ตอนนั้น (คืนวันเสาร์ที่ 4 พฤศจิกายน 2560) จำได้แม่นยำว่าเวลาประมาณ 22.28 น. เจ้านุ๊ก (ณัฐพล ศรีโสภณ) ประธานกลุ่มเครือข่าย “นิสิตจิตอาสาเพื่อสังคม” (ทำดีเพื่อพ่อ ทำดีเพื่อแผ่นดิน) ทักมาปรึกษาประมาณว่า “ชาวบ้านท่าตูม (ตำบลท่าตูม อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม) อยากให้นิสิตออกไปช่วยกรอกกระสอบทรายทำคันกั้นน้ำโดยเร่งด่วน ประสานมาตั้งแต่สองทุ่มแล้ว แต่ยังหาทีมงานไม่ได้ ... เลยต้องปรึกษาผมเป็นการเร่งด่วน”
คุยข้ามจังหวัด : ตรวจทานข้อมูล ไม่ใช่กระต่ายตื่นตูม
ตอนนั้นผมไม่ได้อยู่ในพื้นที่มหาสารคาม - ผมถามกลับไปประมาณว่า ... เช็คข้อมูลดีหรือยังว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นเช่นใด ไม่ใช่ว่าชาวบ้านจัดการเสร็จแล้วเหรอ รวมถึงการให้ทบทวนบทเรียนคราวก่อนว่าไปแล้วมีอะไรให้ทำบ้าง อุปกรณ์เพียงพอหรือไม่ และจะเดินทางอย่างไร ...
นั่นคือสิ่งที่ผมถามกลับไปยังนิสิต เพราะต้องการให้ตรวจเช็คสถานการณ์อันแท้จริง เน้นการคัดกรองข่าวให้แม่นยำที่สุดเท่าที่พึงจะกระทำได้ จะได้ไปอย่างมีประโยชน์ ไปอย่างมีคุณค่าและมูลค่า ไม่ใช่ไปแบบกระต่ายตื่นตูม หรือไปในแบบไม่ได้ช่วยอะไร แถมยังย้ำว่า “ไปตอนเช้าตรู่จะไม่ดีกว่าเหรอ”
ทั้งปวงที่ผมตั้งประเด็นไปนั้น ผมไม่ได้ปฏิเสธเรื่องราวจิตอาสาของนิสิต ผมไม่ได้กังขาต่อการฝ่าข้ามความมืดในค่ำคืนออกไปช่วยชาวบ้านที่มีระยะทางยาวไกลร่วมๆ 80 กิโลเมตร แต่ผมต้องคิดหลายเรื่อง ทั้งสวัสดิภาพของนิสิต หรือแม้แต่กระบวนการคิดและการเรียนรู้ที่นิสิตต้องตระหนัก
กรณีดังกล่าว เจ้านุ๊กตอบกลับมาโดยยืนยันหนักแน่นว่า สถานการณ์ยังน่าห่วง ชาวบ้านยังคงรวมพลังกันอยู่ ตอนนี้มีขนของเตรียมหนีน้ำกันบ้างแล้ว และยังต้องทำงานแข่งกับเวลา “ถ้าคืนนี้เอาไม่อยู่ น้ำจะทะลักเข้าหมู่บ้านและถนนจะถูกตัดขาด รวมถึงยืนยันว่าขณะนี้มีนิสิตเพียง 5 คนเท่านั้นที่จะร่วมเดินทางไปช่วยชาวบ้าน แถมยังจะขับ “มอเตอร์ไซด์” ไปกันเองอีกต่างหาก
คุยข้ามจังหวัด : สั่งงานแบบใจนำพาศรัทธานำทาง
ในที่สุดผมก็แจ้งกับเจ้านุ๊กและทีมงานประมาณว่า “ผมจะโพสระดมคนผ่าน Facebook โดยด่วน ขอให้ทุกคนรอที่กองกิจการนิสิต โดยให้เช่าเหมารถสองแถวไป ไม่ใช่ขับ “มอไซด์” ไปกันเองเหมือนที่แจ้งมาสดๆ ร้อนๆ –
เป็นที่น่าชื่นใจมากๆ เพียงเสี้ยวนาที นิสิตให้ความสนใจและขันอาสาร่วมเดินทางกลางดึกเป็นจำนวนมาก เบื้องต้นผมให้รถเคลื่อนออกไม่เกิน 23.30 น. กระนั้นก็ยังมี “ตกรถ” จำนวนหนึ่ง จึงได้แต่ขอบคุณและบอกย้ำว่า รอดูสถานการณ์เป็นระยะๆ พรุ่งนี้ยังพอมีเวลา !
