์ได้เกิดชื้นที่ชาม อุมัรจึงได้กล่าวแก่ อิบนิ อับบาสว่า ท่านจงเรียกพวกผู้อพยพ (มุฮายิรีน) รุ่นแรกๆ มาหาข้าพเจ้า ข้าพเจ้า (อิบนิ อับบาส) จึงได้เรียกพวกเขามา ท่านอุมัรได้ขอคำปรึกษาจากพวกเขา แต่พวกเขามีความคิดขัด แย้งกัน บางคนได้กล่าวว่า แท้จริงท่านได้ออกมาเพื่องานชิ้นหนึ่ง  และพวกเราไม่เห็นด้วยที่ท่านจะห้นกลับจากงานชิ้นนั้น และบางคนกล่าวว่า ยังมีประชาชนเหลืออยู่กับท่าน รวมทั้งเหล่าอัครสาวกของท่านเราะซูลุลลอฮ์ซ.ล.  พวกเราไม่เห็นด้วยที่ท่านจะพาพวกเขาเข้าไปหาโรคระบาดนี้      ท่านอุมัรจึงได้กล่าวว่า พวกท่านจงแยกย้ายกันกลับไปจากข้าพเจ้าได้แล้ว ภายหลัง ท่านอุมัรได้กล่าวว่า ท่านจงไปเรียกพวกอันซอรมาหาข้าพเจ้า ข้าพเจ้า (อิบนี อับบาส) จึงได้โป เรียกพวกเขามาหาอุมัร ท่านอุมัรได้ปรึกษากับพวกเขา ต่อมาพวกเขาได้ดำเนินรอยเดียวกันกับพวกผู้อพยพ (มุฮายิรีน)ในเรื่องความคิดที่ขัดแย้งกัน ท่านอุมัรจึงกล่าวว่า พวกท่านจงแยกย้ายกันไปจากข้าพเจ้าได้แล้ว หลังจากนั้นเขาได้กล่าวว่า ท่านจงไปเรียกบุคคลที่อยู่ที่นี่จากผู้อาวุโส ของพวกกุเรช จากพวกอพยพที่เข้าพิชิตมักกะห์ มาหาข้าพเจ้า ข้าพเจ้า (อิบนิ อับบาส) จึงได้ไป เรียกพวกเขามา ปรากฏว่า พวกเขาไม่มีดวามคิดที่แตกต่างกัน พวกเขาพากันกล่าวว่า พวกเรา เห็นควรว่าให้ท่านพาประชาชนกลับและไม่ควรที่ท่านจะพาพวกเขาเข้าโปสู่โรดระบาดนี้ ท่านอุมัร จึงได้ประกาศในหมู่ประชาชนว่า แท้จริงข้าพเจ้าจะอยู่บนพาหนะในเวลารุ่งเช้า ท่านอะบู อุไบดะห์ ได้กล่าวว่า เป็นการหนีจากการกำหนดของอัลลอฮ์หรือ ท่านอุมัรได้กล่าวว่า ควรเป็นคนอื่นที่พูดอย่างนี้ โอัอะบู อุไบดะห์ โดยที่ท่านอุมัรไม่ต้องการขัดแย้งกับเขา ใช่แล้ว พวกเราจะหนีจากกำหนดของอัลลอฮ์ไปหากำหนดของอัลลอฮ์ได้โปรดบอกข้าพเจ้า ถ้าหากท่าน มีอูฐ และมันได้ลงไปในหุบเขาที่มีสองด้าน ด้านหนึ่งอุดมสมบูรณ์และอีกด้านหนึ่งแห้งแล้ง ถ้าหากท่านเลี้ยงอูฐนั้นทางด้านที่อุดมสมบูรณ์ ท่านก็ได้เลี้ยงมันตามกำหนดของ อัลลอฮ์ และถ้าหากท่านเลี้ยงมันทางด้านที่แห้งแล้ง ท่านก็ได้เลี้ยงมันตามกำหนดของ อัลลอฮ์ อินนุอับบาส ได้กล่าวว่า จากนั้นอับดลเลาะห์มาน บุตร เอาฟ์ทีได้มา โดยที่เขาหายหน้าไปเพื่อธุระบางอย่างของเขา พร้อมกับกล่าวว่า แท้จริงในเรื่องนี้ข้าพเจ้ามีความรู้ ข้าพเจ้าได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  กล่าวว่า เมื่อท่านทั้งหลายได้ยินว่ามีโรคระบาดเกิดขึ้นในแผ่นดินใด ท่านทั้งหลายอย่าเข้าไปที่แผ่นดินนั้น และเมื่อมันได้เกิดขึ้นที่แผ่นดินใดโดยที่ท่านก็อยู่ในแผ่นดินนั้น ท่านทั้งหลาย อย่าหนีมันออกจากแผ่นดินนั้น ท่านอิบนุ อับบาส ได้กล่าวว่า ท่านอุมัร บุตร ค๊อตต๊อบ ได้ สรรเสริญอัลลอฮ์หลังจากนั้นได้หันกลับ

รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม

การกระทำคุณ (سَحَرُ - spell) 508

อัลลอฮ์ตาอาลาได้ตรัสว่า และผู้กระทำคุณหรือนักมายากลนั้นจะไม่ชนะ ไม่ว่าเขา จะนำมาจากที่ใดก็ตาม

เล่าจาก อาอิชะห์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ชาวยะฮูดีคนหนึ่งจากยะฮูดี ตระกูล ชุรอยก์ มีชื่อ เรียกว่า ละบีด บุตร อะอ์ซอม ได้กระทำคุณท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  จนปรากฏว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  เกิดภาพหลอนว่า ท่านได้กระทำสิ่งหนึ่งโดยที่ท่านไม่ได้กระทำสิ่งนั้นเลย จนกระทั่งวันหนึ่งหรือคืนหนี่ง ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้วิงวอนขอ หลังจากนั้นก็ได้วิงวอน หลังจากนั้นก็ได้วิงวอนขออีก หลังจากนั้นท่านได้กล่าวว่า โอ้ อาอิชะห์ เธอรู้สึกไหมว่า แท้จริงอัลลอฮ์  ได้อธิบายแก่ข้าพเจ้าในสิ่งที่ข้าพเจ้าขอคำอธิบายจากพระองค์ในสิ่งนั้น ได้มีผู้ชายสองคนมาหาข้าพเจ้า คนหนึ่งได้นั่งลง ทางด้านศีรษะของข้าพเจ้า และอีกคนหนึ่งได้นั่งลง ทางด้านปลายเท้าของข้าพเจ้า            ผู้ที่นั่งอยู่ทางด้านศีรษะของข้าพเจ้าได้กล่าวแก่ผู้ที่อยู่ทางด้านปลายเท้า หรือผู้ที่อยู่ทางด้านปลายเท้าของข้าพเจ้าได้กล่าวแก่ผู้ที่อยู่ทางด้านศีรษะของข้าพเจ้าว่า อะโร คือความเจ็บปวดของชายคนนี้ อีกคนหนึ่งตอบว่า เขาถูกกระทำคุณ คนเดิมถามว่า ใครกระทำคุณ อีกคนตอบว่า ละบีด บุตร อะอ์ซอม  คนเดิมได้กล่าวว่า (กระทำคุณ) ในสิ่งใด อีกคนหนึ่งตอบว่า ในหวีและผมที่ร่วงขณะสาง และจั่นอินทผลัมตัวผู้ที่แห้งแล้ว คนเดิมถามว่า มันอยู่ที่ไหน อีกคนหนึ่งตอบว่า ในบ่อ ซีอัรวาน อาอิซะห์ได้กล่าวว่า ต่อมาท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้มาหานางพร้อมด้วยประชาชนกลุ่มหนึ่งจากเหล่าอัครสาวกของท่าน จากนั้นท่านได้กล่าวว่า โอ้อาอิชะห์ แท้จริงนํ้าของมันคล้ายนํ้าแช่ใบเทียน และจั่นอินทผลัมของมันเหมือนหัวชัยฏอน ข้าพเจ้า (อาอิชะห์) จึงได้กล่าวว่า ท่านจะไม่เผามันหรือ ท่านตอบว่า ส่วนข้าพเจ้านั้นแท้จริงอัลลอฮ์ได้ให้ข้าพเจ้าหายแล้ว      และข้าพเจ้าไม่ต้องการกระพือความชั่วร้ายให้ประชาชนเกิดความตระหนก ข้าพเจ้าจึงได้สั่งให้จัดการกับมัน และมันก็ได้ถูกฝังไปแล้ว

รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม

ยาพิษ

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ (ร.ด) ได้กล่าวว่า เมื่อคอยบัรถูกพิชิต ได้มีผู้นำแกะใส่ยาพิษ มามอบเป็นของกำนัลแก่ท่านนบี ซ.ล.  ต่อมาท่านเราะซูลุลลอฮ์ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลาย จงรวบรวมพวกยะฮุดิที่อยู่ที่นี้ทั้งหมด ต่อมาพวกยะฮูดีได้ถูกนำมารวมทีท่านนบี ท่านจึงได้กล่าวแก่พวกยะฮดีว่า ข้าพเจ้าจะถามพวกท่านถึงสิ่งหนึ่ง พวกท่านจะพูดความจริงกับข้าพเจ้าถึงสิ่งนั้นไหม  พวกเขาตอบว่า ได้ครับ โอ้อะบั้ลกอเซ็ม[153] ท่านจึงถามว่า ใครคือบิดาของพวกท่าน พวกเขาตอบว่า บิดาของเราคือ คนนั้น คนนั้น (ระบุชื่อ) ท่านได้กล่าวว่า พวกท่านโกหก แต่บิดาของพวกท่านคือ คนนั้นๆ (ระบุข้อ) พวกเขากล่าวว่า ท่านพูดจริงและถูกต้อง ท่านจึงได้ กล่าวว่าแท้จริงข้าพเจ้าจะถามพวกท่านถึงสิ่งหนึ่ง พวกท่านจะพูดความจริงกับข้าพเจ้าถึงสิ่งนั้นไหม พวกเขาตอบว่า ได้ครับ โอ้อะบั้ลกอเซ็ม เพราะถ้าพวกพวกเราได้โกหกท่าน ท่านก็จะรู้ได้ว่าพวกเราโกหก เหมือนอย่างที่ท่านจับโกหกได้ในเรื่องบิดาของพวกเรา ท่านจึงได้กล่าวแก่พวกเขาว่า ใครคือชาวนรก พวกเขาตอบว่า พวกเราจะอยู่ในขุมนรกเพียงเล็กน้อย ภายหลังพวกท่านจะเข้าไปแทนพวกเราอยู่ในขุมนรก ท่านเราะซูลุลลอฮ์ซ.ล.  จึงได้กล่าวแก่พวกเขาว่า พวกท่านจงตกต่ำอยู่ในนั้น สาบานต่ออัลลอฮ์ว่า พวกเราจะไม่เข้าไปแทนพวกท่านในขุมนรกตลอดกาล หลังจากนั้นท่านได้กล่าวแก่พวกเขาว่า พวกท่านจะพูดความจริงกับข้าพเจ้ากึงถึงสิ่งหนึ่งไหม ถ้าหากข้าพเจ้าได้ถามพวกท่าน ถึงสิ่งนั้น พวกเขาตอบว่าครับ ท่านจงถามว่า พวกท่านได้ใส่ยาพิษลงในแกะตัวนี้หรือ พวกเขาตอบว่า ครับ ท่านจึงถามว่า อะไรทีทำให้พวกท่านทำอย่างนั้น พวกเขาตอบว่า พวกเรามีความต้องการว่า ถ้าหากท่านเป็นจอมโกหก พวกเราจะสบายจากท่าน และถ้าหากท่านเป็นนบี ยาพิษนั้นก็จะไม่ทำอันตรายท่าน[154]

รายงานโดย มุคอรี

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ.  ว่าแท้จริงผู้หญิงชาวยะฮูดีคนหนึ่ง ได้มาหาท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  พร้อมด้วยแกะที่ใส่ยาพิษตัวหนึ่ง ท่านได้รับประทานมัน ต่อมา ผู้หญิงคนนั้นได้ถูกนำ ตัวมาหาท่านนบ ซ.ล.  ท่านได้ถามหล่อน ถึงเรื่องนั้น หล่อนได้ตอบว่า ข้าพเจ้าต้องการสังหาร ท่าน ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวว่า อัลลอฮ์จะไม่ให้เธอสามารถทำเช่นนั้น หรือกล่าวว่า ทำกับข้าพเจ้า[155] พวกอัครสาวกกล่าวว่า พวกเราจะไม่ฆ่าหล่อนหรือ ท่านตอบว่า ไม่ อะนัสได้ กล่าวว่าข้าพเจ้ายังคงรู้ว่ามันมี (ยาพิษ) อยู่ที่ลิ้นไก่ของท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  

รายงานโดย มุสลิม และอะบูดาวูด

เล่าจากยาบิร ร.ฎ.  ว่า แท้จริงผู้หญิงชาวยะฮูดีคนหนึ่ง[156] จากชาวเมืองคอยบัร ได้มอบแกะที่ใส่ยาพิษให้แก่ท่านนบี ซ.ล.  เป็นของกำนัล ท่านได้รับประทานมัน และได้มีอัครสาวก ของท่านอีกกลุ่มหนึ่งได้รับประทานพร้อมกับท่านด้วย ภายหลังท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวแก่พวกเขาว่า ท่านทั้งหลายจงยกมือของพวกท่านขึ้น และท่านได้ส่งคนไปหาผู้หญิงยะฮูดีคนนั้น ต่อมาท่านได้กล่าวว่า เธอใส่ยาพิษแกะตัวนี้หรือ หล่อนถามว่า ใครบอกกับท่าน ท่านได้กล่าว ว่าขาแกะนี้มันได้บอกข้าพเจ้า หล่อนตอบว่า ใช่ ท่านได้กล่าวว่า เธอต้องการอะไรทีทำเช่นนั้น หล่อนกล่าวว่า ข้าพเจ้าขอพูดว่า ถ้าหากเขาเป็นนบี ยาพิษจะไม่ทำอันตรายเขา และถ้าหากเขาไม่ใช่นบีพวกเราจะได้รับความสบายจากเขา ท่านนบีจึงได้อภัยให้หล่อน

