ดร. สุธีระ ประเสริฐสรรพ์ ผู้อำนวยการโครงการเพาะพันธุ์ปัญญาของ สกว. สรุป โครงการส่งให้ท่าน รมต. สุวิทย์ เมษิณทรีย์ และกรุณาส่งให้ผมด้วย ผมขออนุญาตนำมาเผยแพร่ต่อ ท่านอนุญาตโดยบอกว่าบางตอนต้องมีการขยายความเพื่อให้คนที่ไม่รู้เรื่องโครงการนี้มาก่อนได้เข้าใจ แต่ผมไม่ได้ปรับปรุงต้นฉบับเดิมเลย
อะไรคือเพาะพันธุ์ปัญญา
โครงการวิจัยเชิงทดลองในการพัฒนาครูและนักเรียนในการศึกษาขั้นพื้นฐาน สนับสนุนโดย สกว. และ บมจ. ธนาคารกสิกรไทย ระยะเวลา 4 ปีการศึกษา (ต่อ phase 2 อีก 2 ปีการศึกษา)
ความเชื่อ
จากประสบการณ์การศึกษาขั้นพื้นฐานตั้งแต่ 2546 มีข้อค้นพบที่นำไปสู่ความเชื่อใหม่ ดังนี้
เราทำงานอย่างไร
- หาทีมพี่เลี้ยงจาก 8 มหาวิทยาลัย พัฒนาพี่เลี้ยงให้เข้าใจวิจัยว่าเป็นกระบวนการของการศึกษา เรียนรู้ RBL เข้าใจบริบทโรงเรียน 6 เดือน (โครงการนี้อาจารย์มหาวิทยาลัยเป็นพี่เลี้ยงประมาณ 30 คน)
- แต่ละทีมดูแล 10 โรงเรียน มีทั้งหมด 80+ โรงเรียนใน 18 จังหวัด ขยายออกสู่โรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญ 69 โรง
- Workshop จิตตปัญญา 2-3 วันพัฒนาจิตวิญาณครูใหม่ ลบระบบอำนาจ เปิดพื้นที่ปลอดภัยในห้องเรียน สร้างบรรยากาศส่งเสริมการคิด และการกล้าลงมือทำเองของนักเรียน ส่งเสริมกระบวนการให้เกิด growth mindset
- Workshop พัฒนาระบบคิดเหตุและผลให้ครู (2 วันในภาคเรียนที่ 1) เปลี่ยนกระบวนการคิดแบบ mind map มาเป็น casual diagram เพื่อให้ครูสามารถเห็นโจทย์วิจัยแบบเพาะพันธุ์ปัญญาได้ สามารถ coach นักเรียนคิดโจทย์ RBL ออกแบบงานวิจัยได้ พัฒนาทักษะ backward thinking and forward questioning เพื่อเปลี่ยนจากการ “สอนโดยบอก” มาเป็น “สอนโดยถาม” ต้อนความคิดให้นักเรียนรู้จากการสังเคราะห์คำตอบเอง
- Workshop พัฒนาระบบคิดวิเคราะห์-สังเคราะห์ให้ครู (2 วันในภาคเรียนที่ 2) เพื่อให้เห็นความหมายข้อมูลมากกว่าที่ตาเห็น ให้สามารถ coach นักเรียนแปลความหมายข้อมูลงานของตนเองได้ สร้างความรู้เอง
- นักเรียน 1 ห้องทำ 10 project ใน theme เดียวกัน แต่แบ่งเป็น 3 กลุ่มย่อย คือ วิทย์-คณิต สังคม-เศรษฐศาสตร์ มนุษยศาสตร์-ประวัติศาสตร์ (ท้องถิ่น) มีคาบเรียน 3 ชม. ติดกัน ที่ครูทุกสาระมารวมตัวกันให้นักเรียนแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันข้ามสาระ