ยอมรับว่าการคุยงานและสั่งงานกลางดึกแบบไม่ได้มาเจอกันตัวเป็นๆ มันลำบากใจมาก แถมผมไม่มีอำนาจที่จะสั่งการณ์อย่างเป็นทางการ แต่ก็ตัดสินใจอย่างมีสติที่จะให้นิสิตออกเดินทางไปช่วยชาวบ้าน โดยย้ำว่าต้องรายงานเป็นระยะๆ ว่าถึงไหน อย่างไร รวมถึงการให้เขียนรายชื่อว่ามีใครไปด้วยบ้าง ซึ่งตอนนั้นเขาส่งรายมือชื่อกลับมา 19 คน เรียกได้ว่าอัดเต็มแน่นรถสองแถวพอดิบพอดี
ผมบอกย้ำเป็นระยะๆ ว่า “เดินทางโดยสติและสวัสดิภาพ เดินทางด้วยใจอันศรัทธาและให้ตระหนักว่านิสิตไปในนามมหาวิทยาลัยมหาสารคาม มิใช่ไปในแบบปัจเจกบุคคล หรือกองทัพเถื่อน”
เช่นเดียวกับการบอกกับนิสิตว่า ผมจะตามไปกลางดึกของคืนนี้ และจะพยายามไปให้ทันดูพระอาทิตย์ขึ้นที่หมู่บ้านพร้อมกับพวกเขา
ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ก็พลอยได้อุ่นใจ เพราะมีมูลนิธิกู้ภัย "อโสก" จากโซนบ้านขามเรียงฯ เครือข่ายที่เจ้านุ๊กคุ้นเคยได้ช่วยเหลือทำหน้าที่วิ่งนำทางจากมหาวิทยาลัยไปยังชุมชน -
เอาจริงๆ นะ ที่ผมพูดไปทั้งหมด ผมคิดแล้วพูดจากสิ่งที่คิด มิใช่ปั้นคำขึ้นมาเพียงเพื่อปลุกเร้าให้ได้งาน แต่มันเป็นความรู้สึกจริงๆ ที่มีต่อพวกเขา และผมก็เข้าใจว่าวิถีจิตอาสาเช่นนี้มันต้องฉับไว มีสติ มิใช่อืดเอื่อยติดมาดติดยศ หรือคิดและสั่งในแบบ “เอางาน แต่ไม่เอาคน”
ไม่มีอะไรไม่ใช่การเรียนรู้ : เว้นแต่ไม่ลงมือทำ
พอนิสิตถึงที่หมาย เขาก็ลุยงานกันทันที แม้งานจะเกือบเสร็จสิ้นหมดแล้ว แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ได้ไปดูให้เห็นกับตา และได้ทำในสิ่งที่ตนเองคิดฝันที่อยากจะทำ
น้องนิสิตเล่าว่ากระสอบทรายมีไม่เยอะ (เป็นไปตามที่ผมคาด) การงานจึงทำเท่าที่ทำได้ เช่นเดียวกับการเตรียมใจไว้ว่าพอถึงเช้าถนนหรือเรือกสวนไร่นาในบางจุดก็คงถูกน้ำท่วม หรืออาจถึงขั้นถนนทรุดและพลังทลายเลยทีเดียว ดังนั้นจึงได้แต่จับกลุ่มเฝ้าระวังและประเมินสถานการณ์นาทีต่อนาที แถมฝนก็โปรยปรายมาเป็นระยะๆ
ครั้นประเมินงานกันได้สักพัก ส่วนหนึ่งก็เดินทางกลับ - ส่วนหนึ่งยืนกรานปักหลักเคียงบ่าเคียงไหล่กับชาวบ้าน ซึ่งการไม่กลับก็ช่วยให้นิสิตได้เรียนรู้อะไรอย่างมากมาย ทั้งการรับมือกับระดับน้ำที่สูงขึ้นและปริ่มถนน รวมถึงการได้รับรู้ประวัติศาสตร์ว่าด้วยการจัดการน้ำในชุมชนที่ครั้งหนึ่งเคยท่วมสดๆ ร้อนๆ เมื่อปี พ.ศ.2554 เชื่อมโยงกับการรับรู้กระบวนการของการรับมือกับน้ำท่วมที่เห็นเค้ามาตลอดทั้งวันแต่สุดท้ายก็ “เอาไม่อยู่”