และ อะบู ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.  จะรับประทานของฮะดียะห์ (กำนัล) ท่านจะไม่รับประทานของบริจาค (เศาะดะเกาะห์) ต่อมาได้มีผู้หญิงยะฮูดีคน หนึ่งอยู่ที่คอยบัรได้นำแกะย่างตัวหนึ่งที่ถูกใส่ยาพิษ มามอบให้ท่านเป็นของกำนัล ท่านได้รับประทานมันและคนกลุ่มหนึ่งได้รับประทานมัน ต่อมาท่านได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงยกมือของพวกท่านขึ้น เพราะมันได้บอกแก่ข้าพเจ้าว่ามันถูกใส่ยาพิษ ต่อมาท่านจึงได้ส่งคนไปหาผู้หญิง ยะฮูดีคนนั้น  ท่านจึงได้ถามหล่อนว่า อะไรทำให้เธอทำเช่นนี้ หล่อนได้กล่าวว่า ถ้าหากท่าน เป็นนบี มันจะไม่ทำอันตรายท่าน และถ้าหากท่านเป็นกษัตริย์ ข้าพเจ้าก็ได้ทำให้มนุษย์ชาติ สบายจากท่าน ต่อมานบีได้ออกคำสั่งให้จัดการกับหล่อน และหล่อนก็ถูกสังหาร เพราะบิชร์ บุตรอัลบะรออฺได้เสียชีวิตเนื่องจากรับประทานแกะตัวนั้น ภายหลังท่านได้กล่าวขณะที่ท่านเจ็บ ซึ่งท่านได้เสียชีวิตในการเจ็บครั้งนี้ว่า ข้าพเจ้ายังคงพบความเจ็บปวดเนื่องจากอาหารที่เมืองคอยบัร และนี่ก็ถึงเวลาที่เส้นชีวิตของข้าพเจ้าขาดแล้ว

รายงานหะดีษทั้งสองโดย อะบูดาวูด ในเรื่อง ดิยห์

การเยี่ยมผู้ป่วยเป็นซุนนะห์ 511

เล่าจากสะอัด ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ล้มป่วยลงที่นครมักกะห์ ต่อมาท่านนบี ซ.ล. ได้มาเยี่ยมข้าพเจ้า ท่านได้วางมือของท่านบนหน้าผากของข้าพเจ้า จากนั้นท่านได้เอามือของท่านลูบหน้าข้าพเจ้า และท้องของข้าพเจ้า แล้วกล่าวว่า โอ้พระองค์อัลลอฮ์ได้โปรดให้สะอัด หายป่วยและได้โปรดให้การอพยพของเขาสมบูรณ์ สะอัดได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าคงได้พบความเย็นจากมือของท่าน ที่ตับของข้าพเจ้า ในสิ่งที่ข้าพเจ้าวาดภาพไปถึง จนถึงเดียวนี้

รายงานโดย บุคอรี และอะบูดาวูด

และ อิบนิ อับบาส ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้เข้าไปหาชายคนหนึ่งเพื่อเยี่ยมเขา ต่อมาท่านได้กล่าวว่า ไม่เป็นไร สะอาด ถ้าหาก อัลลอฮ์ประสงค์[157]  เขาได้ตอบว่า อย่าพูด เช่นนั้นแต่มันเป็นไข้ที่ (ความร้อนของมัน) เดือดพล่านอยู่ที่ชายชราคนหนึ่งจนทำให้เขาเข้าหลุมฝังศพ  ท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ได้ถ้าต้องการเช่นนั้น[158]

รายงานโดย บุคอรี

และปรากฏว่าทาสคนหนึ่งของชาวยะฮูดี ที่เคยบริการท่านนบี ซ.ล.  ล้มป่วยลง ท่านนบี ซ.ล.  จึงได้มาหาเขา เพื่อเยี่ยมเขาและท่านนบีได้กล่าวว่า ท่านจงเข้านับถือศาสนาอิสลาม เขาก็ได้เข้านับถือคาสนาอิสลาม

รายงานโดย บุคอรี และอะบูดาวูด และตัวบทของอะบีดาวูดว่า ท่านได้นั่งลงทางด้านศีรษะของเขา แล้วกล่าวแก่เขาว่า จงยอมรับศาสนาอิสลาม ทาสผู้นั้นได้มองไปยังบิดาของเขา บิดาของเขาได้กล่าวแก่เขาว่า ท่านจงเชื่อฟังอะบั้ลกอเซ็ม เขาจึงยอมรับศาสนาอิสลาม ต่อมาท่านนบีได้ลุกขึ้นยืน และกล่าวว่า มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิของอัลลอฮ์ ช่วยให้เขาพ้นจากไฟนรก

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านนบี ซ.ล.  กล่าวขณะที่ท่านพิงข้าพเจ้าอยู่ว่า โอ้พระองค์อัลลอฮ์ ได้โปรดอภัยแก่ข้าพเจ้า ได้โปรดเมตตาแก่ข้าพเจ้า และได้โปรดให้ข้าพเจ้าติดตามไปอยู่กับสหายรัก[159] (اَلرَّفِيْقِ - Comrade)

รายงานโดย บุคอรี

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริง อัลลอฮ์ผู้ยิ่งใหญ่ และเกรียงไกร จะกล่าวในวันกิยามะห์ว่า โอ้ลูกหลานของอาดัม ข้าพเจ้าป่วย แต่ท่านไม่ได้เยี่ยมข้าพเจ้า เขาจะกล่าวว่า โอ้พระผู้อภิบาลของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไปเยี่ยมพระองค์ท่านได้อย่างไร โดยที่พระองค์ท่านเป็นผู้อภิบาลแห่งสากลโลภ พระองค์ตอบว่า ท่านไม่ทราบหรือว่า บ่าวของเราคนนั้น ๆ ป่วย โดยที่ท่านไม่ได้ไปเยี่ยมเขา ท่านไม่ทราบหรือว่า แท้จริง ถ้าหากท่านไปเยี่ยมเขา ท่านก็จะพบเราอยู่กับเขา[160] โอ้ ลูกหลานของอาดัม เราได้ขออาหารต่อท่าน แต่ท่านไม่ให้อาหารเรา เขากล่าวว่า โอ้พระผู้อภิบาลของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะให้อาหารแก่พระองค์ท่านได้อย่างไร โดยที่พระองค์ท่านเป็นผู้อภิบาลสากลโลก พระองค์จะกล่าวว่า ท่านไม่ทราบหรือว่า บ่าวของเราคนนั้นๆได้ขออาหารจากท่าน แต่ท่านไม่ยอมให้อาหารเขา ท่านไม่ทราบหรือว่าแท้จริงถ้าหากท่านให้อาหารเขา ท่านก็จะต้องได้พบการทำเช่นนั้นอยู่ที่เรา[161] โอ้ลูกหลานอาดัม เราได้ขอน้ำท่านดื่ม แต่ท่านไม่ได้ให้นํ้าดื่มแก่เรา เขากล่าวว่า โอ้พระผู้อภิบาลของข้าพเจ้า ข้าพเจ้า จะให้นํ้าดื่มแก่พระองค์ท่านอย่างไร โดยที่พระองค์ท่านเป็นผู้อภิบาลแห่งสากลโลก พระองค์ได้กล่าวว่า บ่าวของเราคนนั้นๆ ได้ขอนํ้าท่านดื่ม แต่ท่านไม่ยอมให้นํ้าดื่มแก่เขา ท่านไม่ทราบหรือว่าแท้จริงถ้าหากท่านให้นํ้าเขาดื่ม ท่านก็จะพบการทำเช่นนั้นอยู่ที่เรา[162]

รายงานโดย มุสลิม

เล่าจากเซาบาน ทาสของท่านนบี ซ.ล.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ผู้ใดได้เยียมผู้ป่วย เขายังคงอยู่ในสวรรค์ จนกว่าเขาจะกลับ ได้มีผู้เรียนถามว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์อะไร คือสวนสวรรค์ ท่านตอบว่า คือผลไม้ที่ถูกตัดในสวรรค์

รายงานโดยมุสลิม และติรมิซี

เล่าจาก อิบนิ อับบาส (ร.ด) ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่มีบ่าวมุสลิม คนใดที่ไปเยี่ยม ผู้ป่วย ซึ่งยังไม่ถึงกำหนดต้องเสียชีวิต แล้วกล่าวเจ็ดครั้งว่า ข้าพเจ้าขอต่ออัลลอฮ์ผู้ทรงยี่งใหญ่เจ้าของบัลลังก์ที่ยิ่งใหญ่ ได้โปรดให้ท่านหายป่วย นอกจากเขาจะหายป่วย 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจาก อะบี สะอีด ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า เมื่อท่านทั้งหลายใด้เข้าไปที่ผู้ป่วยจงปลอบใจเขาในเรื่องกำหนดความตายของเขา เพราะแท้จริงการทำเช่นนั้น จะไม่ปฏิเสธสิ่งใด และมันจะทำให้กำลังใจของผู้ป่วยดีขึ้น

รายงานโดย ติรมิซี

สิ่งที่ควรกล่าว ขณะเกิดความวิบัติ (مُصِيْبَةٌ) 512

อัลลอฮ์ตาอาลาได้ตรัสว่า บรรดาผู้ซึ่งความวิบัติมาประสบกับพวกเขา พวกเขา ก็กล่าวว่า แท้จริงเราเป็นสิทธิของอัลลอฮ์ และเราต้องกลับคืนสู่พระองค์ (اِنَّا لِلَّهِ وَ اِنَّا إليْهِ رَاجِعُونَ) พวกเหล่านั้นย่อม ได้รับพรและความเมตตาจากผู้อภิบาลของพวกเขา และพวกนั้นเป็นพวกที่ได้รับทางนำ

เล่าจาก อุมมิ ซะลามะห์ (ร.ด) ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์ซ.ล.  กล่าวว่า ไม่มีบ่าวคนใดที่ภัยพิบัติเกิดขึ้นกับเขาแล้วเขาจะกล่าวว่า แท้จริงพวกเราเป็นกรรมสิทธิ์ของ อัลลอฮ์ และแท้จริงพวกเราต้องกลับไปหาพระองค์ โอ้พระองค์อัลลอฮ์ ได้โปรดประทาน ผลบุญแก่ข้าพเจ้าในภัยพิบัติของข้าพเจ้า และได้โปรดทดแทนสิ่งที่ดีกว่าภัยพิบัตินั้นแก่ข้าพเจ้า นอกจากอัลลอฮ์จะประทานผลบุญแก่เขาในภัยพิบัติของเขานั้น และจะประทานสิ่งที่ดีกว่าให้แก่เขา อุมมุ ซะลามะห์ ได้กล่าวว่า เมื่ออะบู ซะลามะห์เสียชีวิต ข้าพเจ้าได้กล่าวดังที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.   ใช้ข้าพเจ้า ต่อมาอัลลอฮ์ใด้ทดแทนสิ่งที่ดีกว่าเขา (อะบู ซะลามะห์) แก่ข้าพเจ้า นั่นคือท่านเราะซูลุลลอฮ์ซ.ล.  ได้รับอุมมิ ซะลามะห์เป็นภรรยา

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี และตัวบทของติรมีซีในเรื่องการขอพร มีว่า เมื่อภัยพิบัติได้เกิดขึ้นกับใครคนหนึ่งจากพวกท่านให้เขาจงกล่าวว่า แท้จริงพวกเราเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ์ และแท้จริงพวกเราต้องกลับไปหาพระองค์ ข้าแต่พระองค์อัลลอฮ์ ณ พระองค์ท่านนั้น ข้าพเจ้าวิงวอนขอ (ผลบุญ ของ) ภัยพิบัติของข้าพเจ้า[163] ดั้งนั้นพระองค์ท่านได้โปรดประทานผลบุญให้แก่ข้าพเจ้าในภัยพิบัตินั้น และได้โปรดทดแทนให้ข้าพเจ้าได้รับสิงที่ดีกว่ามัน ต่อมาขณะที่อะบูซะลามะห์จะสิ้นชีวิต เขาได้กล่าวว่า ข้าแต่พระองค์อัลลอฮ์ได้โปรดทดแทนคนที่ดีกว่าข้าพเจ้า ให้แก่ครอบครัวของข้าพเจ้า เมื่อเขาเสียชีวิต อุมมุ ซะลามะห์ได้กล่าวว่า แท้จริงพวกเราเป็นกรรมสิทธิของอัลลอฮ์ และแท้จริงพวกเราต้องกลับคืนไปหาพระองค์ ณ พระองค์อัลลอฮ์นั้น ข้าพเจ้าวิงวอนขอ (ผลบุญของ) ภัยพิบัติของข้าพเจ้าดังนั้นขอพระองค์ท่านได้โปรดประทานผลบุญให้ข้าพเจ้าไนภัยพิบัตินั้น ต่อมาอัลลอฮ์ได้รับคำวิงวอนของคนทั้งสอง และพระองค์ได้ให้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ซ.ล.  เป็นเครื่องทดแทนแก่บุคคลทั้งสอง

ตอนที่ 1 อนุญาตให้เยียวยารักษา (التَدَاوَى, مُدَاوٍ  - cure)

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ (ร.ด) จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า อัลลอฮ์ไม่ได้ประทานโรคใดลงมานอกจากพระองค์ได้ประทานยารักษาโรคนั้นลงมาด้วย

รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม

ตัวบทของมุสลิมว่า ทุกๆ โรคมียารักษา เมื่อยาตรงกับโรค ก็หายจากโรคนั้น โดยอนุมัติของอัลลอฮ์ผู้ยิ่งใหญ่และเกรียงไกร

เล่าจากอุซามะห์ บุตร ซะรีก (ร.ด) ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้มาหาท่านนบี ซ.ล.  ขณะที่บรรดาอัครสาวกของท่านอยู่ในสภาพที่เหมือนกับมีนกเกาะอยู่ที่หัวของพวกเขา[164] ข้าพเจ้าได้ให้ลลามและได้นั่งลง ต่อจากนั้นได้มีพวกอาหรับชนบทมาจากที่โน้น และที่นี่ และได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์พวกเราจะรักษาด้วยการเยียวยาได้หรือไม่ ท่านได้ตอบว่า พวกท่านจงเยียวยาเถิด เพราะแท้จริงอัลลอฮ์ไม่ได้วางโรคใดมานอกจากได้วางยาไว้เพื่อรักษามัน นอกจากโรคเดียวคือความชรา

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี ด้วยสายรายงานที่ ศอฮีหะห์

และได้มีผู้เรียนถามท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. โดยถามว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้โปรดบอกข้าพเจ้าถึงเรื่องคาถาที่พวกเราจะนำมันมาใช้ และยาที่พวกเราจะนำมันมาใช้รักษา และ เครื่องมือที่จะนำมันมาใช้คุ้มครองป้องกัน มันจะปฏิเสธกำหนดของอัลลอฮ์สักสิ่หนึ่งไหม ท่านตอบว่า มันก็คือ กำหนดของอัลลอฮ์[165]

รายงานโดย ติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ ศอฮีหะห์

และท่านสะอัด บุตรอะบีวักกอส (ร.ด) ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าป่วย ต่อมาท่านนบี ซ.ล.  ได้มาเยี่ยมข้าพเจ้า ท่านได้วางมือของท่านระหว่างเต้านมทั้งสองข้างของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้รับความเย็นจากมือนั้นที่หัวใจของข้าพเจ้า จากนั้นท่านได้กล่าวว่า แท้จริงท่านป่วยที่หัวใจ ท่านจงไปหา ฮาริส บุตร กะละดะห์ พี่ชายของ ชะกีฟ เพราะเขาเป็น (หมอ) ผู้ที่มีความรู้จะรักษาได้ ให้เขาจงเอาอินทผลัมเจ็ดผลจากชนิด อัจวะห์ (عَجْوَةِ) แห่งนครมะดีนะห์ ให้เขานำเม็ดมันมาบดให้ละเอียด และให้ท่านดื่มมัน