- หลัก 3 ประการ “ถามคือสอน” “สะท้อนคิด (reflection) คือเรียน” “เขียนคือคิด” ถามเป็นหน้าที่ครู reflection เป็นหน้าที่ครูและนักเรียน (ครูทำใน PLC เด็กทำในตอน share ประสบการณ์) reflection แบบนี้ทำให้เกิด transformative learning ได้ง่าย การเขียนเป็นงานนักเรียน ต้องหัดเขียน proceeding paper เพื่อเรียนรู้ความแม่นยำการใช้ภาษา การให้เหตุผลละตรรกะ
- พี่เลี้ยงเป็นเพื่อนครูตลอดเวลาที่ต้องการ เพราะในสภาพจริงของโรงเรียนครูทำไม่ได้ มันติดที่ระบบโรงเรียน ระบบประเมิน ระบบแข่งขัน (พพปญ. ไม่แข่งขัน เน้นการทำงานเป็นทีม share ความรู้และประสบการณ์กัน) กระบวนการของพี่เลี้ยงคือเป็น coach หลายด้าน แต่ที่เน้นคือ PLC เพื่อให้ครูสร้างสังคมการเรียนรู้ของตนเอง
ขยายผลอย่างไร
- ไม่ง่าย (แต่ทำได้ถ้าปัจจัยพร้อม; ปัจจัยเงินไม่สำคัญเท่าปัจจัยระบบและกลไก) เพราะต้องพลิก paradigm จำนวนมากและของหลายคน โดยเฉพาะระบบการผลิตและพัฒนาครูของครุศาสตร์และ สพฐ. ระบบความคิดเรื่องวิจัยคืออะไรแน่ในการศึกษา วิจัยที่เป็นกระบวนการสร้างปัญญาทำอย่างไร ถ้าครูสภาไม่เล่นด้วยก็ไม่ง่าย (เพราะครุสภากำหนดเรื่องวิจัยในชั้นเรียนที่ทำแบบครุศาสตร์ ไปเน้นว่าเป็นงานของครู)
- แก้ระบบประเมิน ระบบการประกวดแข่งขันของการศึกษาไทยให้มาเอื้อ RBL พพปญ. เพราะมันblock การทำงานของครู พพปญ.
- ใช้โอกาสโครงการคูปองครู สพค. สถาบันครุพัฒนา ให้มาใช้กระบวนการนี้
- ใช้โอกาสเครือข่ายอุดมศึกษา 9 เครือข่ายที่มีงบ สกอ. ให้ช่วยการศึกษาขั้นพื้นฐาน (ตอนนี้ปล่อยตามอัธยาศัยของคณะที่เกี่ยวกับการศึกษา จึงตกร่องเดิมหมด)
- Empower กรรมการสถานศึกษาและชุมชนให้เข้าใจเป้าหมายการศึกษาที่แท้จริง จะได้เป็น monitoring unit โรงเรียนแทนการเป็นตรายางให้ ผอ. อย่างที่เป็นอยู่ มันจะรองรับการกระจายอำนาจการจัดการการศึกษา ทำให้การศึกษามีบริบทชีวิตจริงมากขึ้น (เรียนแล้วเอาไปใช้งานได้)
- ใช้กลไก top down เช่นนโยบาย โดยต้องลดภาระงานอื่นที่สร้างการเรียนรู้น้อยกว่าลงให้หมด (งานนี้ต้องการเวลาต่อเนื่อง) ระบบอำนาจในกระทรวงศึกษาทำให้หนีไม่พ้นต้อง top down มาทางนโยบาย
SEEEM คืออะไร
- ใน phase 2 ของเพาะพันธุ์ปัญญาเราผนวก STEM เข้ากับปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป็นความคิดใหม่ที่คนสภาพัฒน์ฯ ตามฟัง 3 รอบ (จากการบอกต่อของการฟังรอบแรก ผมจัด workshop ให้ครูเข้าใจเรื่องนี้ 2 วัน จำนวน 6 ครั้ง) แต่จะพยายามอธิบายง่ายๆ แค่ concept
- มนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ การพัฒนาคือการใช้ความรู้มาดัดแปลงธรรมชาติให้รับใช้มนุษย์ ดังนั้น การพัฒนาจะสวนทางกับความเสื่อมโทรมของธรรมชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ปศพพ. (ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง) จึงต้องมีบทบาทในการพัฒนาให้สมดุล เพื่อเกิดความยั่งยืน
- แปลจากข้อ 2 ว่า ยั่งยืนเป็นผลของสมดุล อะไรสมดุลก็ต้องเข้าใจโลก 2 โลกก่อน
- มนุษย์และธรรมชาติที่เป็นสิ่งมีชีวิตเป็นโลกอินทรีย์ (organic world) เป็นอยู่ตามระบบวิวัฒนาการมาก่อน ระบบวิวัฒนาการ (evolution) คือระบบรักษาสมดุล แต่เมื่อมนุษย์ก้าวเข้าสู่ระบบพัฒนาการ (development) การบริโภคจากการใช้ความรู้ดัดแปลงธรรมชาติมีมากขึ้น จนเกิดทัศนคติว่าปัญญามนุษย์สามารถพิชิตธรรมชาติได้ จึงแยกตัว ไม่คิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ โลกอินทรีย์นี้ผมเรียกโลกตามระบบดาร์วิน
- กฎที่กำกับความเป็นไปของธรรมชาติกลายมาเป็นความรู้ที่มนุษย์ค้นคว้าจากการทำวิจัย เมื่อรู้กฎธรรมชาติมนุษย์ก็รู้กลไก จึงเกิดโลกกลไก (mechanistic world) ที่ดัดแปลงธรรมชาติให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจ (และอำนาจ) โดยไม่รู้ว่ากำลังทำลายความสมดุลที่โลกอินทรีย์ต้องการ ความยั่งยืนจึงสั่นคลอน ผมเรียกโลกกลไกว่าเป็นโลกระบบนิวตัน
- STEM คือกระบวนการคิดตามโลกกลไก ปศพพ.คือการคิดตามโลกอินทรีย์ SEEEM จึงเกิดขึ้นเป็น พพปญ. Phase 2
- SEEEM ใช้กระบวนการ RBL แต่ พพปญ. พัฒนาความคิดเชิงระบบ (systems thinking) ให้ครูเข้าใจโลกกลไก (STEM) กับโลกอินทรีย์ (ปศพพ.) เพื่อ coach นักเรียนให้เห็นโจทย์ RBL เชิงระบบของสองโลก
- ยอมรับว่าเป็นเรื่องยากมากครับ แต่ก็จำเป็นที่ต้อง install SEEEM ให้โรงเรียน พพปญ. เพื่อสู้กับ STEM ที่เน้นโลกกลไก (development) ซึ่งผมคิดว่าไม่เหมาะกับการศึกษาไทย STEM ปัจจุบันจะยิ่งสร้างความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาเพราะเป็น STEM ตามความคิดคนกรุงเทพ แต่เยาวชนไทยในระบบการศึกษาส่วนใหญ่ไม่ได้เรียนเพื่อออกไปทำอาชีพ STEM เขาต้องอยู่กับทรัพยากร ดูแลให้สมดุล ยั่งยืน หากไม่ทำเช่นนี้จะมีคนถูกทิ้งไว้ข้างหลังอีกมาก ที่อาจารย์มาบรรยายในงาน 50 ปีวิศวฯ ม.อ. ผมเห็นว่า SEEEM ตอบโจทย์ได้