จะว่าไปแล้วประเด็นนี้ผมคิดว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องของชาวบ้านที่ต้องเฝ้าระวังรับมือแต่เพียงลำพังผู้เดียว หากแต่หมายถึงภาครัฐและท้องถิ่นนั้นๆ ก็ควรต้องเตรียมการให้จริงจังและมีประสิทธิภาพ มิใช่ “ใจเย็น” หรือ “เย็นชา” ... ปล่อยไปตามยะถากรรม
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นิสิตไปยังชุมชนแห่งนี้ เนื่องเพราะวันที่ 3 สิงหาคม 2560 นิสิตเครือข่ายจิตอาสาฯ ก็เคยลงพื้นที่นี้มาแล้ว ครั้งนั้นไปแจกถุงยังชีพ กรอกกระสอบทรายและวางเป็นคันกั้นน้ำ รวมถึงการให้ความรู้เรื่องสุขภาพและการพบปะให้กำลังใจต่อชาวบ้านที่กำลังเผชิญกับภาวะน้ำท่วม
พอมาเจอสถานการณ์นี้อีกรอบ แถมเป็นวิกฤตยามค่ำคืน ชาวบ้านจึงไม่ลืมที่จะร้องขอมายังน้องๆ นิสิต ซึ่งผมมองว่านี่คืออีกหนึ่งความสำเร็จของการสร้างเครือข่ายในแบบ “ไม่ใช่ญาติ ก็เหมือนญาติขาดไม่ได้”
กรณีเช่นนี้ก็ต้องให้เครดิตนิสิตด้วยเหมือนกัน เพราะมิใช่ไปจัดกิจกรรมให้พอเสร็จๆ แล้วก็เดินทางกลับมหาวิทยาลัย เหมือน “ปักป้ายถ่ายรูป” ตามตัวชี้วัดอัตลักษณ์นิสิตที่ว่า “นิสิตกับการช่วยเหลือสังคมและชุมชน” ตรงกันข้ามกลับ “ได้ใจ” ยึดโยงเป็นสายสัมพันธ์ที่หนักแน่น มีการติดต่อสื่อสารกันเรื่อยมาอย่างมหัศจรรย์
เช้าใหม่ : กับภารกิจที่ยังต้องผลิตซ้ำ
ในเช้านั้น ผมเข้าไปถึงพื้นที่ในช่วงสายนิดๆ
คำว่าสายนิดๆ หมายถึงเวลายังไม่ถึงสองโมงเช้าด้วยซ้ำไป
คืนนั้นผมแวะนอนปั๊มข้างทาง มือถือแบตหมด มาชาร์ตแบตระหว่างเดินทาง พอเปิดมือถือจึงรู้ว่าเด็กๆ ออกจากพื้นที่ก่อนเช้ารุ่งของวันที่ 5 พฤศจิกายน 2560 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งน้องๆ ทิ้งข้อความไว้ในมือถือรายงานให้รู้ว่าทั้งนิสิตและชาวบ้านช่วยกันวางกระสอบทรายเป็นคันกั้นน้ำได้สักประมาณ 300 เมตร
ผมไปถึงหมู่บ้านยังไม่ถึงสิบนาทีก็เริ่มเห็นผู้หลักผู้ใหญ่นั่งรถหลากคันเข้ามาในพื้นที่ มีการยืนคุยกับชาวบ้านเป็นจุดๆ ขณะที่ชาวบ้านก็รายงานข้อมูลต่อ “นาย” ซึ่งดูแล้วก็น่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ภาครัฐจากทางอำเภอและจังหวัด พอสายหน่อยก็เริ่มมีรถดินทยอยเข้ามาเทดินไว้เป็นกองๆ เพื่อรอการบรรจุกระสอบทราย
ถัดจากนั้น อบต.ก็นำถึงกระสอบทรายมาสมทบ เช่นเดียวกับหอกระจายข่าวก็เริ่มประกาศระดมคนออกมาบรรจุกระสอบทรายร่วมกัน –