รายงานโดย อะบูดาวูด

การห้ามน้ำห้ามอาหารเป็นหัวยา 514

เล่าจาก อุมมิ มุนซิร อัลอันศอรียะห์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้เข้ามาหา ข้าพเจ้า พร้อมกับอะลี ร.ฎ.  และเรามีตะกร้าแขวนไว้ ท่านนบี ซ.ล. ได้ลุกขึ้นไปรับประทานจากตะกร้านั้น และอก็ได้ลุกขึ้นไปเพื่อรับประทาน แต่ท่านนบี ซ.ล.  ได้เริ่มกล่าว แก่อะลีว่า ช้าก่อนแท้จริงท่านเพี่งฟื้นจากไข้ อะลีจึงได้ยับยั้งไว้ (อุมมุ มุนซิร)ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ทำข้าวสาลีและผักต้มให้แก่พวกเขา ต่อมาท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวว่า โอ้อะลี จงรับประทานจากสิ่งนี้ เพราะมันเป็นประโยชน์แก่ท่าน

รายงานโดย อะบูดาวูด และติรมิซี

และท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า เมื่ออัลลอฮ์รักบ่าวคนใด พระองค์จะกีดกันเขาจากโลกนี้ เหมือนกับใครคนใดจากพวกท่านที่กีดกันคนป่วยของเขาจาก (การดื่ม) น้ำ[166]

เล่าจากอุกบะห์ บุตร อามิร ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ว่า ท่านทั้งหลายอย่าบังคับคนป่วยของพวกท่านให้รับประทานอาหารเพราะความจริง อัลลอฮ์จะให้อาหารพวกเขาและให้น้ำดื่มแก่พวกเขา

รายงานหะดีษทั้งสองโดย ฅิรมิซี ด้วยสายรายงานที่ หะซัน

ตอนที่ 2 การเยียวยาของท่านนบี ส่วนหนึ่ง คือน้ำผึ้ง การนาบด้วยไฟ และการกรอกเลือด

อัลลอฮ์ตาอาลาได้ตรัสว่า เครื่องดื่มจะออกจากท้องของมัน (ผึ้ง) มีสีต่างๆ  กัน ในนั้นมีตัวยารักษาโรคแก่มวลมนุษย์

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ยารักษา (ให้หายป่วย) นั้น อยู่ในสามอย่าง คือ การกรีดของเครื่องมือกรอกเลือด หรือดื่มน้ำผึ้ง หรือนาบด้วยไฟ และ ข้าพเจ้าจะห้ามประชากรของข้าพเจ้าจากการนาบด้วยไฟ[167]

รายงานโดย บุคอรี

เล่าจากยาบีร (ร.ด) ว่าท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ถ้าหากปรากฏว่ามีความดีอยู่ในสิ่งใด จากยารักษาโรคของพวกท่าน หรือถ้าหากจะปรากฏมีความดีอยู่ในยารักษาโรคของพวกท่านแล้ว มันก็จะอยู่ในการกรีดของเครื่องมือกรอกเลือด หรือดื่มน้ำผึ้ง หรือการทิ่มของไฟ ซึ่งมันจะตรงกับโรค  แต่ข้าพเจ้าไม่ชอบที่จะรักษาโดยใช้ไฟนาบ[168] รายงานโดยตานดน

เล่าจาก อะบี สะอีด ร.ฎ.  ว่ามีผู้ชายคนหนึ่งได้มาหาท่านนบี ซ.ล.  แล้วกล่าวว่า น้องชาย ของข้าพเจ้าได้รับทรมานด้วยท้องของเขา และในบางสำนวนว่า ท้องของเขาขับถ่ายไม่หยุด ท่าน จึงได้กล่าวว่า จงให้เขาดื่มน้ำผึ้ง หลังจากนั้นเขาได้มาหาท่านอีกเป็นครั้งที่สอง ท่านก็กล่าวว่า จงให้เขาดื่มนี้าผึ้ง หลังจากนั้นเขาได้กลับมาหาท่านอีกเป็นครั้งที่สาม และกล่าวว่าข้าพเจ้าได้ทำแล้ว แต่ไม่ทำให้อาการของเขาดีขึ้นเลย นอกจากขับถ่ายมากยิ่งขึ้น ท่านจงได้กล่าวว่า อัลลอฮ์ทรงสัจจะ แต่ท้องน้องชายของท่านโกหก จงให้เขาดื่มน้ำผึ้ง เขาจึงได้ให้น้องชายของเขา ดื่มนี้าผึ้ง และก็ปรากฏว่าน้องชายของเขาหายจากโรคดังกล่าว

รายงานโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากยาบิร ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า สะอัด บุตร มุอ๊าซ ถูกยิง (ด้วยธนู) ที่เส้นเลือดที่ต้นแขนของเขา ต่อมาท่านนบี ซ.ล.  ได้ใช้มือของท่านนาบเขาด้วยหอกสั้นเผาไฟ ภายหลังมือของเขา บวม ท่านจึงได้นาบมันอีกเป็นครั้งที่สอง

รายงานโดยมุสลิมและอะบูดาวูด

และเล่าจากเขา (ยาบิร) ได้กล่าวว่า อุบัยยุ ถูกยิงในวันอะห์ซาบ[169] ที่ต้นแขน ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้รักษาเขาด้วยวิธีการเอาเหล็กเผาไฟนาบทีบาดแผล

รายงานโดย มุสลิม และติรมิซี

และเล่าจากเขา (ยาบิร) ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้ส่งแพทย์ไปหาอุบัยยุ บุตร กะอับ ร.ฎ.  แพทย์ได้ตัดเส้นเลือดเขาออก ภายหลังได้รักษาเขาด้วยวิธีการเอาเหล็กเผาไฟนาบที่บาดแผล

รายงานโดย มุสลิม และอะบูดาวูด

เล่าจากอิมรอน บุตร ฮุซอยน์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้ห้ามการรักษาด้วยการเอา เหล็กเผาไฟนาบ ต่อมาพวกเราได้รักษาด้วยการเอาเหล็กเผาไฟนาบ แต่พวกเราไม่ได้รับความสุขและไม่ประสบความสำเร็จ[170]

รายงานโดย อะบูดาวูด และติรมิซี และอะบูดาวูด ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ปรากฏว่า อิมรอน คนนี้เคยได้ยินการให้สลามของมะลาอิกะห์เมื่อเขาได้รักษาด้วยวิธีการเอาเหล็กเผาไฟนาบ การให้สลามของมะละอิกะห์ ได้ขาดหายไปจากเขา ต่อมาเมื่อเขาเลิกรักษาด้วยวิธีการเอาเหล็กเผาไฟนาบ การให้สลามนั้นก็ได้กลับมายังเขาอีก

สถานที่ และเวลากรอกเลือด

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ.  ว่าแท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กรอกเลือด ขณะที่ท่านครองเอียะห์รอม ที่ศีรษะของท่าน เนื่องจากอาการปวดหัวซีกเดียวที่เกิดขึ้นกับท่าน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากซัลมา คนรับใช้ของท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ไม่เคยปรากฏมีผู้ใดที่ได้ปรับทุกข์กับท่านนบี ซ.ล.  ถึงอาการปวดศีรษะนอกจากท่านจะกล่าวว่า ท่านจงกรอกเลือด และไม่เคยปรากฏว่ามีผู้ใดที่ได้ปรับทุกข์กับท่านถึงอาการปวดที่เท้าทั้งสองข้างนอกจากท่านจะกล่าวว่า ท่านจงย้อมมันทั้งสองข้าง[171]

เล่าจาก อะบี กับซะห์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.  เคยกรอกเลือดที่ส่วนบนของศีรษะ และระหว่างไหล่ทั้งสองข้าง และท่านกล่าวว่า ผู้ใดได้ทำให้เลือดเหล่านี้หลั่งออกมา ดังนั้นการที่เขาจะไม่เยียวยาด้วยสิ่งหนึ่งเพื่อสิ่งหนึ่งก็จะไม่เป็นอันตรายกับเขา

รายงานหะดีษทั้งสองโดย อะบูดาวูด

เล่าจากอะนัส ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  เคยกรอกเลือดที่

เป็นเส้นเลือดสองข้างลำคอ และที่ท้ายทอย และท่านเคยกรอกเลือดวันที่สิบเอ็ด สิบเก้า และ ยี่สิบเอ็ด

รายงานโดย อะบูดาวูด และติรมิซี ด้ายสายรายงานทั้หะซัน

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดได้กรอกเลือดวันที่สิบเจ็ด สิบเก้า และยี่สิบเอ็ด มันจะเป็นยารักษาโรคทุกชนิด

และปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.  เคยห้ามการกรอกเลือดในวันอังคาร พร้อมทั้งกล่าวว่ามันเป็นวันเลือด และในวันอังคารนี้มีชั่วโมงหนึ่งที่เลือดจะไหลไม่หยุด                                                    

รายงานหะดีษทั้งสองโดย อะบูดาวูด

เล่าจาก อับดิ้ลลาห์  ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้เล่าถึงคืนที่ท่านถูกนำตัวไป เพื่อเดินทางในเวลาคํ่า (อิสรออุ) ว่าท่านไม่ได้ผ่านมะลาอิกะห์กลุ่มใดไป นอกจากจะใช้ท่านว่าจงใช้ประชากรของท่านให้กรอกเลือด

อิกริมะห์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า อิบนิ อับบาส มีทาสสามคนที่เป็นหมอกรอกเลือด สองคนจากพวกนั้นประกอบอาชีพกรอกเลือดเลี้ยงดูตัวเขาและครอบครัวของเขา  และอีกคนหนึ่งจะกรอกเลือดเขาและครอบครัวของเขา อิกริมะห์กล่าวว่า อิบนุ อับบาส ได้กล่าวว่า นบีของอัลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวว่า บ่าวที่ดีคือคนกรอกเลือด และเขาจะทำให้เลือด (เสีย) หายไป ทำให้สันหลังเบา และทำให้ตาสว่าง และในบางรายงานว่า ท่าน (นบี) ไม่ได้ผ่านมะลาอิกะห์กลุ่มใด ไปนอกจากพวกเขาจะกล่าวว่า ท่านจงกรอกเลือด

รายงานหะดีษทั้งสองโดย ติรมิซี ด้วยสายรายงาน ทั้งสองทั้หะซัน

เมลีดสีดำ (เมล็ดยี่หร่า)

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ในเมล็ดสีดำ นั้นเป็นยา รักษาทุกโรคให้หาย, นอกจากความตาย

รายงานโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี และตัวบทของติรมิซี ว่า พวกท่านจงใช้เมล็ดสีดำนี้ เพราะมันเป็นยารักษาโรคทุกโรค นอกจาก ซาม และ ซาม นั้นก็คือความตาย

อิบนุ อะบี อะตีก ร.ฎ.  ได้เข้าไปหาคนไข้คนหนึ่งแล้วกล่าวว่า พวกท่านจงไข้เมล็ดดำเล็กๆ   เหล่านี้ พวกท่านจงนำมันมาห้าหรือเจ็ดเมล็ดแล้วบดมันให้ละเอียด หลังจากนั้นให้หยอดมันลงไปในจมูกของเขาพร้อมกับนํ้ามันมะกอกสองสามหยด หยอดลงในด้านนี้และด้านนี้ เพราะแท้จริงอาอิชะห์ได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า หล่อนได้ยินท่านนบี ซ.ล.  กล่าวว่า แท้จริงในเมล็ดสีดำนี้เป็นยารักษาโรคทุกโรค นอกจากโรค “ซาม” ข้าพเจ้าถามว่าโรค “ซาม” คืออะไร ท่านตอบว่า ความตาย ร

รายงานโดย บุคอรี

ไม้กฤษณาของอินเดีย

เล่าจากอุมมิ กอยส์ บุตรสาว เมียะห์ซอน ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์ซ.ล.  กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงใช้ไม้กฤษณาของอินเดีย เพราะแท้จริงมันมีตัวยาถึงเจ็ดชนิด ใช้หยอดจมูก รักษาอาการบวมที่เกิดขันเหนือกระเดือกของเด็ก และใช้ดื่มรักษาโรคเยื่อหุ้มปอดอักเสบ และในบางรายงานว่า ข้าพเจ้าได้เข้าไปหาท่านนบี ซ.ล.  พร้อมด้วยบุตรชายคนหนึ่งของข้าพเจ้าโดยข้าพเจ้าเคยรักษาเขาจากอาการบวมเหนือกระเดือกด้วยริธีการรัดคอท่าน จึงได้กล่าวว่า บนความผิดอะไรที่พวกเธอรัดคอลูกๆ ของพวกเธอด้วยเชือกนี้ พวกเธอจึงใช้ ไม้กฤษณาของอินเดีย เพราะแท้จริงมันมีตัวยาถึงเจ็ดชนิดใช้หยอดจมูกรักษาอาการบวมเหนือกระเดือก และใช้ดื่มรักษาโรคเหยื่อหุ้มปอดอักเสบ

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

ยากรอก ยาหยอดจมูก และยาถ่าย

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า พวกเราได้กรอกยาท่านนบี ซ.ล.  ในขณะทีท่านป่วย ท่านได้ส่งสัญญาณมาทางพวกเราว่าไม่ต้องการ พวกเรากล่าวกันว่า เป็นเพราะคนไข้เกลียดยา ต่อมาเมื่อท่านหายป่วย ท่านได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่ได้ห้ามพวกท่านหรือจากการที่พวกท่านจะ กรอกยาข้าพเจ้า พวกเราตอบว่า เป็นเพราะคนไข้เกลียดยา หลังจากนั้นท่านได้กล่าวว่า ไม่มีใครสักคนที่อยู่ในบ้านนอกจากถูกกรอกยาโดยมีข้าพเจ้ามองดูอยู่ เว้นแต่อับบาสเท่านั้น เพราะแท้จริงเขาไม่ได้อยู่กับพวกท่าน

รายงานโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ.  ว่าแท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้หยอดยาลงในจมูก

รายงานโดย บุคอรี มุสลิม และอะบูดาวูด

และเล่าจากเขา (อิบนิ อับบาส) จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า แท้จริงที่ดีที่สุดของสิ่งที่ พวกท่านจะใช้รักษาโรคคือ การหยอดจมูก การกรอกยา การกรอกเลือด และการถ่ายท้อง

รายงานโดย ติรมิซี ด้วยสายรายงานที่หะซัน

อินทผลัมอัจวะห์ และกำอะห์ (เห็ดถ่าน)

เล่าจากอามิร บุตร สะอัด (ร.ด) จากบิดาของเขา จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ผู้ใดตื่นขึ้นมาได้รับประทานอินทผลัมอัจวะห์เจ็ดผล ยาเบื่อและการกระทำคุณจะทำอันตรายเขาไม่ได้ในวันนั้น

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

เล่าจาก สะอีด บุตร เชด ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า เห็ดถ่านนั้นเกิดจาก นํ้าตาลฟ้า และนํ้าของมันเป็นยารักษาโรคตา