ขออนุญาตสรุปคร่าวๆ แค่นี้ก่อน มันยังมีส่วนสำคัญอีกมากที่ไม่ใช่ content ซึ่งต้องเปลี่ยนจากนโยบายเพื่อการขยายผล และหมายความว่ากระทรวงศึกษา กรรมการอิสระปฏิรูปการศึกษาต้องเข้าใจ ไม่เช่นนั้นไม่มีทางสร้างคนไทย 4.0 จากการปรับเปลี่ยนการศึกษา 14 ข้อที่อาจารย์ต้องการเตรียมคนไทย 4.0 ตามวาระที่ 1 ได้
ขอแถมอีกนิด สกว.ประชุมผู้ประสานงานที่ทำการศึกษาเมื่อวันวานนี้ (9 ต.ค. 60) ผมให้ความเห็นหลักๆ ดังนี้
- การพยายามปฏิรูปพระศาสนาขณะนี้คือโอกาสเปลี่ยน paradigm ของสังคมโดยรวม ที่ผ่านมาความผิดเพี้ยนของวัดทำให้เกิด paradigm ของคนจำนวนมากที่ติดศรัทธา ไม่เกิดปัญญา การติดศรัทธาสร้างกระบวนทัศน์การพึ่งผู้อื่น การอ้อนวอน ไม่สนใจเหตุผล มโนทัศน์แคบ เห็นแก่ตัว (ยอมรับการโกงถ้าตนได้ประโยชน์ด้วย) ขาดจิตสาธารณะ ไม่เห็นสรรพสิ่งเกี่ยวโยงเป็นระบบตามกฏเหตุและผล มันกระทบถึงพัฒนาการความคิดทางการเมืองการปกครองนานหลายทศวรรษ ตอนนี้คือโอกาสเปลี่ยนศรัทธามาเป็นปัญญา สร้าง paradigm ใหม่ให้เกิดในสังคม
- เราลืม กศน. ไปมาก มัวแต่ สพฐ PISA O-Net โลกที่เปลี่ยนเร็ว คนจำนวนมากไม่ได้มีทักษะการเรียน (เพราะการศึกษาที่ผ่านมาไม่สร้างให้เขา) คนพวกนี้จะตามไม่ทัน เป็นภาระทางสังคม เป็น inertia การเข้าสู่ 4.0 จะถูกแรงเฉื่อยนี้ฉุดไว้ คนนอกระบบการศึกษาต้อง un-learn และ re-learn เราต้องเร่งพัฒนา กศน.
- เราลืมคน 40,000 คนที่เป็นเด็กด้อยโอกาสในโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญ สพฐ. ไม่สนใจ สำนักพุทธฯ ไม่รู้เรื่อง วัดกับโรงเรียนแยกกันบริหาร โรงเรียนตามชายขอบชายแดนถูกละเลย มันเป็นเรื่องความมั่นคง trans-border
- คนในคุกเข้าๆ ออกๆ เพราะออกมาแล้วไม่มีที่ยืนได้เอง คนล้นคุก ขาดงบพัฒนาคนต้องโทษให้เปลี่ยนแปลงในระดับ transformation เป็นภาระด้านงบประมาณมาก แถมเสียกำลังการผลิตไปอีก
- สถาบันครอบครัวอ่อนแอมาก วัยก่อนเข้าโรงเรียนเป็นวัยที่ต้องพัฒนาให้ถูกต้อง แต่กลับถูกละเลย มาเพิ่มปัญหาตอนเป็นวัยรุ่น ประเทศสูญเสียมาก การศึกษาปฐมวัยเพี้ยนไปสู่ระบบแข่งขันทางวิชาการ วัดที่ความเก่ง ไม่ใช่ EQ หรือสมองด้าน EF
- เรื่องโรงเรียนขนาดเล็กผมเคยให้ความเห็น ดร. ปิยะบุตร ชลวิจารณ์ ประธาน กพฐ. ไว้ จะส่งแยก file ครับ
สุธีระ ประเสริฐสรรพ์
10 ต.ค. 60
วิจารณ์ พานิช