ผมใช้เวลาอยู่ในพื้นที่หลายชั่วโมงพอตัว แต่ไม่ได้แสดงตนว่าเป็นใครมาจากไหน เก็บข้อมูลและสังเกตการณ์ไปเรื่อยๆ จากนั้นก็ถอนตัวออกมา ซึ่งต้องบอกว่าออกมายากมาก เนื่องจากถนนเล็กและแคบสุดๆ เล็กและแคบราวกับรถจะวิ่งสวนทางกันไม่ได้ แถมยังต้องหลบรถบรรทุกดินอีกต่างหาก
เรียกได้ว่าผมจำต้องถอยยาวเป็นระยะๆ กันเลยทีเดียว ... กว่าจะพ้นออกมายังถนนใหญ่ต้องลุ้นระทึกทั้งเรื่องการเร่งเวลาและการลุ้นที่จะพลิกลงไปตะแคงข้าง หรือไม่ก็ตีลังกาอยู่กลางทุ่งนาเป็นที่สุด
ผมกลับเข้าสารคามในราวบ่ายสามเห็นจะได้ –
ขณะที่นิสิตสวนทางกลับเข้าหมู่บ้านอีกรอบ คราวนี้มีอะไรให้ทำเยอะมาก นิสิตก็ได้ทำงานกับคนหมู่มาก ทั้งที่เป็นชาวบ้าน อาสาสมัครทั่วไปและบุคลากรของภาครัฐและท้องถิ่น โดยหลักๆ แล้วก็เน้นการจัดวางกระสอบทรายเป็นคันกั้นน้ำ การขนย้ายสิ่งของหนีน้ำ รวมถึงการมอบน้ำดื่ม 240 ขวดและกระสอบ 150 ใบเพื่อใช้บรรจุทรายและร่วมบรรจุทรายกับชาวบ้าน ฯลฯ
นี่คือเรื่องเล่าที่ผมอยากเล่าไว้เพื่อยืนยันว่าในวิกฤตนั้นยังคงไม่ร้างซึ่งคนรักและความรัก
งานจิตอาสา –อาสาสมัคร มันต้องมาจากใจ และต้องมาในแบบใจนำพาศรัทธานำทาง ตลอดจนการจัดการสถานการณ์มันก็ต้องมีสติ มีการวิเคราะห์บนความจริง และสำคัญคือมีความเป็นทีมทั้งคนภายในและคนภายนอกที่เข้าไปช่วยหนุนเสริม
สำหรับผมแล้ว นี่คือกิจกรรมนอกหลักสูตรอันงดงาม แม้จะด่วนดิบและดูเหมือนไร้กระบวนท่าอยู่บ้าง แต่ยังไงเสียผมก็มองว่า “ดีงามและงดงาม” หรือแม้แต่เป็นกิจกรรมที่เต็มไปด้วยกระบวนการเรียนรู้ที่ควรค่าต่อการยกย่อง มิใช่เพิกเฉยด้วยการเก็บงำแล้วไม่บอกเล่าสื่อสาร ....รวมถึงปรึกษาแล้วไม่ช่วยหาทางออก ทำตัวราวกับทองไม่รู้ร้อน (ธุระไม่ใช่) พร้อมๆ กับการปล่อยให้ความดีในวิถีจิตอาสาเดินทางไปอย่างเดียวดาย
และเดียวดาย
หมายเหตุ
เขียน : วันที่ 7 พฤศจิกายน 2560
ภาพ : พนัส ปรีวาสนา / ณัฐพล ศรีโสภณ / เครือข่ายนิสิตจิตอาสาเพื่อสังคม
-สวัสดีครับอาจารย์
-ผมอ่านบันทึกนี้ด้วยความซาบซึ้งใจ
-จิตอาสาแท้ ได้ประจักษ์ชัด..
-ความห่วงใยจากอาจารย์+เพิ่มพลังใจให้กับน้องๆ ได้เป็นอย่างดี
-ผมชื่นชอบกับประโยคนี้ " ผมจะตามไปกลางดึกนี้ของคืนนี้และจะพยายามไปให้ทันดูพระอาทิตย์ขึ้นที่หมู่บ้านพร้อมกับพวกเขา"
-อบอุ่นใจมากๆ ครับ...
-ด้วยจิตคารวะ "จิตอาสา"ขอรับ...
สวัสดีครับ
สุดท้ายผมไปไม่ทันดูพระอาทิตย์ขึ้น นิสิตเองก็ออกจากพื้นที่ในราวตี 4 เศษ จากนั้นก็กลับเข้าไปอีกรอบในช่วงบ่ายครับ
"พูดให้ฟัง ทำให้ดู อยู่เป็นเพื่อน"
มาเป็นกำลังใจเจ้าค่ะ.. บุญรักษา..เจ้าค่ะ
ครับ คุณ ยายธี
ใจผสานใจ เป็นพลังแห่งความดี โดยแท้ เลยครับ -