รายงานโดย บุคอรี มุสลิมและติรมิซี และท่านติรมิซีได้รายงานเพิ่มเติมว่า  อินทผลัมอัจวะห์มาจากสวรรค์ และเป็นยารักษาแก้ยาเบื่อ

และท่าน อะบู ฮุรอยเราะห์ ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้เอาเห็ดถ่านมาสามหรือห้า หรือเจ็ด หัว ข้าพเจ้าได้คั้นเอานํ้าของมัน และข้าพเจ้าได้ใส่ไว้ในขวดต่อมาข้าพเจ้าได้ใช้มันหยอดตาทาสหญิงคนหนึ่ง และหล่อนก็หายจากโรคตา

รายงานโดย ติรมิซี

น้ำสำหรับคนเป็นไข้ตัวร้อน และคนที่ถูกดวงตาแห่งความชั่วร้ายจ้องมอง

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ไข้ตัวร้อน มาจากเปลวของไฟนรกญะฮันนัม ดังนั้นท่านทั้งหลายจงให้มันเย็นด้วยนํ้า

รายงานโดยมุคอรี มุสลิม และติรมิซี

และปรากฏว่า อัสมาอฺ บุตรสาว อะบีบักร์ ร.ฎ.  เมื่อมีผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นไข้ตัวร้อนมา หล่อนจะเรียกหา (น้ำ) ให้แก่หญิงนั้น เอานํ้าเทรดลงไประหว่างตัวของหญิงนั้นกับคอเสื้อ ของหล่อน พร้อมกับได้กล่าวขึ้นว่า ปรากฏว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  เคยใช้พวกเราทำให้มันเย็นลงด้วยนํ้า

รายงานโดย มุคอรี

เล่าจาก เซาบาน ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า เมื่อไข้ตัวร้อนได้เกิดกับใครคนใดคนหนึ่งจากพวกท่าน เพราะความจริงไข้ตัวร้อนนั้น เป็นส่วนหนึ่งของไฟนรก ให้เขาจงดับมันให้พ้นไปจากเขาด้วยนํ้า ดังนั้นให้เขาจงลงแช่ในแม่นํ้าที่ไหล ให้หันหน้าไปทางด้านที่นํ้าไหลและให้กล่าวว่า “ในนามของอัลลอฮ์ โอ้พระองค์อัลลอฮ์ ได้โปรดให้บ่าวของพระองค์ท่านหายไข้ และได้โปรดให้คำพูดของศาสนทูตของพระองค์ท่านเป็นจริง” หลังจากละหมาดซุบฮิ ก่อนตะวันจะขึ้น และให้เขาดำนํ้าสามครั้ง (ทำอย่างนี้) เป็นเวลาสามวัน ถ้าหากยังไม่หายในวันที่สาม ก็ให้ทำห้าวัน ถ้าหากยังไม่หายในวันที่ห้า ก็ให้ทำเจ็ดวัน ถ้าหากยังไม่หายในวันที่เจ็ด ก็ให้ทำเก้าวัน เพราะความจริง มันจะไม่เกินเก้าวัน โดยอนุมัติของอัลลอฮ์ตาอาลา

รายงานโดย ติรมิซี

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ดวงตาทีชั่วร้าย (ที,ทำให้ผู้ถูกมองต้องมีอันเป็นไปในทางไม่ดีนั้น) เป็นความจริง

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี มุสลิม และติรมิซีได้ รายงานเพิ่มเติมว่า ถ้าหากจะมีสิ่งใดลํ้าหน้ากำหนดการของพระเจ้าแล้วดวงตาที่ชั่วร้ายจะต้องลํ้าหน้าอย่างแน่นอน และเมื่อพวกท่านถูกขอร้องจากผู้ที่มีดวงตาที่ชั่วร้าย ให้อาบนํ้าแก่เขา ท่านทั้งหลายจงอาบนํ้า (ให้เขา) ส่วนรายละเอียดการอาบน้ำมีอยู่ในหะดีษที่รายงานโดยอะห์มัด นะซาอี และอิบนิฮิบบาน ดังจะกล่าวต่อไปนั้น คือ ให้ผู้ที่มีดวงตาชั่วร้ายล้างหน้าและแขนทั้งสองข้าง ของเขาถึงข้อศอกทั้งสองข้าง และตั้งแต่สะดือของเขาไปถึงส่วนล่างร่างกายของเขา และให้เอาน้ำนั้นใส่ลงในภาชนะใบหนึ่ง ให้นำไปเทรดราดคนที่ถูกดวงตาที่ชั่วร้ายมอง ที่ศีรษะและหลังของเขาหลังจากนั้นให้คว่ำภาชนะใบนั้น เขาก็จะหายด้วยบัญชาของอัลลอฮ์

และอาอิชะห์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า เจ้าของดวงตาที่ชั่วร้ายนั้นเคยถูกใช้ให้ไปอาบนั้า และอาบนํ้าละหมาด หลังจากนั้นให้ผู้ถูกดวงตาที่ชั่วร้ายเพ่งมอง เอานํ้านั้นไปอาบ

รายงานโดย อะบูดาวูด

เล่าจากอุมมิ ซะลามะห์ ร.ฎ.  ว่าแท้จริงท่านนบี ซ.ล.  ได้เห็นทาสหญิงคนหนึ่งในบ้าน ของนาง ที่ใบหน้าของทาสหญิงนั้นมีสีคลํ้า ท่านจึงได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงไปตามคนเป่า คาถามาให้หล่อน เพราะแท้จริงหล่อนถูกมองด้วยดวงตาที่ชั่วร้าย

รายงานโดย บุคอรี มุสลิม

และอัลมาอฺ บุตรสาวอุมัยสิ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ แท้จริงบุตรของยะอ์ฟัรนั้น ดวงตาที่ชั่วร้ายจะส่งผลกระทบกับพวกเขาอย่างรวดเร็ว ข้าพเจ้าจะไป ตามผู้ที่มาเป่าคาถาให้พวกเขาไหม ท่านตอบว่า เอาสิ (ไปตามมา) เพราะแท้จริงหากจะมีสิ่งใดลํ้าหน้า กำหนดการของพระเจ้าแล้ว แน่นอนว่า ดวงตาที่ชั่วร้ายนี้แหละจะลํ้าหน้า[172]

รายงานโดย มุสลิม และติรมิซี

ตัลบีนะห์[173] และยาตา

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ.  ว่าแท้จริงตัวหล่อนนั้นได้ปรากฏว่าเมื่อมีคนตายจากครอบครัวของ หล่อน พวกผู้หญิงจะมาชุมนุมกันเพราะเหตุนั้น หลังจากนั้นก็จะแยกย้ายกันไป นอกจากครอบ ครัวของหล่อน และคนใกล้ชิดของหล่อน หล่อนจะใช้ให้นำหม้อใบหนึ่งที่ใส่ตัลบีนะห์มา มันก็จะ ถูกนำมาต้ม ภายหลังจะเทมันลงไปบน ซะรีด[174] หลังจากนั้นหล่อนก็จะกล่าวว่า พวกเธอจงรับประทานมัน เพราะแท้จริงข้าพเจ้าได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  กล่าวว่า ตัลบีนะห์นั้น ทำให้หัวใจของผู้ป่วยเข้มแข็งขึ้น และทำให้ความโศกเศร้าบางอย่างทุเลาลง

รายงานโดย บุคอรี มุสลิม

และเล่าจากเขา (อาอิชะห์) ว่า หล่อนเคยใช้ให้ทำ ตัลบีนะห์ แก่ผู้ป่วย และคนที่เศร้าโศกเพราะมีคนตาย และหล่อนได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  กล่าวว่า แท้จริงตัลบีนะห์นั้น ทำให้หัวใจผู้ป่วยเข้มแข็ง และทำให้ความเศร้าบางอย่างทุเลาลง

รายงาย โดยบุคอรี

และเล่าจากเขา (อาอิชะห์) ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  เมื่อได้เกิดอาการไข้ขึ้นแก่บุคคลในครอบครัวของท่าน ท่านจะใช้ด้วยนํ้าซุป มันจึงถูกปรุงขึ้น ต่อจากนั้น ท่านจะใข้พวกเขา พวกเขาก็จะดื่มมัน ท่านจะกล่าวว่า แท้จริงมัน (น้ำซุป) จะทำให้หัวใจของ ผู้ป่วยเข้มแข็งขึ้น และมันจะล้างหัวใจของผู้เศร้าหมองให้สดชื่น ดุจดังการที่คนหนึ่งคนใดจากพวกเธอล้างสิ่งสกปรกที่ติดอยู่ที่ใบหน้าด้วยนํ้า

รายงานโดย ติรมิซี

เล่าจาก อิบนิ อับบาส (ร.ด) ได้กล่าวว่า แท้จริง ยาตาของพวกท่านที่ดีที่สุด คือ“อิชมิด” [175]มันทำให้ตาสว่าง และทำให้ขน (ตา) งอกขึ้น

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี และติรมีซีได้รายงานเพิ่มว่า ปรากฏว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  มีกระปุกใส่ยาตาใบหนึ่ง ท่านจะใช้มันใส่ตาขณะจะนอน สามครั้งในตาแต่ละข้าง

น้ำมันมะกอก และลูกประคำดีควาย

เล่าจากไซด์ บุตร อัรกอม ร.ฎ.  ว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล.  เคยบอกให้ใช้นํ้ามันมะกอก กับวัรส[176] แก่ผู้ป่วยที่เป็นโรคเยื่อหุ้มปอดอักเสบ

และเล่าจากเขา (ไซด์) ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได์ใช้พวกเราให้เยียวยาผู้ป่วยที่เป็นโรคเยื่อหุ้มปอดอักเสบด้วยไม้กฤษณากับนํ้ามันมะกอก[177]

เล่าจาก อัสมาอฺ บุตรสาว อุเมส ร.ฎ.  ว่าแท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้ถามหล่อน ว่า อะไรที่เธอใช้ทำยาถ่าย หล่อนตอบว่า ซุบรุม[178] ท่านกล่าวว่า มันร้อนไหล[179] หล่อน กล่าวว่า หลังจากนั้นข้าพเจ้าใช้ลูกประคำดีควายเป็นยาถ่ายท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ถ้าหากว่าจะมีสิ่งหนึ่งซึ่งมีตัวยารักษาความตายได้แล้วมันจะต้องปรากฏอยู่ในลูกประคำดีควายอย่างแน่นอน

รายงานหะดีษทั้งสามโดย ติรมิซี

นมอูฐ และเยี่ยวอฐ [180]

เล่าจากอะนัส ร.ฎ.  ว่า มีคนพวกหนึ่งป่วยด้วยโรคทางเดินอาหารในนครมะดีนะห์ ท่านนบี ซ.ล.  จึงใช้พวกเขาให้ไปอยู่กับคนเลี้ยง (อูฐซะกาต) ของท่าน เพื่อพวกเขาจะได้ดื่ม นมและเยี่ยวของมัน พวกเขาจึงได้ตามไปอยู่กับคนเลี้ยงอูฐของท่านและพวกเขาได้ดื่มนมและเยี่ยวของมัน จนร่างกายของพวกเขาหายดี พวกเขาจึงได้ฆ่าคนเลี้ยงอูฐนั้นเสีย และไล่ต้อนอูฐไป ต่อมาท่านนบี ซ.ล.  ได้ทราบข่าว และส่งคนออกติดตามพวกเขา และ (สามารถ) นำตัวพวกเขา มาได้ ท่านจึง (สั่งให้) ตัดมือของพวกเขา เท้าของพวกเขา และได้นาบตาของพวกเขาด้วยเหล็กเผาไฟ[181]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

ฮัจญาจได้กล่าวแก่อะนัส ร.ฎ.  ว่า ท่านจงเล่าให้ข้าพเจ้าฟังถึงโทษที่รุนแรงที่สุดที่ท่านนบี ซ.ล.  ได้ใช้มันในการลงโทษ อะนัสจึงเล่าการลงโทษให้เขาฟัง และมันได้ล่วงรู้ ไปถึง ฮะซัน จึงได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าปรารถนาไม่ให้เขาเล่าให้ ฮัจญาจฟังถึงการลงโทษนี่

รายงานโดย บุคอรี และติรมิซี

และได้มีผู้เรียนถาม อิบนุ ซิฮาบ ร.ฎ.  ถึงเยี่ยวลาตัวเมีย ดีเสือ และเยียวอูฐท่านตอบ ว่า บรรดามุสลิมเคยใช้มันเป็นยารักษาโรคโดยพวกเขาไม่เห็นว่าเป็นอะไร[182]

รายงานโดย บุคอรี

ขี้เถ้าสำหรับผู้มีบาดแผล

เล่าจากสะหลฺ บุตร สะอัดฺ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า เมื่อเกราะบนศีรษะของท่านนบี ซ.ล.  แตกและใบหน้าของท่านมีเลือดไหล และฟันของท่านหัก ปรากฏว่าอะลีได้วักนํ้าใส่,ในโล่ และฟาติมะห์ได้ล้างเลือด เมื่อหล่อนเห็นว่าเลือดนั้นเกินกว่าจะใช้เพียงนํ้าล้าง เธอจึงไปที่เสื่อ[183] และเผามัน และจากนั้นเธอได้เอา (ขี้เถ้าของมัน) ไปแปะที่แผลนั้น เลือดจึงได้หยุดไหล

รายงานโดย บุคอรี และติรมิซี

แตงร้านและอินทผลัมสุกครึ่งดิบครึ่ง(رَطَبٌ)เป็นยาบำรุงร่างกายใถ้อ้วนท้วน

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า มารดาของข้าพเจ้าต้องการบำรุงข้าพเจ้าให้อ้วน เพื่อให้ข้าพเจ้าเข้าไปหาท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  แต่ข้าพเจ้าไม่ตอบสนองมารดาของข้าพเจ้า ด้วยสิ่งใดๆ  ที่มารดาของข้าพเจ้าต้องการ จนกระทั่งมารดาได้ให้ข้าพเจ้ารับประทานแตงร้านกับอินทผลัมสุกครึ่งดิบครึ่ง ต่อมาข้าพเจ้าได้อ้วนขึ้นจากการรับประทานมันเหมือนคนอ้วนท้วนที่สวยที่สุด[184]

รายงานโดย อะบูดาวูดและนะซาอี

ไม่อนุญาตให้ใช้ของต้องถ้าม (ฮารอม) เป็นยารักษา

เล่าจาก ตอริก บุตร ซุวัยดิ ร.ฎ.  ว่าเขาได้ถามท่านนบี ซ.ล.  ถึงสุรา ท่านนบีได้ห้ามเขา หลังจากนั้นเขาได้ถามท่านอีก ท่านก็ได้ห้ามเขาอีก ดังนั้นเขาจึงได้กล่าวแก่ท่านว่า โอ้นบี ของอัลลอฮ์ แท้จริงมัน (สุรา) เป็นยา ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่ใช่แต่ความจริงมัน (สุรา) เป็นโรค

รายงานโดย มุสลิม อะบูดาวูด และติรมิซี

และมีหมอคนหนึ่งถามท่านนบี ซ.ล.  ถึง กบ (เขียด) ที่เขาจะนำไปผสมในตัวยา ท่านนบี ซ.ล.  ได้ห้ามเขาจากการฆ่ามัน[185]

รายงานโดย อะมูดาวูด และนะซาอี

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้ห้ามจากตัวยาซึ่งเป็นสิ่งโสโครก

รายงานโดย อะบูดาวูด และติรมิซี

เล่าจาก อะบี ดัรดาอฺ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮ์ได้ส่งโรคลงมาพร้อมด้วยยารักษา และพระองค์ได้บันดาลให้โรคทุกโรคนั้นมียา (รักษา) ดังนั้นท่านทั้งหลายจงรักษาเถิด และท่านทั้งหลายอย่าเยียวยาด้วยของต้องห้าม

และอิบนุอุมัร ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  กล่าวว่า ข้าพเจ้าจะไม่หวั่นไหว ต่อสิ่งที่ข้าพเจ้าจะกระทำขึ้น ถ้าหากข้าพเจ้าได้ดื่มตุรยาก (تُرْيَاقًا)[186] หรือแขวนเครื่องราง (تَمِيْمَةً) หรือขับลำนำโดยเจตนา 

รายงามหะดีษทั้งสองโดย อะบูดาวูด

ตอนที่ 3 คาถา[187]524

เล่าจาก เอาฟ์ บุตร มาลิก ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า พวกเราเคยอ่านคาถาในสมัยยาฮิลียะห์ ต่อมาพวกเราได้ถามว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ท่านเห็นเป็นอย่างไรในเรื่องนั้น ท่านได้กล่าวตอบว่า พวกท่านจงนำคาถาของพวกท่านมาเสนอให้ข้าพเจ้า ไม่เป็นไรด้วยคาถาตราบใดที่ไม่มีการตั้งภาคีในคาถานั้น 

รายงามโดยมุสลิม และอะบูดาวูด

เล่าจากยาบิร ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า แมลงป่องได้ต่อยผู้ชายคนหนึ่งจากพวกเราขณะที่พวกเราอยู่พร้อมกับท่านนบี ซ.ล.  ได้มีผู้ชายคนหนึ่งกล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ข้าพเจ้า จะอ่านคาถาเป่า (ไหม) ท่านกล่าวตอบว่า  ผู้ใดจากพวกท่านที่สามารถจะทำประโยชน์ให้แก่พี่น้องของเขาแล้วให้เขาจงกระทำเถิด

และเล่าจากเขา (ยาบิร) ได้กล่าวว่า น้าชายของข้าพเจ้าคนหนึ่งเคยใช้คาถาเนื่องจาก แมลงป่อง (ต่อย) ต่อมาเขาได้มาหาท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  แล้วกล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ท่านได้ห้ามการใช้คาถา และข้าพเจ้าได้ใช้คาถาเนื่องจากแมลงป่อง (ต่อย) ท่านจึงได้ กล่าวว่า ผู้ใดจากพวกท่านที่สามารถทำประโยชน์ให้แก่พี่น้องของเขาแล้วให้เขาจงกระทำเถิด 

รายงามหะดีษทั้งสองโดย มุสลิม

อัชชิฟาอฺ บุตรสาว อับดิ้ลลาห์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้เข้ามาหาข้าพเจ้า ขณะที่ข้าพเจ้าอยู่กับฮับเซาะห์ ท่านได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า ให้เธอสอนคาถาที่ใช้กับโรคพุพองที่ขึ้นตามสีข้างให้แก่คนนี้ (ฮับเซาะห์) เหมือนอย่างที่เธอ ได้สอนการเขียนให้แก่หล่อน 

รายงานโดย อะบูดาวูด อะห์มัดและฮากีม ถือว่าเป็นหะดีษศอฮีหะห์

และปรากฏว่าผู้หญิงชาวอาหรับเคยใช้คาถากับโรคพุพองที่ขึ้นตามสีข้างด้วย คำเหล่านี้ คือเจ้าสาวจะจัดงาน ย้อมสี ใส่ยาตาและเธอจะทำทุกสิ่งนอกจากการทรยศต่อสามี

รายงานโดย อะบูดาวูด

เล่าจากอะนัส ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้ผ่อนผันแก่เราใน คาถาที่ใช้เพราะถูกดวงตาที่ชั่วร้ายเพ่งมอง และไข้ตัวร้อน และโรคพุพองที่ขึ้นตามสีข้าง

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

คำที่ใช้เป็นคาถา[188]

เล่าจากอะนัส ร.ฎ.  ได้กล่าวแก่ ซาบิตขณะทีซาบิตได้กล่าวแก่เขาว่าข้าพเจ้าได้รับทุกข์ ทรมาน ว่า ข้าพเจ้าจะไม่ใช้คาถาป้องกันท่านด้วยคาถาของท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. หรือ เขาตอบว่า เอาสิครับ เขา (อะนัส) จึงได้กล่าวว่า โอ้พระองค์อัลลอฮ์ผู้อภิบาลมนุษยชาติ ผู้ให้หายจากความทุรนทุราย ได้โปรดให้หาย พระองค์ท่านเปีนผู้ทำให้หาย ไม่มีผู้ใดทำให้หายนอก จากพระองค์ท่าน เป็นการหายที่ไม่ทิ้งอาการป่วยไข้ใว้

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.  เคยใช้คาถาป้องกันบางคนใน ครอบครัวของท่าน ท่านจะใช้มือขวาของท่านลูบ[189] และกล่าวว่า โอ้พระองค์อัลลอฮ์ผู้อภิบาลมนุษยชาติ ได้โปรดให้ความทุรนทุรายหายไป ได้โปรดให้หายป่วย พระองค์ท่านเป็นผู้ทำให้หาย ไม่มีการหายป่วยนอกจากการหายป่วยของท่าน เป็นการหายทีไม่ทิ้งอาการป่วยไข้ไว้

รายงานโดย บุคอรี มุลลิม

และเล่าจากเขา (อาอิชะห์) ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.  นั้นเมื่อมีคนใดจากพวกเรา ได้รับความทุกข์ทรมาน ท่านจะลูบเขาด้วยมือขวาของท่าน หลังจากนั้นท่านก็กล่าวว่า ได้โปรดให้ความเจ็บปวดหายไปจนจบคือ (ได้โปรดให้หายป่วย พระองค์ท่านเป็นผู้ทำให้หายไม่มีการ หายป่วย นอกจากการหายป่วยของท่าน เป็นการหายป่วยที่ไม่ทิ้งอาการป่วยไข้ไว้) ต่อมาเมื่อท่านป่วยและมีอาการหนัก ข้าพเจ้าได้จับมือของท่านเพื่อกระทำต่อท่านเหมือนกับทีท่านเคยทำ ท่านได้ถอนมือของท่านออกจากมือของข้าพเจ้า[190] ภายหลังท่านได้กล่าวว่า ข้าแต่พระองค์อัลลอฮ์ได้โปรดอภัยแก่ข้าพเจ้า และได้โปรดดลบันดาลข้าพเจ้าให้ไปอยู่พร้อมกับมิตรที่สูงยิ่ง ต่อมาข้าพเจ้าได้ไปดูอาการได้พบว่าท่านได้จากไปแล้ว

รายงานโดย มุสลิม

และเล่าจากเขา (อาอิชะห์) ได้กล่าวว่า เมื่อมีคนหนึ่งได้รับความทุกข์ทรมานจากสิ่งหนึ่ง หรือได้เกิดแผลพุพอง หรือบาดแผลกับเขา ท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวด้วยนิ้วของท่านอย่างนี้[191] หลังจากนั้นท่านได้ชูนิ้วขึ้นและได้กล่าวว่า ะ ในนามของอัลลอฮ์ดินในพื้นแผ่นดินของ เรากับนิ้าลายของพวกเราบางคน จะใช้รักษาผู้ป่วยของเราให้หายป่วยได้โดยอนุมัติจากพระผู้ อภิบาลของเรา

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

และเล่าจากเขา (อาอิชะห์) ได้กล่าวว่า ะ เมื่อท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้รับความทุกข์ทรมาน ญิบรีลได้ใช้คาถากับท่านโดยได้กล่าวว่า ในนามของอัลลอฮ์ พระองค์จะให้ท่านหายและจากทุกโรคที่จะให้ท่านหายและจากทุกๆ ความชั่วร้ายของผู้อิจฉา เมื่อเขาได้แสดงอาการอิจฉา และจากความชั่วของทุกๆ ผู้ที่มีดวงตาที่ชั่วร้าย

รายงานโดย มุสลิม

เล่าจาก อะบี สะอีด ร.ฎ.  ว่าญิบรีลได้มาหาท่านนบี ซ.ล.  แล้วถามว่า ท่านได้รับความทุกข์ทรมานหรือ ท่านตอบว่า ใช่ ญิบรีล ได้กล่าวว่า ในนามของอัลลอฮ์ ข้าพเจ้าจะใช้คาถาป้องกันท่านจากทุกๆ สิ่งที่จะเป็นอันตรายต่อท่าน จากความชั่วของทุกๆ ชีวิต หรือดวงตาของผู้มีความอิจฉา อัลลอฮ์จะให้ท่านหาย (จากความทุกข์ทรมาน) ในนามของอัลลอฮ์ ข้าพเจ้าจะใช้คาถาป้องกันท่าน

รายงานโดย มุสลิม และติรมิซี

เล่าจาก อุสมาน บุตร อะบี อัลอาส ร.ฎ.  ว่าเขาได้ไปร้องเรียนกับท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ถึงอาการเจ็บปวดที่เขาพบมันอยู่ในร่างกายของเขาตั้งแต่เข้านับถือศาสนาอิสลาม ท่านเราะซูลุลลอฮ์ซ.ล.  ได้กล่าวแก่เขาว่า จงเอามือของท่านวางตรงที่ท่านเจ็บปวดจากร่างกายของท่าน และจงกล่าวว่า ในนามของอัลลอฮ์สามครั้ง และจงกล่าวอีกเจ็ดครั้งว่าข้าพเจ้าขอป้องกันด้วยอัลลอฮ์ และด้วยพลังของพระองค์จากความชั่วร้ายของสิ่งที่ข้าพเจ้าพบและที่ข้าพเจ้าระมัดระวัง

รายงานโดย มุสลิม อะบูดาวูด และติรมิซี และตัวบทของอะบูดาวูดและติรมีซีว่า ข้าพเจ้าได้ไปหาท่านนบี ซ.ล. ในสภาพที่ข้าพเจ้าเกิดความเจ็บปวดซึ่งมันเกือบทำให้ข้าพเจ้าเสียชีวิต ท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ท่านจงลูบมัน[192] ด้วยมือขวาของท่านเจ็ดครั้ง และจงกล่าวว่า ข้าพเจ้าขอป้องกันด้วยบารมีของอัลลอฮ์และด้วยพลังของพระองค์จากความชั่วของสิ่งที่ข้าพเจ้ากำลังเผชิญ เขา (อุสมาน) ได้กล่าวว่า ดังนั้นข้าพเจ้าจึงได้กระทำตามนั้น อัลลอฮ์จึงได้ให้สิ่งที่เกิดอยู่แก่ข้าพเจ้าหายไป และข้าพเจ้ายังคงให้ครอบครัวของข้าพเจ้าและ คนอื่นๆ ใช้คาถาดังกล่าวนั้น

เล่าจาก อัมร์ บุตร ชุอัยบิ จากบิดาของเขาจากปู่ของเขา ร.ฎ.  ว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล.  ได้เคยสอนพวกเขาหลายคำ เนื่องมาจากความตระหนกตกใจว่า ข้าพเจ้าขอป้องกัน ด้วยคำดำรัสของอัลลอฮ์ที่สมบูรณ์ จากความโกรธกริ้วของพระองค์ และจากความชั่วร้าย ของบ่าวของพระองค์ และจากการกระตุ้นของเหล่ามารร้าย และจากการที่เหล่ามารร้ายจะมายังข้าพเจ้า และได้ปรากฏว่า อิบนุ อุมัร ร.ฎ.  เคยสอนคำพูดเหล่านี้แก่ผู้ที่สามารถจดจำได้จาก ตระกูลของเขา และคนที่จำไม่ได้ เขา (อิบนุ อุมัร) ก็จะเขียนมันและแขวนมันไว้กับคนนั้น[193]

รายงานโดย อะบูดาวูด ติรมิซี ฮากีม และอะห์มัด

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.  เคยขอการป้องกันให้แก่ ฮะซันและฮูเซน โดยท่านกล่าวว่า ข้าพเจ้าขอความคุ้มครองให้แก่ท่านทั้งสองด้วยคำดำรัสของอัลลอฮ์ที่สมบูรณ์ จากทุกมารร้ายและสัตว์ร้าย และจากทุกๆ ดวงตาที่ชั่วร้าย หลังจากนั้นท่านกล่าวว่า ได้ปรากฏว่าบิดาของพวกท่าน[194] เคยขอการคุ้มครองด้วยคำทั้งสองให้แก่ อิสมาอีล และอิสหาก ขอความสันติสุขจงเกิดแก่พวกเขา 

รายงานโดย อะบูดาวูด และติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ศอฮีหะห์

และได้มีชายคนหนึ่งมาหาท่านนบี ซ.ล.  แล้วได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ข้าพเจ้า ถูกสัตว์ต่อยเมื่อคืนนี้ ข้าพเจ้านอนไม่หลับจนรุ่งเช้า ท่านถามว่า อะไร (ต่อย) เขาตอบว่า  แมงป่องท่านได้กล่าวว่า โปรดทราบแท้จริงถ้าหากท่านจะได้กล่าวในตอนเย็นว่า ข้าพเจ้าขอป้องกันด้วยคำดำรัสของอัลลอฮ์ที่สมบูรณ์ จากความชั่วร้ายของสิ่งที่พระองค์ได้สร้างขึ้นมา มันจะไม่ทำร้ายท่าน ถ้าหากอัลลอฮ์ประสงค์ (เช่นนั้น)[195]

รายงานโดย อะบูดาวูด และนะซาอี ด้วยสายรายงานที่หะซัน

และปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.  เคยสอนพวกเขา เนื่องจากอาการไข้ตัวร้อน และจากความเจ็บปวดต่างๆ ทั้งหมดโดยท่านกล่าวว่า ในนามของอัลลอฮ์ผู้ทรงยิ่งใหญ่ ข้าพเจ้าขอป้องกัน ด้วยอัลลอฮ์ผู้ทรงอานุภาพ จากความชั่วร้ายของทุกเหงื่อที่ทะลักออกมา และจากความชั่วร้าย ของความร้อนจากไฟนรก 

รายงานโดย ติรมิซี

------------------------------------------

  
 

 

 

 

[1] ร.ด. ย่อมาจาก รอฎิยัลลอฮุ อันฮ์ – ขอความจำเริญแด่เขาด้วยเถิด

[2] ซ.ล. ย่อมาจาก ศ็อลลัลลอฮุ อ้าลัยฮิ วะ ซัลลัม  صَلَّ اللَّهُ عَلَيْهِ وَ سَلَّمُ ส่วนใหญ่เมื่อเอ่ยนามท่านนบี(เราะซูลุลลอฮ์) จะต้องกล่าวประโยคนี้ทุกครั้ง เพื่อเป็นการสรรเสริญท่าน

[3] บุตรคนแรกของอาดัม ชื่อ กอบีล ได้ฆ่าน้องชายของคนชื่อ ฮาบีล เขาจะต้องมีส่วนรับผิด ในการฆ่าที่เกิดขึ้นโดยไม่ยุติธรรม

[4] หมายถึงการฆ่ากัน

[5] ประหารนักโทษ

[6] แสวงหาวัฒนธรรมประเพณียุค ญาฮิลิยะห์ รำพึงรำพัน ตีอกชกหัวตน ถึงคนตาย การทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้า

[7] คือสะอีด ได้อ่านโองการ 70 อัลฟุรกอน وَإِذَا قِيلَ لَهُمُ ٱسۡجُدُواْ لِلرَّحۡمَـٰنِ قَالُواْ وَمَا ٱلرَّحۡمَـٰنُ أَنَسۡجُدُ لِمَا تَأۡمُرُنَا وَزَادَهُمۡ نُفُورً۬ا ۩ (٦٠) เว้นแต่ผู้ที่กลับเนื้อกลับตัว และศรัทธาและประกอบการงานที่ดี เขาเหล่านั้นแหละ อัลลอฮ์จะทรงเปลี่ยนความชั่วของพวกเขาเป็นความดี และ อัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ

[8] การฟิรที่เป็นคู่สัญญาสงบศึก ได้รับการคุ้มครองในชีวิต ทรัพย์สินและเกียรติยศ เช่นเดียวกับมุสลิม ผู้ใดฆ่ากาฟิรคู่สัญญาสงบศึกก็เท่ากับ ทรยศต่อสัญญาของอัลลอฮ์

[9] ตุไฟล์ ได้ชักชวนท่านนบีไปยังประเทศยะมัน(YEMEN)

[10] หมายความว่า เมื่ออาการป่วยของเขาทรุดหนักลง เขาได้ตัดนิ้วมือเพื่อแก้เคล็ด

[11] กิสอส คือการลงโทษอาชญากร ที่เท่ากับเขากระทำต่อผู้อื่น

[12] ทาสี คือ ทาสหญิง

[13] ผู้ใดอ้างตัวเป็นแพทย์ โดยตนเองไม่มีความรู้พอ รักษาผู้ป่วยให้เสียชีวิต เท่ากับฆาตกรรมโดยไม่เจตนา หมอและทายาทต้องรับผิดชอบจ่ายดิยะห์ให้ญาติผู้ตาย

[14] ชื่อเต็มของท่านคือ อับดุลลอฮฮ์ อิบนิ อับบาส

[15] ทาส “มุกาตับ”คือทาสที่ได้รับสัญญาจากนาย ขอไถ่ตัวเป็นอิสระ โดยการผ่อนชำระค่าตัว ทาสผู้นี้มีสิทธิ์ที่จะได้รับดิยะห์หรือมรดก

[16] ทาสี(ทาสหญิง) หรือทาสา(ทาสชาย)คนหนึ่ง

[17] ทาสี คือ ทาสหญิง, ทาสา คือทาสชาย

[18] อูฐหนึ่งร้อยตัว

[19] ท่านนบี ฯ อ่านเต็มๆว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อ้าลัยฮิ วะ ซัลลัม

[20] บุคคลที่ถูกฆ่าตายหรือถูกทำร้าย จะไม่มีการกิสอสและจ่าย ดิยะห์ เพราะเขาเป็นต้นเหตุ

[21] ทาสี คือทาสหญิง (อุมมุ วลิดคือตำแหน่งแม่ที่เป็นทาสี ของลูกเจ้านาย)

[22] ถ้าปรากฏการลักขโมยขึ้น ด้วยการรับสารภาพหรือด้วยพยานสองคนที่มีความยุติธรรมให้การยืนยัน ดังนั้นให้ท่านทั้งหลาย (ที่มีหน้าที่) ตัดข้อมือขวาในการลักขโมยแรก ขโมยครั้งที่สอง ให้ตัดข้อเท้าซ้าย ในครั้งที่สามให้ตัดข้อมือซ้าย ในครั้งที่สี่ให้ตัดข้อเท้าขวา ถ้าหากยังลักขโมยอีก ให้ประหารชีวิตเสีย

[23] ถ้าเขียนหรือเอ่ยชื่อ นบี มุฮัมมัด จะต้องสรรเสริญท่านด้วยประโยคว่า ศ็อลลัลอฮุ อาลัยฮิ วัสซัลลัม ย่อด้วย ซ.ล. เครื่องหมาย sallallahu alaihe wa sallam 1-50px

[24] คือการเสพสังวาส ราคะกันทางทวารหนัก ทั้งหญิงและชาย

[25] สังหารโดยการโยนร่างทิ้งลงมาจากที่สูง อิหม่ามมาลิก และท่าน อะห์มัดให้นิยามไว้ว่า ให้ลงโทษเช่นเดียวกับการทำซินา ส่วนผู้สมยอมให้เฆี่ยนหนึ่งร้อยทีและเนรเทศหนึ่งปี ไม่ว่าจะเคยสมรสแล้วหรือไม่ก็ตาม และรวมทั้งลงโทษเหมือนๆกันทั้งหญิงและชาย

[26] ปัจจุบันห้ามแต่งงานกับอดีตภรรยาปู่ ตา พ่อ ลุง น้า พี่ น้อง บุตรชาย นั้นเคยเป็นกันมาในสมัย ญาฮิลิยะห์ที่แต่งกันได้

[27] อ่านว่า “อา อิ ชะ ตุ” คนไทยส่วนมากจะอ่าน อาอิสะห์ ซึ่งผิดอักษร ชีน ش ـ شِيْنٌ 

[28] مِنْبَرٌ มีม นูน บะอ์ เราะอ์ ท่าเทศนา Podium เวลาอ่านจริงต้องอ่านนูนร่วม บะอ์ ออกเสียงเป็น มีม “มิมบัร”

[29] ได้แก่ฮัซซาน บิน ซาบิต และมิซเตาะห์ บิน อุซาซะห์ และ ฮัมนะห์ บินติ ยัวะห์ซะ

[30] การทำคุณไสย ถือเป็นการกระทำของชาวกาฟิร และจะไม่มีการเรียกร้อง และรับไว้เป็นเตาบะห์

[31]  اَلْخَمَرٌ เคาะมัร มิได้แปลว่า ไวน์ สุรา เบียร์ เพียงอย่างเดียว ยังรวมไปถึงความหมายของ สิ่งที่เสพเข้าไปแล้ว มึนเมา เคลิบเคลิ้ม คึกคะนอง คุ้มคลั่ง ครองสติไม่ได้ สารบางอย่างเสพแรกๆจะมึนหัว ก็เป็นเคาะมัร เช่น บุหรี่ พอเสพนานๆก็ชินกับสารนิโคตินแล้ว จะไม่มึน เช่นเดียวกับสุราเสพนิดหน่อยแรกๆ จะมึนเมา แต่เสพนิดหน่อยนานๆเข้า ก็จะชินกับ อัลกอฮอร์ จะไม่มึนเมาอีกต่อไป ต้องเพิ่มปริมาณ การฟังดนตรีดังๆมากๆ แล้วเคลิบเคลิ้มก็ถือว่าเป็น เคาะมัรด้วยเช่นกัน

[32] มุสลิมจะไม่ต้องกิสอส ด้วยการฆ่ากาฟิรในสงคราม

[33] การอภัยกันนั้น จะได้รับผลบุญอันยิ่งใหญ่ และได้รับความพึงพอพระทัยจากอัลลอฮ์

[34] ผู้ใดปกปิดความผิดของมุสลิม อัลลอฮืจะปกปิดเขาทั้งดุนยาและอาคิเราะห์

[35] ค่าปรับ สินไหมในเรื่องการสาบาน

[36] แก่ผู้ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามหุก่มของอัลลอฮ์

[37] ภายใต้กลุ่มชนที่อธรรม ไม่มีสัจธรรมและคุณธรรม

[38] ให้จำเลยสาบานตนในกรณีโจทก์ไม่มีพยานหลักฐาน

[39] ไม่ยอมรับในพวกที่ไม่มีความศรัทธาและไม่รู้ศาสนา ไม่รู้จักคุณธรรม

[40] การเป็นพยานเท็จ

[41] น. บุคคลที่คู่กรณีพร้อมใจกันตั้งขึ้นเพื่อให้ชำระตัดสินในข้อพิพาท.

[42] กระทำความผิดจริง แต่กล้าสาบานเท็จ ว่าไม่ได้ทำ ท่านนบีรู้ด้วยวะฮีย์จากอัลลอฮ์

[43]  มัสญิดิลหะรอม แปลว่า มัสญิดที่ปราศจากสิ่งบาปทั้งปวง ห้ามทำสิ่งไม่เหมาะสม สิ่งไม่ควร พูดจาเพ้อเจ้อ เหลวไหล ตลกโปกฮา สิ่งผิดต่างนานา

[44] ท่านนบีฯ ย่อจาก ท่านนบี (ซ.ล.) ซ็อลลัลลอฮุ อ้าลัยฮิ วะ ซัลลัม “ขอ อัลลอฮ์ได้โปรดยกย่อง และประทาน ความศานติแด่ท่านด้วยเถิด

[45] (ร.ด.) ย่อมาจาก รอฎอยัลลอฮุ อันหุ (สำหรับชาย) รอฎอยัลลอฮุ อันฮา (สำหรับหญิง)

[46] หนึ่งภาชนะตวง “หนึ่งศออุนั้นเท่ากับ หนึ่งมุดกับอีกหนึ่งส่วนสาม”

[47] เพิ่มเป็นห้ามุดกับอีกเศษหนึ่งส่วนสาม

[48] (ร.ด.) ย่อมาจาก รอดิยัลลอฮ์ อันฮุ (สำหรับผู้ชาย, รอดิยัลลอฮ์ อันฮา (สำหรับผู้หญิง) ใช้กล่าวสรรเสริญผู้ที่เราเอ่ยนามท่าน

[49] ตัวไฮยีน่า

[50] นกชนิดหนึ่งบินเร็ว ลำคอใหญ่ สีขี้เถ้า (สันนิษฐานว่านกพิลิแกน)

[51] หะรอม แปลว่า ห้าม บาป

[52] ให้แขกใช้กำลังเข้ายึดที่พักพิง เพราะต้องการหลบจากอันตรายทั้งปวง ความร้อนจัด ความหนาวเหน็บ

[53] นกหัวโต ชอบล่านกกระจอก เป็นนกที่ถือศีลอดเพื่ออัลลอฮ์

[54] เพราะอาจเป็นญินมุสลิม

[55] อาจเป็นญินกาฟิร

[56] ยิงมันให้เลือดไหล มันก็จะเป็นสัตว์ตายที่ฮะลาล รับประทานได้

[57] ความประณีตในการเชือดคือ ให้สัตว์ดื่มน้ำก่อนทำการเชือด จับสัตว์นอนตะแคง ลับมีดให้คม ให้แผลไกลสายตาสัตว์ และเชือดให้รวดเร็ว

[58] อะกีเกาะห์ตามหลักภาษาว่า ผมไฟ แปลตามศาสนาบัญญัติหมายถึง สัตว์ที่ถูกเชือดแทนให้แก่ทารกแรกเกิด สิ่งที่ควรทำให้แก่ทารกแรกเกิดคือ 1/ อะซานที่หูขวาและอิกอมะห์ที่หูซ้าย 2/การตะห์นีก คือการที่คนหนึ่ง(ควรเป็นพ่อแม่ปู่ย่าตายาย)นำอินทผาลัมมาเคี้ยวให้ละเอียดแล้วนำไปถูที่เพดานปากเด็กทารก 3/ การตั้งชื่อ 4/ การโกนหัวในวันที่เจ็ด 5/ การทำทานด้วยเงิน(โลหะ)เท่า น้ำหนักผมไฟ (1 ดิรฮัม=2.975กรัม) 6/ การพอกหัวด้วยเครื่องหอม เช่นหญ้าฝรั่น 7/ การขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชาย

[59] เป็นอัครสาวกหญิง (เศาะฮาบะห์หญิง) จากตระกูล บะนี คุซาอะห์

[60] “ฟะเราะอ์” คือลูกอูฐตัวแรกที่เชือดถวายรูปปั้น “อะตีเราะห์” คือสัตว์ที่ถูกเชือดในเดือนรอยับ เพื่อให้เกียรติแก่เดือน เมื่อพวกเขาได้ถามนบี(ซ.ล.)ถึง ฟะเราะอ์ และอะตีเราะห์ ท่านได้ห้ามจากสองสิ่งนี้ ท่านให้เชือดฟะเราะอ์เมื่อมีอูฐครบหนึ่งร้อยตัว แจกจ่ายแก่คนยากจน และให้เชือด อะตีเราะห์ในเดือนรอยับแล้วแจกจ่ายเนื้อแก่คนยากจน ไปตามต้องการ ทำไปในแนวทางที่เป็นการทำความดี แต่ท่านได้เตือน ระวังอย่าเชือดเพื่อสิ่งอื่นนอกจากเพื่ออัลลอฮ์

[61]  ละหมาดอิดิลอัฎฎอฮา และเชือดกุรบาน

[62] มะนีฮะห์ตัวเมียคือ แม่แกะที่เจ้าของให้ผู้อื่นยืมไปรีดนม และจะส่งตัวคืนเจ้าของภายหลัง ที่ตกลง

[63] การทำกุรบานนั้นเป็นสิ่งที่ศาสนาเรียกร้องให้กระทำเป็นแบบ กิฟายะห์ คือมีใครคนใดคนหนึ่งทำกุรบานแล้ว คนในหมู่บ้านก็รอดพ้นไปด้วย ถ้าไม่มีใครทำเลยก็จะเป็น มักโรห์ ทั้งหมู่บ้าน

[64] ญะซะอะห์ คืออูฐสาวสี่ปี หรือแพะอายุเกือบครบปี มุซินนะห์ อูฐห้าปีเต็ม วัวอายุสองปี แพะแกะอายุหนึ่งปีเต็ม ส่วนที่ท่านนบี (ซ.ล.) ได้กล่าวว่า จะไม่มีใครกระทำใช้ได้อีกภายหลังท่าน หมายความว่า เขาจะได้รับผลบุญอย่างสมบูรณ์

[65] เท้าทั้งสี่สีดำ ท้องและขอบตาสองข้างของมัน สีดำ

[66] หะดีษนี้ ส่วนใหญ่ไม่ยึดเอาอูฐหนึ่งตัวแทนสิบคน (อาจะเพราะเป็นการทำกุรบาน ขณะเดินทาง จึงแทนได้สิบคน)

[67] อาหารที่ฮาลาล

ตอนนี้จะอธิบายถึงสิ่งที่ท่านนบี (ช.ล.) ใช้เป็นอาหาร และอาหาาที่แพร่หลายของชาวอาหรับ


 

คือความร้อนของอินทผลัม ด้วยความเย็นของแตงโม


 

อัลกะบาซ เป็นผลของด้น อะรอก ที่ใช้แปรงฟัน


 

[71] หมายควานว่า อินทผลัมกินเป็นกับ (แกล้ม) ของขนมปัง

  เป็นชื่อผักชนิดหนึ่ง


 

  หมายความว่าจงรับประทานกับขนมปัง


 

  เป็นการรักษาจากโรคบางชนิด


 

[75] อาสิยะห์ ภรรยาของฟิรอูน

           ซะรีดคืออาหารชนิดหนึ่ง ทำจากขนมปังป่น ใส่ลงในน้ำซุบ


 

               ใฮซ์ คืออินทผลัมคลุกกับเนยแข็งและน้ำมันเนย


 

               เพราะไขมันของเนื้อมีอยู่ในน้ำซุบแล้ว


 

  ชื่อสถานที่แห่งหนึ่งอยู่ใกล้นครมะดินะห่


 

  ในหะดีษนี้ชี้ว่าอนุญาตให้กินซากตายได้จนพอเพียงแก่ร่างกาย นั้นเป็นทรรศนะหนึ่งของชาฟิอี และเป็นรายงานของมาลิก ตามทรรศนะที่มีน้ำหนักของชาฟิอีถือว่า อนุญาตให้กินซากตายเพื่อประทังชีวิตเท่านั้น และเป็นทรรศนะของอะบูหะนีฟะห์ ส่วนที่จะถือว่าอยู่ในยามคับขันคือถึงขั้เสียชีวิต หรือป่วยที่จะทำให้เสียชีวิต นี่เป็นทรรศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่ นักวิชาการในมัสฮับมาลิกีบางท่านได้กล่าวว่า เมื่อเขาไม่ได้กินอะไรเลย เป็นเวลาสามวัน จึงถือว่าอยู่ในยามคับขัน


 

  คือญิบรีล


 

คือผักที่มีกลิ่นน่ารังเกียจ


 

  หมายลงสิ่งที่ท่านนบี (ซ-ล.) ดื่มและ!ครื่องดื่มที่แพร่หลายในหมู่ชาวอาหรับ


 

  คือ ซิดเราะห์ อัลมุนตะฮา เปีนต้นไม้ใหญ่อยู่หลังฟ้าชั้นที่เจ็ด


 

  คือ บัยตุลมักดีส


 

  นะบีซ คือ น้ำหมักอินทผลัมหรือองุ่น ที่ไม่ทำให้มึนเมา(ยังไม่เป็นแอลกอฮอร์)


 

  ที่บัยรุฮาอ์คือสวนของอะบูตอลฮะน์ใกล้มัสญิดนบี (ซ.ล.) ในสวนแห่งนั้นมีบ่อน้ำจืด


 

  บุยูต อัซซุกยา คือตาน้ำธรรมชาติห่างจากนครมะดินะห์ ใช้เวลาเดินทางสองวัน


 

  เช่นผลอินทผลัมแห้ง องุ่นแห้ง น้ำหมักและน้ำส้มสายชู


 

  สุราจากห้าชนิดนี้เป็นที่แพร่หลายในขณะนั้น แต่สุรานั้นไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะห้าอย่างนั้น ด้วยเหตุนี้ อุมัรจึงให้ กล่าวว่า สุรานั้นคือสิ่งที่ทำให้ขาดสติ ดังนั้นเครื่องดื่มที่ทำให้ขาดสติ ไม่ว่าจะทำจากสิ่งใดเรียกว่าเป็นสุราทั้งสิ้น


 

[91] ในเรื่องรับมรดกเมื่อมีปู่ร่วมกับพี่ชายของผู้ตาย จะได้ส่วนแบ่งเท่าไร

[92] คือมรดกที่ไม่มีบิดาและบุตร

[93] คือประตูที่จะทำให้เกิดดกเบี้ย ว่ามีทาวใดบ้าง (ในที่นี้หมายถึง ริบา อัลฟัดล์)

หมายความว่าท่านนบี (ซ.ล.) ได้ใช้ให้หมักกับภาชนะทุกชนิด นอกจากสี่ชนิดที่กล่าวนี้


 

นี่แสดงให้เห็นว่าการดื่มสุราเป็นสิ่งต้องห้ามและเป็นบาปใหญ่


 

[96] ฟะร็อกหนึ่งเท่ากับสิบหกชั่ง หนึ่งชั่ง(จีน)เท่ากับ500กรัม หนึ่งชั่งไทยเท่ากับ20ตำลึงหรือ1200กรัม หะดีษนี้ เมื่อเทียบเป็นชั่งแล้วจะดูว่า ฟะร็อกหนึ่งมีปริมาณมากกว่าเต็มกอบมือ ฟะร็อกน่าจะน้อยกว่า500กรัม หรือน้ำ500ซีซี น้ำหนึ่งแก้วมาตราฐานเท่ากับ250ซีซี ฉะนั้นฟะร็อกหนึ่งน่าจะน้อยกว่าหนึ่งแก้ว

[97] ญัยชาน สถานที่แห่งหนึ่งในประเทศยะมัน(เยเมน)

[98] หะดีษนี้ระบุชัดว่า ให้ฆ่าเขาได้ ถ้าเขากลับไปดื่มเป็นครั้งที่สี่ แต่ข้อกำหนดนี้ถูกยกเลิกไปแล้ว ด้วยหะดีษของติรมิซีที่เล่าจากยาบีร จากท่านนบี(ซ.ล.) ได้กล่าวว่า ถ้าหากเขาดื่มสุราให้พวกท่านจงเฆี่ยนเขา ภายหลังได้มีผู้ นำชายคนหนึ่งมาหาท่านนบี โดยที่เขาดื่มเป็นครั้งที่สี่ ท่านได้เฆี่ยนเขา โดยไม่ได้ฆ่าเขา

[99] คือเป็นต้นกำเนิดความชั่วร้ายทั้งปวง

[100] หล่อนได้เสนอให้เขาทำซินา หรือฆ่าเด็ก หรือดื่มสุรา เขาได้เลือกเอาสุราเพราะเข้าใจว่าบาปเบาที่สุดกว่าอย่างอื่น และเพราะเป็นสิทธิ์ของอัลลอฮ์เท่านั้น ซึ่งต่างกับซินาและการฆ่า แต่เมื่อเขาดื่มสุราเข้าไป เขาก็ทำทั้งซินาและฆ่าเด็ก

[101] หมายถึงว่าท่านไม่อนุญาตให้ทำและรับประทาน เพราะเจตนาเดิมต้องการหมักทำเหล้า ไม่ได้ตั้งใจทำน้ำส้มสายชู

         ตามตัวบทของทํ้งสองหะดีษนี้ชี้ว่าสุรานํ้นจะด้องเป็นนะยิสอยู่ตลอดไปไม่มีทางที่จะกลายเป็นสิ่งสะอาดไปได้ไม่ว่าจะโดยสภาพใดก็ตาม เป็นทรรศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่ และที่ว่านี้เมื่อสุรานั้นกลายเป็นน้ำส้ม ด้วยการใส่สิ่งหนึ่งสิ่งใดลงไป เช่นหัวหอมหรือขนมปัง เพราะสิ่งที่ใส่ลงไปจะเปื้อนนะญิสในอันดับแรก หลังจากนั้นมันจะทำให้สุราที่กลายเป็นน้ำส้มเป็นนะญิส ส่วนการที่สุรากลายสภาพเป็นน้ำส้มด้วยการย้ายการหมักจากกลางแดดมาเป็นในร่ม หรือย้ายจากในร่มไปกลางแดดนั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่สะอาด เมื่อตัวมันสะอาดภาชนะที่ใส่มันอยู่ก็สะอาดตามไปด้วย นี่เป็นทรรศนะของชาฟิอี


 

         ในหล้กฐานเหล่านี้ระบุว่าอนุญาตให้หมักและดื่มน้ำหมักได้ แม้จะเป็นเวลาหลายวันก็ตาม ถ้าหากมันยังคงสภาพหวานอยู่  นอกจากเมื่อมันแรงและมีการโยกย้ายจนกลายเป็นสิ่งที่มึนเมาก็ถือว่า ฮารอมที่จะดื่มเพราะมันเป็นสุราแล้ว


 

[104] เฉพาะผู้ชาย

[105] ชื่อเมืองหนึ่ง

[106] นี่เป็นเหตุการณ์ก่อนห้ามผ้าไหมในผู้ขาย

   ดูมะห์ อัลยันดัน อยู่ในยะมัน


 

   และด้วยเหตุนี้ผ้าไหมจึงกลายเป็นสิ่งด้องห้าม (ฮารอม) เหนือบรรดาผู้ชาย และการที่ท่านนบี (ซ.ล.) ได้สวมผ้าไหม ในหะดีษก่อนนํ้นเป็นเหตุการณ์ก่อนที่จะห้าม


 

   สถานที่แห่งหนึ่งที่ประเทศ ชาม


 

  ที่ทำจากไหม ท่านอุมัร จึงได้ส่งมันคืนไป เพราะเหตุนี้


 

   หะดีษนี้ปฎิเสธการกระทำของอุมัร และอนุญาตให้ใชํผ้าไหมได้ในปริมาณเท่านี้


 

   พวกเขาจะซักเสื้อคลุมของท่านนบี (ช.ล.) และนำน้ำมาดื่มเป็นยารักษาโรค


 

[113] เจ้าเมือง คอรอซอน ชื่อ อับดุลเลาะห์ อัสสะลามี

[114] ความหมายหะดีษนั้น อนุญาตให้ใช้ปนผ้าไหมได้บางส่วน แต่ตามทรรศนะชาฟิอี ถือว่าใช้ปนได้ครึ่งหนึ่ง

  หะดีษนี้ชี้ชัดว่า ทองคำ และผ้าไหมเป็นสิ่งต้องห้ามเหนือผู้ชาย โดยไม่ห้ามผู้หญิง


 

   เช่นที่ฟันหรือจมูก


 

   เป็นสถานที่ๆ เกิดสงคราม


 

  เป็นเหฅุการณ์ก่อนการห้ามผ้าไหมและทองคำ หรือปักด้วยทองคำเล็กน้อยที่ศาสนาอนุญาตให้


 

   ซิยะซันเป็นชื่อลำธารแห่งหนึ่ง


 

   คือเสื้อผ้าสีฉูดฉาด ผิดกับเสื้อผ้าของผู้คนโดยทั่วไป


 

   เพราะทั้งสองคนคือ ญิบอีลและมีกาอีล (อ.ล.)


 

     ผงหินสีดำที่ใช้ใส่ตา


 

     เพราะท่านรังเกียจที่เขาสวมชุดสีแดง


 

    หะดีษนี้ได้ยกเลิกหะดีษก่อนหรือยกเลิกที่ว่า ฮารอม


 

     ท่านได้ถอดมันออกและทิ้งไป เพราะท่านได้กลิ่นเหม็นจากขนสัตว์


 

     หรือสวมใส่เสื้อผ้าที่ย้อมด้วยหญ้าฝรั่น


 

     ห้ามเครื่องนุ่งห่มที่ย้อมด้วยหญ้าฝรั่นหรือดอกคำฝอย สำหรับผู้ชายเท่านั้น เพราะสีของมันเป็นสีของกาฟิร หรือมันดึงดูดสายตาให้เป็นจุดเด่น หรือเพราะกลิ่นของมันทั้งสอง หรื่อเพราะมันเป็นส่วนหนึ่งจากเครื่องแต่งกายของผู้หญิง ซึ่งไม่เหมาะสมกับผู้ชาย และการห้ามในเรื่องนี้เพราะเป็นสิ่งต้องห้าม(ฮารอม) หรือไม่ มีนักวิชาการบางท่านว่า ฮารอม และบางท่านว่า มักโรห์ แต่นักวิชาการส่วนใหญ่ถือว่าการห้ามในที่นี้เพราะน่ารังเกียจ(ตันซีห์) เพราะมีหะดีษของอะบูดาวูดและนะซาอีและส่วนหนึ่งเป็นของบุคอรีและมุสลิมว่า “อิบนุอุมัรให้ย้อมเคราของท่านเป็นสีเหลืองจนเสื้อผ้าของท่านเต็มไปด้วยสีเหลือง และได้มีผู้ถานท่านว่า ทำไมท่านจึงย้อมด้วยสีเหลือง อิบนุอุมัรตอบว่าช้าพเจ้าเห็นท่านเราะซูลุลลอฮ์ (ซ.ล.) ย้อมด้วยสีเหลือง และไม่มีสิ่งใดที่ท่านชอบมากยิ่งกว่าสีเหลือง และท่านยังเคยย้อมผ้าของท่านทั้งหมด ตลอดจนผ้าโพกหัวของท่าน" และเพราะหะดีษของ บะรออ ที่กล่าวมาแล้วว่า "ข้าพเจ้าเห็นท่านนบี (ซ.ล.) อยู่ในเครื่องนุ่งห่นสีแดง" และปรากฏว่าการย้อมห้วยสีแดงนั้นจะไม่พ้นไปจากหญ้าฝร่น คิดว่าการห้ามจากเครื่องนุ่งห่มที่ย้อมด้วยหญ้าฝรั่นและที่ย้อมด้วยดอกคำฝอยนํ้นเป็นการห้ามแก่บุคคลที่กำลังอยู่ในเอียะห์รอม


 

    การโพกศีรษะทับบนหมวกเป็นเครื่องแต่งกายของมุสลิม ส่วนการสวมหมวก (กอลันซุวะห์) โดยไม่โพกศีรษะเป็นเครื่องแต่งกายชองกาฟิร


 

     คือด้านหนึ่งห้อยอยู่ที่ต้นคอของข้าพเจ้า อีกด้านหนึ่งห้อยอยู่ที่ไหล่ของจ้าพเจ้า


 

     และนี่เป็นสิ่งที่ใช้ปฎิบัติ การห้อยปลายผ้าโพกศีรษะไว้ด้านหลังแม้จะเป็นสุนัต แต่ก็ไม่มักโรห์ที่จะละทิ้ง เพราะท่านนบี (ซ.ล.)ไมได้ทำเป็นประจำ บางครั้งท่านสวมหนวกโดยไม่ได้โพกผ้า และบางครั้งท่านโพกผ้าโดยไม่ได้สวมหนวก แต่ส่วนมากแล้วท่านจะโพกผ้าทับหมวก ปรากฎว่าผ้าโพกศีรษะของท่านนบี (ซ.ล.) นั้นยาวเจ็ดศอก และหมวกชองเหล่าอัครสาวกของท่านนบีนั้นเป็นหมวกที่แนบกับศีรษะไม่ใช่หมวกทรงสูง เพราะมีหะดีษของติรมิซีว่า "ปรากฎว่าหมวกของบรรดาอํครสาวกของท่านนบี(ซ.ล.) นั้นแนบติดศีรษะ"


 

     ท่านนบี(ซ.ล.) ได้ทำแหวนทองคำขึ้นมาวงหนึ่งและท่านได้สวมมัน ต่อมาประชาชนก็ได้ทำขึ้นบ้างและสวมตามท่าน เมื่อได้ มีคำสั่งห้าม ท่านนบีได้ขึ้นแสดงคุตบะห์ และได้ถอดแหวนโยนลงข้างหน้าประชาชน, ประชาชนก็จึงได้ถอดและโยนลงเช่นเดียวกันเป็นการปฏิบัติตามแบบฉบับของท่านนบี(ซ.ล.)


 

     การที่ท่านนบี (ซ.ล.) ถอดแหวนจากมือของชายคนนั้นและโยนไปนั้น ชี้ให้เห็นว่ามันเป็นสิ่งต้องห้าม เหนือชายผู้นั้น


 

     เพราะรูปปั้นส่วนมากทำจากทองแดง


 

   เพราะเครื่องจองจำของชาวนรกเป็นเหล็ก


 

     ท่านได้ห้ามประชาชนจากการสลักข้อความอย่างเดียวกันนี้ลงบนแหวนของพวกเขา เพื่อให้ข้อความนี้เป็นของท่านนบี

โดยเฉพาะ ใช้ประทับบนเอกสารต่าง ๆ


 

เป็นประเพณีของชาวอาหรับเช่นนั้น ถ้าไม่เช่นนั้นก็ถือว่าบทบัญญัติในเรื่องการกล่าวสลามแก่คนเป็น และคนตายใช้คำเดียวกัน


 

[137] คือใบหน้าและมือทั้งสองถึงข้อมือ

เป็นการปฏิบัติตามคำสั่งของอัลลอฮ์


 

หนึ่งศอกในที่นี้คือ หนึ่งศอกจากชายผ้านุ่งของผู้ชาย อยู่ครึ่งหน้าแข้ง ดังนั้นส่วนที่เกินจากร่างของผู้หญิงก็ประมาณหนึ่งคืบ


 

กอการพันร่างกายด้วยผ้าโดยปลายด้านหนึ่งอยู่บนบ่าของเขา หรือหมายถึงการห่มร่างด้วยผ้าโดยไม่มีช่องให้มือโผล่ออกมา


 

การโกนเคราถือว่า มักโรห์ ตามทรรศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่ และถือว่า ฮารอม ตามแนวของ อะนูฮะนีฟะห์ ส่วนในเรื่องหนวด นักวิชาการมีการขัดแย้งกัน ชาฟิอี อะบูฮะนีฟะห์ และอะห์มัด ได้กล่าวว่า สุนัตให้ขลิบออกจนเห็นริมฝีปาก มาลิกได้กล่าวว่าให้ตัดหรือโกน และมีนักวิชาการบางท่านได้กล่าวว่า ให้เลือกปฏิบัติระหว่างสองทรรศนะนํ้น


 

อย่าขลิบเม็ดละมุด ออกจนหมด


 

[143] สามารกตีความรวมกันได้ระหว่างหะดีษนื้กับหะดีษที่ห้ามการโกนศีรษะเด็กเป็นบางส่วนและปล่อยใว้เป็นบางส่วน คือผมจุก ในที่นี้หมายถึงการปล่อยผมที่ศีรษะไว้บางส่วน และถักผมส่วนที่เหลือไว้โดยไม่ได้โกน จึงอนุญาตให้

ซะฆอมะห์ เป็นต้นไม้ชนิดหนึ่งที่มีดอกและผลขาว มักถูกนำมาเปรียบกับคนผมหงอกที่มีผมตำแซมอยู่


 

เป็นพืชขนิดหนึ่งพบในประเทศยะมันมีสีเหลืองใช้ย้อมเครา 


 

เป็นพืชชนิดหนึ่งพบในประเทศยะมัน มีสีดำใช้ย้อม


 

อาจเป็นใปได้ว่าพวกเขาโกนจอนทิ้งหมดเหลือเคราที่ถูกย้อมสีดำ มีสภาพคล้ายคอหอยของนกพิราบ ซึ่งเป็นประเพณีของ คนกาฟิร หรือเป็นไปได้ว่าพวกเขาย้อมสีดำเพื่อตบตาหลอกลวง หรือเพื่อแสคงความหยิ่งยะโส


 

หะดีษที่ชี้ว่าใบเทียนไม่เป็นสิ่งที่มีกลิ่นหอม เพราะถ้าไม่เช่นนั้น ท่านนบี(ซ.ล.) จะต้องชอบมัน


 

หะดีษที่ชี้ว่าการย้อมมือและเท้านั้นเป็นสุนัตแก่ผู้หญิงเพื่อให้ผิดแผกไปจากผู้ชาย แต่เป็นสิ่งต้องหาม (ฮารอม) สำหรับผู้ชาย


 

เสมือนทั้งสองนี้ได้แก่ผู้หญิงถอนขนที่ใบหน้าด้วยแหนบ และการกรอฟันให้ห่าง กรอให้บาง


 

นี่เป็นสิ่งต้องห้าม (ฮารอม) ที่ไม่อนุญาตให้กระทำไม่ว่าสภาพใด


 

รอยสักจะกลายเป็นนะยิสที่จำเป็นต้องทำลายออก ผู้หญิงอาหรับนิยมการสักที่เหงือกและริมฝีปาก


 

อะบัลกอเซ็มเป็นชื่อเล่นของท่านนบี (ซ.ล.)


 

เพาะท่านนบี (ซ.ล.) ถูกพิทักรักษา พระองก์อัลลอฮ์ตาอาลาได้ตรัสว่า “และพระองก์อัลลอฮ์จะพิทักท่านจากมวลมนุษย์


 

แต่หล่อนก็เป็นสาเหตุให้ท่านนบี (ซ.ล.) เสียชีวิตเพราะคำพูดของท่านที่ได้พูดในหะดีษต่อไปว่า “และนี่ก็ถึงเวลาที่เส้นชีวิตของข้าพเจ้าขาดแล้ว” การที่ท่านไม่ได้ใช้ให้ประหารฟล่อนในตอนแรกนั้นเป็นสิทธิ์ของท่าน แต่เมื่อบิซร์ บุตร อัลบะรออ์ได้เสียชีวิตไปด้วย ท่านจึงใช้ให้ประหารหล่อน ดังมีอยู่ในหะดีษต่อไป


 

หล่อนชื่อ ไซหนับ บุตรสาวฮาริส


 

หมายความว่า ไม่เป็นไรหรอก อินชาอัลลอฮ์ ท่านจะสะอาดจากบาป


 

ที่ดีแล้วเขาควรกล่าาว่า ขอพระองค์อัลลอฮ์ไดํไปรดรับ


 

หมายถึงสหายรักที่สูงยิ่ง คือพระองค์อัลลอฮ์


 

คือท่านจะใด้พบผลบุญอันยิ่งใหญ่ของเรา


 

คือได้พบว่าผลบุญของท่านมหาศาล


 

หะดีษนี้ชี้ว่าการให้เกียรติแก่มุสลิมด้วยการเยี่ยมเยียนหรือด้วยสิ่งใดๆ พระองค์อัลลอฮ์จะถือเป็นเรื่องใหญ่ สำหรับพระองค์ มุสลิมต้องเอื้อารีต่อกัน แบ่งปันกัน ทักทายให้สลามต่อกัน


 

       ค์อขอพะองค์ท่านไดใปรด*รบผ0บุญ11นงก็*,ก็บตบ^1ก็'1|พระ0'1คทาน


 

[164] คือพวกเขากำลังอยู่ในอาการสำรวมและตั้งใจฟังคำสั่งสอนของท่านนบี (ซ.ล.)

การเยียวยาเป็นกำหนดของอัลลอฮ์เช่นเดียวกับการเจ็บไข้ได้ป่วย ดั้นั้นจงทำการเยียวยารักษาและป้องกัน และมอบความเป็นไปให้อัลลอฮ์ เพราะพระองค์คือรผู้กระทำที่แท้จริง


 

การห้ามคนป่วยดื่มน้ำ ถ้ามันจะเป็นอันตรายกับเขา


 

เพาะเป็นการทรมานพวกเขาเคยนาบที่ๆ เป็นโรคด้วยเหล็กเผาไฟ


 

นอกจากเมื่อไม่ได้ผลจากการรักษาด้วยวิธีอื่น ก็ให้รักษาโดยใช้แหล็กเผาใฟนาบ


 

[169] ในศึกคอนดัก

[170] คือเขาใช้เหล็กเผาไฟนาบ ริดสีดวงทวาร แต่ไม่หายขาด

หนายถึงย้อมด้วยใบเทียน


 

ในหลักฐานเหล่านี้ระบุว่าการล้มป่วยเพราะถูกดวงดาที่ชั่วร้ายเพ่งมองนํ้นปรากฎมีจริง ส่วนวิธีการรักษานํ้นบางทีใช้การอาบน้ำ บางทีใช้คาถา


 

คืออาหารที่ประกอบด้วยแปัง นมและนาผึ้ง หรือแป้ง น้ำมันและน้ำผึ้ง


 

ซะรีด อาหารที่ประกอบด้วยขนมปังป่นและน้ำซุป


 

[175] หินสีดำบดละเอียดใช้ทาตา

ต้นไม้ชนิดหนึ่งมีในประเทศยะมัน มีกลิ่นหอม ใช้ตำผสมกับน้ำมันมะกอกและทาสีข้างผู้ป่วย


 

ด้วยการตำผสมกับน้ำมันมะกอกและทาสีข้างผู้ป่วย


 

[178] เป็นพืชชนิดหนึ่งมีหนาม ใบสีแดง มีเมล็ดคล้ายถั่วเขียว ใช้เมล็ดต้มดื่มเป็นยา

คือเป็นตัวยาที่แรง


 

[180] นักวิชาการมีการขัดแย้งกันในเรื่องเยี่ยวและขี้สัตว์ที่ศาสนาอนุญาตให้กินเนื้อได้ มาลิกและอะห์มัดมีทรรศนะว่า เยี่ยวและขี้สัตว์ที่ศาสนาอนุญาตให้กินเนื้อได้นั้นเป็นสิ่งสะอาด โดยยึดเอาหะดีษที่ท่านนบีใช้ให้คนกินเยี่ยวอูฐซึ่งจะได้กล่าวต่อไปเป็นหลักฐาน ชาฟิอีและนักวิชาการส่วนใหญ่มีทรรศนะว่าเยี่ยวและขี้สัตว์ทั้งที่ศาสนาอนุญาตให้กินเนื้อได้และศาสนาไม่อนุญาตให้กินเป็นนะยิสทั้งสิ้น มีผู้คัดค้าน ถ้าหากเป็นนะยิสท่านนบีจะไม่ใช้ทำเป็นยาเพราะมีคำพูดของท่านนบีที่ว่า “แท้จริงพระองค์จะไม่ให้เป็นยารักษาโรคแก่ประชากรของข้าพเจ้า ในสิ่งที่พระองค์ได้ห้ามไว้ รายงานโดยอะบูดาวูด นะยิสเป็นสิ่งต้องห้าม ดังนั้นจะนำมารักษาโรคไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่ยารักษาโรค ตอบคำคัดค้านนี้ว่า หะดีษดังกล่าวนั้นอยู่ในภาวะปกติ ส่วนในยามจำเป็นนั้น จะไม่ถือว่าเป็นสิ่งต้องห้าม เหมือนกับซากตายที่ยอมอนุญาตให้แก่ผู้อดอยากเกินกว่าสามวัน รับประทานมันได้ และไม่ขัดแย้งกับคำตอบของท่านนบีในเรื่องสุราที่ว่า ฎแท้จริงมันเป็นโรค มันไม่ใช่ยา” ท่านตอบผู้ถามถึงการใช้สุราเป็นยารักษาโรค อนึ่งเรื่องเยี่ยวอูฐ อิบนุมุนซิรได้รายงานจาก อิบนิ อับบาส เป็นหะดีษที่พาดพิงถึงท่านนบี “แท้จริงในเยี่ยวอูฐมียารักษาโรคท้องเสีย”

[181] และได้โยนพวกเขาตากแดดไว้จนตาย เพราะความอกตัญญูและความโหดร้ายที่ปล้นฆ่าคนเลี้ยงอูฐและฝูงอูฐซะกาต

คือไม่เห็นว่าเป็นเรื่องเสียหายอะไร


 

เป็นเสื่อที่สานจากใบอินทผลัม


 

มารคาของอาอิชะห์ (ร.ด.) ไค้พยายามบำรุงหหล่อนให้อ้วนขึ้นค้วยสิ่งต่างๆ แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ ต่อมามารดาได้นำแตงร้านและรอต็อบมาให้รั'บประทานจนร่างกานของหล่อนสมบูรณ์เต็มร่าง


 

ห้ามฆ่าก็ห้ามนำมาทำยา


 

"ตุรยาก” คือยาที่ใช้แก้ยาพิษหรือยาถอนยาเบื่อ ความมุ่งหมายของหะดีษนี้คือให้ออกห่างจากสิ่งเหล่านี้ เพราะตรุยากนั้นผสมขํ้นจากสิ่งที่เป็นนะยิส เช่นเนื้องเห่าและสุรา และเครื่องรางนั้นทก็มีคำต่างๆ บรรจุอยู่ที่ศาสนาไม่อนุญาต


 

[187] คาถาคือคำอ่านป้องกันสิ่งเลวร้ายต่างๆ ที่เป็นพระนามของอัลลอฮ์หรือจากคัมภีร์อัลกุรอาน หรือคำที่ท่านนบี (ซ.ล.)สอนเอาไว้

คำที่นบี (ซ.ล.) เคยใช้เป็นคาถาและสอนให้บรรดาอัครสาวกของท่านทั้งหมดที่กล่าวนี้ก่อนที่ซูเราะห์อัลฟะลักและอันนาส จะถูกประทานลงมา เมิ่อสองชูเราะห์นี้ได้ถูกประทานลงมาแล้ว ท่านก็ได้ยึคเอาสองซูเราะห์นี้ และทิ้งคาถาอิ่นๆ


 

[189] สมควรที่ผผผู้อ่านคาถาจะเอามือลูบไปบนผู้ป่วยเพื่อความเป็นศิริมงคลจากคาถาถึงผู้ป่วย คาถานี้จะไม่เกิดผลนอกจากเป็นคาถาจากคนที่ซอลิหะห์ เพราะแท้จริงคาถาคือคุณความดีและผลคุณความดีของเรา

เพราะท่านทราบว่าถึงกำหนดเสียชีวิตแล้ว


 

คือท่านจะเอานิ้วชี้แตะน้ำลายแล้วางลงบนดิน จากนั้นท่านกจระนำมาลูบบาดแผล หรือที่ๆ มีโรคพร้อมกับกล่าวคาถาด้งกล่าว


 

คือลูบตรงที่ที่เจ็บปวด


 

[193]  นี่เป็นที่มาของ “อะซิมัต” ที่ผู้คนปัจจุบันได้จากผู้รู้คาถา เขียนให้

หมายถึง นบีอิบรอฮีม


 

[195] หลักสำคัญคือต้องมั่นใจในคำพูดของท่านนบี และตะวักกัลป์ (มอบหมาย) ไว้ที่อัลลอฮ์

หมายเลขบันทึก: 643405เขียนเมื่อ 18 ธันวาคม 2017 08:22 น. ()แก้ไขเมื่อ 2 สิงหาคม 2022 18:12 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท